ระหว่างการสอบสองวันในอันชิ่งอาหารสามมื้อของเซี่ยเสี่ยวหลานล้วนจบลงในร้านของน้าหวง
เนื่องจากมีเธอช่วยขับเคลื่อน หรือจะบอกว่าเป็เพราะการบอกต่อของเหล่านักเรียนหญิงพอถึงเวลาอาหารโต๊ะยาวที่จัดในร้านหนึ่งคูหาของน้าหวงก็นั่งจนเต็มทั้งหมดในร้านมีแต่อาหารจานด่วน โดยปกติลูกค้ารับประทานกันว่องไวทีเดียวทว่าพอธุรกิจคึกคักขึ้นมา ยังจำเป็ต้องรอเก็บกวาดโต๊ะด้วยน้าหวงยิ้มแย้มปากไม่หุบ ในร้านนั่งไม่พอก็จัดโต๊ะเพิ่มสักสองสามตัวหน้าประตูร้านจัดตามแนวถนน ทุกวันนี้เห็นรถสี่ล้อบนถนนหนทางได้น้อยมากการเดินทางอาศัยเดินเท้าและรถจักรยานสองล้อล้วนๆ
ทำให้ร้านน้าหวงไม่ได้กีดขวางการจราจรบนถนนใหญ่กว้างราวสิบเมตร
และยิ่งเวลานี้ ‘เทศบาลเมือง’ ยังไม่ก่อตั้ง ดังนั้นจึงไม่มีเ้าหน้าที่มาไล่จับคนทั้งวันเหมือนในชาติก่อน
อย่างไรเสียธุรกิจที่น้าหวงทำนั้นคือร้านอาหารหน่วยงานที่มีอำนาจต่อเธอจึงมีไม่น้อยเซี่ยเสี่ยวหลานเตือนเธอให้ใส่ใจความสัมพันธ์ระหว่างทุกฝ่ายด้วยความหวังดีตั้งรับคู่แข่งประสงค์ร้ายที่คอยรายงานมั่วซั่ว
น้าหวงยอมรับอย่างจริงจัง
“เธอพูดถูก”
เธอแย่งลูกค้าของจางจี้มาเช่นนี้ด้านจางจี้ย่อมไม่พอใจแน่ น้าหวงต้องตื่นตัวระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา
เซี่ยเสี่ยวหลานกวนน้ำจนขุ่น เมื่อสิ้นสุดการสอบปลายภาคก็จากไปด้วยความพึงพอใจ อีกไม่กี่วันให้หลังจะต้องมาเขตอันชิ่งอีกรอบเพื่อรับผลสอบหาเื่ให้จางชุ่ยกังวลเสียหน่อย ป้องกันราชินีการละครคนนี้มาก่อกวนเธอ
เซี่ยเสี่ยวหลานกลับซางตูก็ไม่มีเวลาพักผ่อนอยู่ดีครอบครัวเห็นใจที่เธอเป็นักเรียนเตรียมสอบแต่เธอไม่อาจวางตนเป็นักเรียนเตรียมสอบอย่างเดียวได้ ที่นอกจากสอบแล้วอะไรก็ไม่ทำ
หน้าร้านริเริ่มการตกแต่งได้ 20 วันหลิวหย่งคุมงานอย่างเข้มงวด ตอนนี้การตกแต่งขั้นแรกประสบความสำเร็จไปแล้ว
“อีกสัก 10 วันต้องเสร็จแน่นอน!”
ตอนนี้คือวันที่ 14 เดือนมกราคม ตรุษจีนปี 84 คือวันที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์หากอีกสิบวันสามารถตกแต่งเสร็จสมบูรณ์ ก็จะเป็วันที่ 24 มกราคมเท่านั้นเอง ดังนั้น ‘หลานเฟิ่งหวง’ สามารถเปิดกิจการทันตรุษจีน่ที่ผ่านมาหลี่เฟิ่งเหมยจัดการตั้งแผงเองทั้งหมด สินค้ารอบนี้ขายได้ค่อนข้างช้าแต่เื่นี้เซี่ยเสี่ยวหลานช่วยเหลือได้ ไม่ว่าอย่างไรก่อนถึงวันที่ 20 ก็จะขายสินค้าส่วนใหญ่ได้
เธอจะไปหยางเฉิงเพื่อรับสินค้าหลังวันที่ 20
โจวเฉิงบอกให้พาคังเหว่ยไปด้วยกันเซี่ยเสี่ยวหลานจึงครุ่นคิดว่าอีกสองวันค่อยติดต่อคังเหว่ยและนัดแนะเวลาให้เรียบร้อยโดยเลือกว่าจะเจอกันที่หยางเฉิงหรือจะให้เธอรอคังเหว่ยอยู่ซางตูแล้วออกเดินทางพร้อมกัน
พอคิดว่าใกล้จะได้เปิดกิจการแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกเบิกบานไม่น้อย “ฉันต้องเร่งเื่หนังสือประกอบการสักหน่อยแล้ว”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้วิ่งเต้นเื่ใบอนุญาตประกอบการด้วยตนเองเธอมอบภาระให้แก่หูหย่งไฉ อย่างไรเสียเธอกับหูหย่งไฉต่างก็ติดต่อกันจนสนิทสนมแล้วเธอออกเงินหูหย่งไฉออกแรง ในมือยังเหลือ ‘ไฉ่เตี๋ย’ อีกมาก ถือว่าเป็สกุลเงินแข็ง [1]
ใครจะรู้ว่าพอกล่าวถึงหนังสืออนุญาตประกอบการ สีหน้าของหลิวหย่งไม่ดีเอาเสียเลยเซี่ยเสี่ยวหลานเข้าใจทันทีว่าเกิดปัญหาขึ้นแล้ว
“ลุง มีเื่อะไรลุงต้องบอกฉันนะ”
หลิวหย่งถูมือไปมา “หลานกลับมาจากหยางเฉิงไม่ใช่ป่วยหรอกหรือสอบปลายภาคก็ตามมาติดๆ อีก ลุงเลยไม่ได้คุยกับหลาน คราวก่อนหูหย่งไฉบอกว่าใบอนุญาตประกอบการของพวกเราติดขัดอยู่คนบ้านจูอาจจะเป็คนทำ...”
ตระกูลจู?
เซี่ยเสี่ยวหลานขมวดคิ้วนิ่วหน้า
เธอไม่ได้ออกหน้าในกระบวนการทำเื่ขอหนังสืออนุญาตประกอบการ แล้วบ้านจูรู้ได้อย่างไรว่า ‘หลานเฟิ่งหวง’ คือร้านของเธอ
-----------------------------------------
แรกเริ่มติงอ้ายเจินก็ไม่รู้เหมือนกัน
แม้ว่าเธอเห็นเงาอันคุ้นเคยของเซี่ยเสี่ยวหลานในโรงงานฝ้ายแห่งชาติแต่ไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก หยวนหงกังก็เล่าเื่ธุรกิจอิสระได้เช่าหน้าร้านหมายเลข 45 ถนนเอ้อร์ชีแล้วส่วนจุดสนใจของติงอ้ายเจินอยู่ที่ห้อง้าอาคารซึ่งสามารถอยู่อาศัยได้ของหน้าร้านเลขที่ 45
เพื่อแย่งชิงเคหสถานเหล่านี้ พนักงานแต่ละแผนกในโรงงานถึงขั้นวางมวยกันผู้มีอำนาจตัดสินใจอย่างหยวนหงกังคนนี้จึงถูกคนล้อมกั้นอยู่ทั้งวัน
ติงอ้ายเจินเรียกได้ว่าแย่งอาหารจากปากเสือ [2] ไม่ยอมอ่อนข้อจนได้มาสองโควตา
หากเธอให้ผลประโยชน์คนอื่นไม่ได้ คนอื่นจะยืนอยู่ข้าง ‘ผู้อำนวยการติง’ เพื่ออะไรกัน?
โควตาสองหน่วยในมือติงอ้ายเจินย่อมแลกผลประโยชน์มาได้ไม่น้อยทำให้เวลาเธอดำเนินงานในหน่วยงานราบรื่นยิ่งขึ้น ไม่สิผู้อำนวยการติงราบรื่นเสมอมา นอกเสียจากที่เคยเจ็บเคืองจากเซี่ยเสี่ยวหลานเธอก็คือผู้ชนะในการใช้ชีวิตดีๆ นี่เอง
ตอนจูฟ่างกลับบ้านสวมใส่เสื้อนอกตัวใหม่ ติงอ้ายเจินลองลูบคลำวัสดุพอฟังว่าจ่ายไป 100 หยวนยังชมเชยจูฟ่างว่ารู้จักเลือกซื้อของอยู่เลย
“ลูกชายแม่ใส่แล้วดูดีจริง!”
การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างแม่ลูกเป็อีกเื่หนึ่งติงอ้ายเจินจะโกรธเคืองกับลูกชายสุดที่รักตลอดไปได้อย่างไรเสื้อนอกขนแพะสีน้ำเงินนาวีที่จูฟ่างสวมอยู่บนร่างกายนั้นดูดีจริงๆ เขาเป็คนผิวขาวตัวสูงขับสีนี้ได้เหมาะสมยิ่งนัก
ได้ยินว่ายังมีสีดำด้วย ติงอ้ายเจินจึงคิดจะหาให้บิดาจูฟ่างสักตัวบ้าง
จูฟ่างบอกเพียงซื้อร้านทั่วไป ติงอ้ายเจินรู้สึกเสียดายไม่น้อยทว่าเสี่ยวฉินภรรยาเพื่อนของจูฟ่างก็ทำงานในโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สาม ทั้งติงอ้ายเจินเป็แม่สื่อของงานวิวาห์เสี่ยวฉินอีกด้วยพอเกริ่นถึงขึ้นมาในโรงงานโดยบังเอิญ เสี่ยวฉินก็เล่าว่าตนซื้อเสื้อนอกมาสองตัว
“ตัวหนึ่งสีน้ำเงินนาวี อีกตัวหนึ่งสีดำฉันเห็นจูฟ่างลูกชายคุณใส่แล้วดูดีถึงไปซื้อมานี่แหละเด็กสาวที่ขายเสื้อคนนั้นสวยเหลือเกิน เลือกของมาขายได้ดีทีเดียว!”
เสี่ยวฉินไม่พ้นสนทนาเล่นอย่างสบาย แต่เมื่อติงอ้ายเจินได้ยินคำว่าเด็กสาวหน้าตาสะสวยเป็ผู้ขายเสื้อผ้าเรดาร์จับวัตถุทั่วสรรพางค์กายก็เปิดออกทันที
เสี่ยวฉินบอกว่าเธอซื้อเสื้อนอก 138 หยวน แต่ตัวที่จูฟ่างใส่กลับบ้านราคาเพียง 100 หยวน ใครจะสามารถลดราคาให้จูฟ่างตั้งสามสิบกว่าหยวนได้?
เซี่ยเสี่ยวหลาน!
ชื่อนี้โผล่เข้ามาในสมองของติงอ้ายเจินในบัดดล
คราวก่อนที่เธอเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานมิใช่ว่าตั้งแผงลอยขายเสื้อผ้าบนถนนหรือ ดีจริงๆ ปากบอกไม่สนใจลูกชายของเธอแถมครั้งก่อนยังหวานแหววกับชายอื่น แล้วจะให้ท่าจูฟ่างอีกทำไมกัน?
ในสมองของติงอ้ายเจินนั้น ระหว่างชายหญิงไม่อาจมีมิตรภาพบริสุทธิ์ได้...อันที่จริงคิดเช่นนี้ก็ไม่ผิด ทำงานในหน่วยงานรัฐมาทั้งชีวิตผู้อำนวยการติงจึงไร้ความคิดลื่นไหลแบบนักธุรกิจ
เซี่ยเสี่ยวหลานทำสิ่งใดก็มักจะเหลือเส้นของความเหมาะสมเอาไว้เสมอขอเพียงไม่ล้ำเส้นแบ่งนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมไม่เกิดความขัดแย้งกับผู้อื่น อีกทั้งเธอเป็คนจดจำน้ำใจไมตรีเป็อย่างยิ่งคนอื่นช่วยเหลือเธอหนึ่งส่วน เมื่อมีโอกาสเธอจะตอบแทนเป็เท่าตัววิธีการจัดการเื่ต่างๆ แบบนี้ทำให้เกิดความคล่องตัวในที่ทำงานและยังมีปัญญาแห่งการเอาตัวรอดอยู่ด้วยชาติก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานไม่สามารถอาศัยใบหน้าเดินทางลัดได้ แต่สุดท้ายการที่เธอพัฒนาจากลูกค้ามากมายมาเป็มิตรสหายได้จนกลายเป็เครือข่ายที่พิเศษของเธอ ก็ไม่สามารถแยกปัญญาแห่งการเอาตัวรอดที่ว่า ‘บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ’ ของเธอไปได้เลย
เมื่อติงอ้ายเจินสอบถามเสี่ยวฉินโดยละเอียดก็มั่นใจระดับหนึ่งว่าเสื้อนอกของจูฟ่างซื้อจากเซี่ยเสี่ยวหลาน
เสี่ยวฉินกล่าวว่าเสื้อนอกที่เซี่ยเสี่ยวหลานขายไม่เพียงพอต่ออุปสงค์พอรับรู้ว่าเ้าตัวจะเปิดหน้าร้านอย่างจริงจัง ติงอ้ายเจินก็รู้สึกยินดีปรีดาเพราะโชคเข้าข้างแล้ว—วันนั้นที่คนสามคนออกมาจากห้องทำงานของหยวนหงกังคงมาเพื่อลงชื่อสัญญาเช่าอาคารหมายเลข 45 ถนนเอ้อร์ชีเงาแผ่นหลังที่ทำเธอคุ้นเคยนั้น ลองมานึกคิดตอนนี้มิใช่เซี่ยเสี่ยวหลานหรือ?!
นอกจากนังจิ้งจอกนั่น ยังจะมีใครที่เดินยั่วยวนแบบนั้นอีก!
ติงอ้ายเจินไม่ได้เปิดเผยเงื่อนงำต่อหน้าเสี่ยวฉินเธอวิ่งไปล้วงความจริงจากหยวนหงกัง
หน้าร้านสามคูหา ณ ถนนเอ้อร์ชีหมายเลข 45 มีคนเช่าไว้เปิดร้านเสื้อผ้าจริงๆด้วย
ติงอ้ายเจินยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น พอกลับถึงบ้านก็เล่าเื่ราวทั้งหมดแก่บิดาของจูฟ่าง
“อยากเหยียบเรือสองแคม หรือว่าโดนคนสลัดทิ้งเลยจะกลับมาตอแยลูกชายคุณกันล่ะ? ถ้าฉันไม่จัดการเธอ อย่าเรียกฉันว่าแซ่ติงเลย!”
นายจูไม่เห็นด้วยนัก “ดีแล้วที่ไม่เกิดอะไรขึ้นดูท่าทางแล้วคนรักที่เธอหาได้ก็คงจะมีดีแค่นั้น ถ้าคุณไม่ชอบคนเขาขัดแข้งขัดขาไปตามสะดวกก็พอ”
เดิมทีธุรกิจอิสระนั้นไม่มีสถานะอะไรมากมายอยู่แล้วนายจูพูดว่าขัดแข้งขัดขาตามสะดวก ก็หมายความว่าหนังสืออนุญาตประกอบการของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้อีกแล้วพอคนเห็นว่าที่อยู่ที่ขอใบอนุญาตประกอบการคือ ‘ถนนเอ้อร์ชีหมายเลข 45’ ก็ปฏิเสธไม่ทำแล้วเสียดื้อๆ
“ไม่ผ่าน”
ไม่ผ่านตรงไหน?
ความสะอาดหรืออย่างอื่นที่ไม่ผ่านมาตรฐาน?
หูหย่งไฉขอเส้นสายไปช่วยถามไถ่ ไหว้วานตั้งนานนมถึงเข้าใจแบบไม่ชัดเจน เป็เพราะเกิดจากการทำคนอื่นขุ่นเคืองเข้าเสียแล้วพุ่งเป้าโดยตรงไปยัง ‘ถนนเอ้อร์ชี เลขที่ 45’!
เชิงอรรถ
[1]硬通货 สกุลเงินแข็ง หมายถึงสกุลเงินที่มีค่าเงินค่อนข้างเสถียรและอัตราซื้อขายมากในตลาดแลกเปลี่ยนในที่นี้เปรียบเทียบว่าบุหรี่คือสกุลเงินแข็ง สามารถใช้เป็ของมีค่าได้เสมอ
[2]虎口夺食 แย่งอาหารจากปากเสือ หมายถึง กล้าหาญชาญชัยในการทำเื่อันตราย
