"ต้าเหนียงจื่อ นายน้อยเมิ่งผู้นั้นหน้าตางดงามมากใช่หรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นกับอูหลันฮวาเดินเล่นบนถนนกู่หลินอย่างเอ้อระเหย
อูหลันฮวากดเสียงกระซิบถามช้าๆ นางเคยเห็นเมิ่งเฉิงเจ๋อจากระยะไกล ตอนนั้นยังตกตะลึง ไม่นึกว่าบุรุษจะมีรูปโฉมงามพิลาสถึงปานนั้นได้
"นี่ หลันฮวา แม้นายน้อยเมิ่งจะหน้าตางดงาม แต่ข้าคิดว่าเขาคงไม่ชอบที่ได้ยินคนพูดถึงเขาอย่างนั้น เ้าควรเปลี่ยนคำพูดชมเชยเป็หล่อเหลา หรือสง่างาม เขาอาจพึงพอใจมากกว่า"
เซวียเสี่ยวหรั่นเม้มริมฝีปากหัวเราะเบาๆ
"แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าหน้าตาเขาสะสวยอยู่ดี สวยกว่าสตรีอีกหลายคนเลย" อูหลันฮวาพูดงึมงำ
"ฮ่าๆ เช่นนั้นเ้าก็ชมแค่ในใจก็พอ อย่าไปพูดต่อหน้าผู้อื่น ไม่มีบุรุษคนไหนชอบถูกเปรียบเทียบกับสตรีหรอกนะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นเตือนสติ
"ข้าทราบแล้วเ้าค่ะ ต้าเหนียงจื่อ หลางจวินให้ข้าจะฝึกพูดให้ดีก่อน พยายามเอ่ยปากให้น้อยที่สุดยามอยู่นอกบ้าน" อูหลันฮวาใช้เสียงกระซิบ พูดให้ช้าลงอีก "เพื่อป้องกันปัญหาที่ไม่จำเป็"
อูหลันฮวาหาใช่คนเบาปัญญา แม้อุปนิสัยจะค่อนข้างเถรตรง แต่เื่ที่ควรระวัง นางก็เข้าใจดี
"ไม่จำเป็ต้องระวังขนาดนั้นก็ได้ ตอนนี้สำเนียงของเ้าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว แต่ยังต้องฝึกฝนอีกมาก ผ่านไปสักระยะ ต้องสามารถพูดคุยได้เหมือนคนปรกติอย่างแน่นอน" เซวียเสี่ยวหรั่นตบไหล่ของนางเบาๆ
อูหลันฮวารีบผงกศีรษะ "ต้าเหนียงจื่อ เหตุใดหลางจวินถึงต้องส่งาภพวาดไปที่แคว้นฉีด้วยเล่า"
เป้าหมายการมาของพวกนางก็คือนำจดหมายไปส่งให้เมิ่งเฉิงเจ๋อ ฝากให้เขาส่งต่อไปแคว้นฉี
"เพราะเหตุใดหรือ? ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน" เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะ "เขาย่อมจะมีเหตุผลของเขา"
นั่นเป็ภาพเขียนเรียบง่ายมากภาพหนึ่ง อาชาสีดำปลอดสูงสง่ากำลังลากรถม้าไม่สะดุดตาไปตามถนน มีดอกท้อบานสะพรั่งอยู่สองข้างทาง เบื้องหน้าเป็ทิวเขาสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา
ภาพเขียนหมึกขาวดำเรียบง่ายแต่กลับเปี่ยมไปด้วยความหมาย
ยามรับภาพมาจากมือของเหลียนเซวียน ดวงตาของเธอจับจ้องไม่กะพริบอยู่นาน ก่อนมองเขาด้วยสีหน้าเลื่อมใสศรัทธา
"ท่านเก่งขนาดนี้เลยหรือ เขียนอักษรก็ว่าไม่เลวแล้ว แม้แต่ภาพเขียนยังวาดได้งดงามเพียงนี้ ท่านคงชำนาญทั้งพิณหมากภาพอักษรใช่หรือไม่"
แววตาเร่าร้อนเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมเลื่อมใสทำให้เหลียนเซวียนแทบจะเกร็งใบหน้าบึ้งตึงไม่อยู่
นางหนูนิสัยเสีย อย่านึกว่าตบสะโพกม้า [1] แค่นี้ แล้วเขาจะให้อภัยกับการกระทำข้ามแม่น้ำรื้อสะพานของนาง
"แฮ่ม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็บทเรียนขั้นพื้นฐาน" เหลียนเซวียนพยายามข่มรอยยิ้มบนมุมปาก ปรายตาจ้องนางบางๆ
ใครจะเหมือนกับนาง อวดอ้างว่าร่ำเรียนมาสิบสองปี ทว่าแม้แต่อักษรยังจำได้ไม่หมด
เซวียเสี่ยวหรั่นสะอึก พลันนึกได้ถึงเื่นี้ได้
เธอรีบเก็บแววตาชื่นชม หันไปแค่นเสียงหึ ใส่เขาแรงๆ "ถึงข้าจะไม่เป็พิณหมากภาพอักษร แต่หลายสิ่งที่ข้าทำเป็ท่านก็ทำไม่ได้เหมือนกัน"
"อ้อ... ตัวอย่างเช่น?" เหลียนเซวียนมองนางแกมหยอกเย้า
"เอ่อ... ตัวอย่างเช่น ข้าทำอาหารเป็" เซวียเสี่ยวหรั่นยืดอก ในโลกของเธอ ผู้หญิงอายุสิบแปดสิบเก้าทำอาหารเป็ ทั้งยังทำได้อร่อยเป็เื่ที่สามารถอวดได้อย่างภาคภูมิ
เหลียนเซวียนมองดูนางยืดอก ดวงตาที่หลุบต่ำลงฉายแววลุ่มลึกคลุมเครือ "อืม ไม่เลว ยังมีอีกไหม?"
"มีแน่นอน ข้าถักเสื้อไหมพรมได้ ทำกระเป๋าเป็ ตัดเย็บเสื้อผ้า..." เซวียเสี่ยวหรั่นยกนิ้วนับ แต่ยิ่งนับก็ยิ่งละอาย
เหตุใดถึงไม่มีความสามารถพิเศษสักอย่าง
เมื่อครั้งยังเล็กอยู่ในชนบท เธอไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย ไม่เคยเข้าชั้นเรียนเต้นรำ ศิลปะ ร้องเพลง หรือพละ
หลังเข้าโรงเรียน ก็แบกกระเป๋าเข้าแต่ชั้นเรียน ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมนอกเวลา ผลการเรียนก็ไม่สูงไม่ต่ำมาโดยตลอด
ดนตรี ศิลปะ พละ ก็อยู่ในระดับธรรมดา ไม่มีอะไรดีเด่นสักอย่าง
นอกจากทักษะการทำอาหารซึ่งเรียนมาจากคุณปู่ ที่พอจะอวดฝีมือได้อยู่บ้าง เธอก็ไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย
การถักเสื้อไหมพรม ทำกระเป๋า นางก็แค่พอทำได้ แต่ยังห่างจากคำว่ามืออาชีพอีกไกล
เธอลอบมองเหลียนเซวียน ถึงพบว่าเขาไม่ได้สนใจนัก เวลาแบบนี้เขากลับไม่คิดทุ่มหินลงบ่อเพื่อเพื่อทับถมเธอแม้แต่น้อย
"อื้ม เก่งมาก แต่หากจำอักษรได้ทั้งหมดจะยิ่งดีกว่านี้" เหลียนเซวียนเปรยเบาๆ แค่ประโยคเดียว
เซวียเสี่ยวหรั่นฉุนจัดขึ้นมาทันที ย่นจมูกถลึงตาดุร้ายใส่เขา "ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องจำได้ทั้งหมด"
"ดี ข้าจะรอดู" เหลียนเซวียนเห็นนางแสร้งทำสีหน้าดุดัน ก็อดเอื้อมมือไปลูบปอยผมชี้ฟูเพราะความโมโหของนางไม่ได้
"อย่ามาทำผมข้ายุ่งนะ หวีผมแต่ละทียุ่งยากจะตาย" เซวียเสี่ยวหรั่นกลอกตาใส่ ก่อนปัดมือของเขาออก
ไม่มีทั้งยางรัดและกิ๊บหนีบผม แค่เกล้าผมแล้วใช้แถบผ้ามัดให้อยู่ทรงก็ไม่ง่ายแล้ว
"ชอบภาพนี้มากรึ?" เหลียนเซวียนไม่นึกขุ่นเคือง เห็นนางจดจ้องแต่ภาพในมือตลอดเวลา มุมปากก็โค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว
"อื้ม ชอบ ทิวทัศน์เหมือนกับสองข้างทางที่พวกเราเดินทางผ่านมาเลย หากดอกท้อเหล่านี้แต้มด้วยสีชมพูก็คงจะยิ่งสวยมาก"
ระหว่างเดินทาง ดอกท้อสองข้างทางกำลังบานสะพรั่ง เธอนั่งบนรถเบื่อๆ ก็มักจะเล่าให้เขาฟังว่าสองข้างทางมีทิวทัศน์อย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่พูดถึงบ่อยที่สุดก็คือดอกท้อสีชมพูเป็พุ่มๆ เรียงรายยาวเหยียด ไม่นึกว่าเขาจะจำได้
"เอาไว้ ข้าจะวาดภาพที่สมบูรณ์แบบให้เ้าสักภาพ" เหลียนเซวียนพูดเสียงเบา น้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าน้อยๆ มีความอ่อนโยนที่แทบจะมองไม่เห็นอยู่เจืออยู่
"ดีสิ ดีสิ เอารูปใหญ่ๆ ใส่กรอบแขวนไว้บนผนัง ทุกครั้งที่มองก็จะได้รำลึกถึงความหลังที่พวกเราเคยเดินทางร่วมกัน อืม จืดชืด น่าเบื่อสุดๆ ฮ่าๆ"
เดิมทีอยากย้อนรำลึกถึงความหลังเสียหน่อย แต่พอมานึกๆ ดู นั่งบนรถม้า ทั้งโคลงเคลงทั้งอึดอัด ยิ่งอยู่กับเหลียนเซวียนที่ไม่ชอบพูดคุย ก็ยิ่งไม่มีอะไรสนุก ทิวทัศน์นอกหน้าต่างในแต่ละวันก็เดิมๆ ซ้ำๆ ว่าตามจริงแล้ว ไม่ได้รู้สึกว่างดงามขนาดนั้น
"จืดชืด?"
นางพูดจ้อตลอดทาง เขาไม่รู้สึกเบื่อสักนิด
"อืม นอกจากงานเย็บปักถักร้อย ก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่างจะไม่เบื่อได้อย่างไร" เซวียเสี่ยวหรั่นยักไหล่กางมือออก "ทำงานเย็บปักก็ต้องคอยระวังว่ารถจะโคลงเคลงหรือตกหลุมหรือเปล่า มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะถูกเข็มตำนิ้วอีกกี่รู"
"ซื้อกระหมากล้อมมาชุดหนึ่ง ครั้งหน้าข้าจะเล่นหมากกับเ้า" เหลียนเววียนครุ่นคิด
"หมากล้อม? ข้าไม่ชอบ มันซับซ้อนเกินไป แค่เห็นก็ปวดหัวแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นปฏิเสธ ไม่สู้เย็บปักผ้าที่เรียบง่ายดีกว่า
เหลียนเซวียนทอดถอนใจพยายามระงับอารมณ์ที่จะกุมขมับ "เช่นนั้นเมื่อก่อนเ้าทำสิ่งใดฆ่าเวลาเล่า"
"ทำสิ่งใดฆ่าเวลาน่ะหรือ?" เซวียเสี่ยวหรั่นมองเขาปราดหนึ่ง ก่อนพึมพำเสียงเบา "ที่นี่ไม่แน่ว่าจะมี"
งานอดิเรกฆ่าเวลาของเธอย่อมเป็การดูหนัง อ่านนิยาย เล่นเว่ยปั๋ว หรือไม่ก็โต้วอิน ท่องโลกกว้างในอินเทอร์เน็ต
"ของสิ่งใดที่ไม่แน่ว่าจะมี?" เหลียนเซวียนย่นคิ้ว "พูดมาสิ กลับไปถึงแคว้นฉีแล้วข้าจะจะให้คนช่วยเ้าหาเอง"
"ฮ่าๆ ขอบคุณในความหวังดี แต่ว่าหาไม่เจอหรอก เอาล่ะ เหลียนเซวียน ข้าไปละ จะไปส่งสารให้ท่าน"
ถ้าหาเจอก็ผีหลอกแล้วล่ะ เซวียเสี่ยวหรั่นรีบทาน้ำมันใต้ฝ่าเท้าหาข้ออ้างเผ่นหนี
เหลียนเซวียนจดจ้องแผ่นหลังบอบบาง ความไม่พอใจที่สะสมมานานก็พลันประทุ
...
[1] ตบสะโพกม้า หมายถึงการเยินยอ เอาอกเอาใจ
