เถี่ยมู่เหอมิเคยคิดว่าหากเพลงดาบนี้ไม่ประสบความสำเร็จจะเกิดสิ่งใดขึ้น ด้วยพลังของเขาตอนนี้ยากที่จะออกกระบวนท่านี้ได้อีกเป็ครั้งที่สอง เขายิ่งคิดไม่ถึงว่าจ้านอู๋มิ่งจะสามารถทะลวงความแข็งแกร่งของเขา ะเิประกายดาบทั้งหมดแหลกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย นี่จะต้องใช้พลังมากมายเพียงใด จำเป็ต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งเพียงใด ยามร่างกายทะลุทะลวงผ่านกำแพงเสียงจึงมิมีความเสียหายแม้แต่น้อย
ผู้ฝึกฌานบ่มเพาะพลัง ล้วนอาศัยพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ปกป้องร่างกายจึงจะสามารถใช้ความเร็วสูงได้ ยิ่งความเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ก็จะลดลงเร็วมากขึ้นเท่านั้น ความเร็วยิ่งมาก พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ที่เป็โล่ป้องกันก็ยิ่งไม่เสถียร หากจะให้ความเร็วของร่างกายเกินความเร็วของเสียง อย่างน้อยก็ต้องระดับราชันาขั้นปลาย พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้เข้มข้นเปี่ยมพลัง แต่ว่าร่างกายของจ้านอู๋มิ่งมิมีความผันผวนของพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้แม้แต่น้อย แต่ภายใต้การโจมตีเมื่อครู่นั้น ร่างกายกลับทะลุความเร็วเสียงในระยะเวลาอันสั้นได้ นี่มันมิสมเหตุผลแม้แต่น้อย กระทั่งบรรดาสัตว์อสูรสายเืชั้นสูงในเทือกเขาสัตว์อสูรที่มีร่างกายที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ยังน้อยยิ่ง เถี่ยมู่เหอถูกชกจนกระเด็นออกไป ยังมิทันตกถึงพื้นก็เห็นเท้าใหญ่ข้างหนึ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตรงหน้า จากนั้นก็กลายเป็เงาขนาดใหญ่ กระทืบใส่ร่างกายที่ยังอยู่กลางอากาศเสียงดังตูมจนร่วงลงมา
จ้านอู๋มิ่งรวดเร็วจนเขาตอบสนองไม่ทัน ร่างกายร่วงหล่นลงพื้นอย่างหนักหน่วง แรงสั่นะเืเหมือนโดนอุกกาบาตพุ่งชน ทำให้ต้องกระอักเืออกมาอีกคำ นอนแผ่หมดสภาพอยู่บนพื้น ขาข้างหนึ่งของจ้านอู๋มิ่งเหยียบอยู่บนหน้าอก ขอเพียงจ้านอู๋มิ่งพอใจก็สามารถคร่าชีวิตได้อย่างง่ายดาย
“ถ้าหากพวกเ้ากล้าขยับ เขาก็ตาย!” จ้านอู๋มิ่งหันไปทางพรรคพวกอีกห้าคนที่คิดจะเข้ามาช่วยเถี่ยมู่เหอ ตวาดเสียงเ็าคำหนึ่ง
ห้าคนนั้นเห็นเถี่ยมู่เหอาเ็สาหัสและกำลังคิดจะเข้าไปช่วย เมื่อถูกจ้านอู๋มิ่งตวาดใส่ พลันหยุดชะงักลง มิกล้าเคลื่อนไหวอีก
ถนนสายยาวเงียบสงัดราวความตาย เถี่ยมู่เหอจึงพ่ายแพ้ลงเช่นนี้ พ่ายแพ้ให้แก่ไอ้หนูที่ไม่รู้จักและไร้ชื่อเสียงผู้หนึ่ง สิ่งที่ทำให้ผู้คนใก็คือร่างของคนผู้นี้ไม่มีพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้แม้แต่น้อย เป็นักฝึกฌานบ่มเพาะพลังกายภาพผู้หนึ่ง
จ้านอู๋มิ่งในยามนี้สุดอหังการ เหมือนเช่นสัตว์ร้ายสมัยาตัวหนึ่ง เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนร่างของเถี่ยมู่เหอ เหลือบสายตามองไปโดยรอบ ฤทธิ์เดชเทียมฟ้า
มองไปรอบตัวคราหนึ่ง พลันจ้านอู๋มิ่งหันกลับไปยิ้มให้กับเถี่ยมู่เหอที่ใบหน้าเศร้าหมองและขุ่นเคือง ยิ้มอย่างเ้าเล่ห์เพทุบายและไร้ยางอาย การแสดงออกเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน มิบอกล่วงหน้า เล่นเอาทุกคนประหลาดใจ เมื่อครู่ยังเป็วีรบุรุษของโลกหล้า ตัวข้าที่สุดอหังการ ยามนี้เปลี่ยนโฉมหน้ากลายเป็สีหน้าไร้ยางอายของคนพาลอีกแล้ว รอยยิ้มนั้นช่างแสนต่ำช้าเพียงใด
“ข้าว่านะมู่เถา พวกเราต่อสู้ก็แล้ว สนทนาก็แล้ว เ้าย่อมมิอาจให้ข้าแสดงร่วมกับเ้าเพียงเปล่าๆ หรอกนะ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจแล้ว แหวนจักรวาลของเ้าคือค่าจ้างการปรากฏตัวของข้า” พูดพลางจ้านอู๋มิ่งเท้าหนึ่งเหยียบเถี่ยมู่เหอ เอื้อมมือไปถอดแหวนออกจากนิ้ว การกระทำต่ำช้านั้นทำให้หญิงสาวที่แอบชื่นชมจ้านอู๋มิ่งหัวใจแตกสลายลงเต็มพื้น…
ถอดแหวนหมดสิ้น จ้านอู๋มิ่งยังไม่จบเื่ เอื้อมมือไปลูบหน้าอกของเถี่ยมู่เหอ กลับหยิบเอาทองคำแท่งใหญ่ออกมาหลายแท่ง ภายใต้สายตาของฝูงชน เขายัดใส่กระเป๋าข้างเอวตนเองโดยมิลังเล เหมือนกับว่าเป็เื่ถูกต้องเหมาะสม ยิ่งเลยเถิดกว่านั้นคือจ้านอู๋มิ่งค้นตัวรอบหนึ่งเห็นว่ามิมีสิ่งของมีค่าหลงเหลือแล้ว กลับเห็นว่าต่างหูคู่หนึ่งที่เถี่ยมู่เหอสวมนั้นดูพิเศษนัก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างยิ่ง ยื่นมือดึงมันออกมา เช็ดๆ ตามอาภรณ์ของตน แล้วลองส่องไปมากับแสงแดดดูอีก พึมพำขึ้นว่าเถี่ยมู่เหอยากจนเกินไปแล้ว เครื่องประดับที่สวมก็ไม่เท่าไรแล้วยัดใส่ลงกระเป๋าข้างเอวตัวเอง ทั้งหมดนี้ฝูงชนมองดูจนปากอ้าตาค้าง ทึมทื่อราวไก่ไม้ไปแล้ว…
เคยเห็นคนโเี้ แต่ไม่ถึงเพียงนี้ จากนั้นทุกคนก็พบว่าพวกเขาประเมินความไร้ยางอายของจ้านอู๋มิ่งต่ำไป จ้านอู๋มิ่งหยิบทองคำแท่งเล็กๆ จากอกเสื้อ ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “จะให้ค่าเดินทางสำหรับกลับบ้านแก่เ้าก็แล้วกัน” พูดพลางเตรียมจะยัดทองแท่งลงไปในอกเสื้อเถี่ยมู่เหอ ขณะกำลังจะยัดเข้าไปพลันพูดอีกว่า “เท่านี้มากเกินไปแล้ว” พูดพลางหยิบแท่งทองคำกลับคืนมา หยิบเหรียญทองจากกระเป๋าออกมาเหรียญหนึ่ง ใช้ปากเป่าๆ พึมพำกับตนเองว่า “เฮ้อ กำไรเหรียญทองน้อยลงอีกเหรียญหนึ่งแล้ว”
ปาจี๋ได้ยินเสียงคนสลบล้มดังตึงจากด้านข้าง ได้ยินเสียงคนกระซิบดูแคลนจ้านอู๋มิ่ง เขาเองก็พูดไม่ออกจริงๆ นี่มันเื่อันใดกันนะ…เป็คนไฉนถึงทำตัวเลวทรามได้ถึงขนาดนี้
“เฮ้อ ปีนี้การค้าไม่ง่ายดายเลยจริงๆ!” จ้านอู๋มิ่งถอนหายใจพูดขึ้น คลายเท้าออก นั่งยองลงข้างกายเถี่ยมู่เหอ หัวเราะแล้วกล่าวขึ้นเรียบๆ “ข้ารู้ว่าเ้าจะต้องรู้สึกอัปยศยิ่ง จมดิ่งและผิดหวัง อีกทั้งยังโกรธเคืองอย่างยิ่ง การรู้สึกเช่นนั้นไม่จำเป็เลยจริงๆ ในใต้หล้านี้ เพียงแค่หมัดหนักก็เป็คำตอบสุดท้าย มีคนเคยเล่านิทานเช่นนี้ให้ข้าฟังเื่หนึ่ง ตอนที่เขายังเยาว์วัยและแข็งแรง ถูกบังคับให้คลานลอดหว่างขาผู้อื่น ได้รับความอัปยศยิ่งนัก เขาจำความอัปยศนี้ได้เสมอ จึงขยันขันแข็งเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น สาบานว่าจะมิให้ผู้อื่นดูถูกได้อีก สุดท้ายเขาทำสำเร็จ ได้เป็ราชันทรราชผู้หนึ่ง ทั่วหล้าให้ความเคารพยำเกรง เวลานั้นเขาเสาะหาคนที่บังคับตนให้คลานลอดหว่างขาในตอนนั้นจนพบ แต่ว่าเขามิได้สังหารอีกฝ่าย และยังแสดงความเคารพอย่างเต็มรูปแบบต่ออีกฝ่าย เขากล่าวว่าหากมิได้รับความอดสูในยามนั้น เช่นนั้นแล้วเขาก็จะไม่สามารถละทิ้งความเย่อหยิ่งได้อย่างแท้จริง แล้วก็มิสามารถมุมานะเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น ยิ่งมิสามารถประสบความสำเร็จเป็ที่เคารพในวันนี้ จุดเปลี่ยนยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตก็คือตอนที่เขาคลานลอดหว่างขาผู้อื่น ดังนั้นจึงขอขอบพระคุณอย่างยิ่งต่ออีกฝ่าย…” หยุดครู่หนึ่ง จ้านอู๋มิ่งยัดเหรียญทองเหรียญนั้นใส่ในมือเถี่ยมู่เหอ กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าเชื่อมั่นว่าเ้าจะไม่ทำให้มันสูญหาย เพราะมีมันอยู่ เ้าจะจำได้ตลอดเวลาว่าความเย่อหยิ่งและการหลงตัวเองนั้นช่างไร้ความหมาย หากมิสามารถทนความทุกข์ยาก มิสามารถขยันขันแข็งเพื่อแข็งแกร่งขึ้น เช่นนั้นแล้ว วันนี้ข้าสร้างความอัปยศให้แก่เ้า ในอนาคตผู้อื่นอาจไม่ทำเช่นนั้น แต่ว่าเขาจะสังหารเ้าแทน สำหรับเ้าแล้ว ข้าเพียงหวังดี ดังนั้นขอให้เ้ารักษาเหรียญทองเหรียญนี้ให้ดี!”
คำพูดของจ้านอู๋มิ่งเบายิ่งนัก แต่ผู้ชมรอบข้างล้วนมิใช่คนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นภายใต้คำพูดของจ้านอู๋มิ่ง ผู้คนส่วนหนึ่งเงียบขรึมลงแล้ว ในขณะที่คนอีกส่วนหนึ่งยิ่งดูแคลนความไร้ยางอายของจ้านอู๋มิ่งมากกว่าเดิม ยังมีคนส่วนหนึ่งแสดงสีหน้าดูิ่ดูแคลน พลันสายตาเถี่ยมู่เหอเปล่งประกายขึ้นวูบหนึ่ง เขามองตาของจ้านอู๋มิ่ง ไอคราหนึ่งแล้วถามว่า “ข้าขอทราบนามของเ้า!”
จ้านอู๋มิ่งหัวเราะ ร่างสูงลุกขึ้นยืน หันศีรษะมุ่งหน้าเดินไปทางหลิ่วหว่านอวี๋ ตอบเสียงเรียบว่า “ข้าต่อสู้ดิ้นรน่ชิงโชคชะตามาตลอดทั้งชีวิต นามของข้า——จ้านอู๋มิ่ง!”
“จ้านอู๋มิ่ง!” เถี่ยมู่เหอกำเหรียญทองในมือแน่น พูดพึมพำท่องชื่อนี้ขึ้นมา นิทานเื่นั้นของจ้านอู๋มิ่งก้องกังวานอยู่ในใจ เขามิรู้ว่าไฉนจ้านอู๋มิ่งจึงต้องกล่าววาจาเหล่านี้กับตน แต่เขากลับกระจ่างแจ้ง หากสลับตำแหน่งกัน เขาจะสังหารจ้านอู๋มิ่งทันทีโดยมิลังเล แต่จ้านอู๋มิ่งกลับแค่เอาชนะและเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าเท่านั้น สร้างความอัปยศให้ตนราวกับอันธพาล หลังจากนั้นก็เล่านิทานเช่นนี้ให้ฟังเื่หนึ่ง เขามิเข้าใจคนผู้นี้
เถี่ยมู่เหอกลับมิรู้สึกแค้นเคืองจ้านอู๋มิ่งแม้แต่น้อย ขณะกำลังเหม่อลอย คล้ายดั่งสิ่งที่ขวางกั้นในใจกำลังจะทะลุทะลวง ขอบเขตในจิตใจที่มิอาจทะลวงผ่านเนิ่นนานพุ่งขึ้นดัง "บูมมม" พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ภายในร่างโคจรอย่างรวดเร็วราวกับได้รับยากระตุ้นก็มิปาน อาการาเ็ของร่างกายก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เถี่ยมู่เหอนั่งขัดสมาธิ พลังปราณบ้าคลั่งสายหนึ่งดุจม้าป่าที่หลุดบังเหียนก็มิปานพุ่งทะยานออกมา ควบแน่นเป็ประกายดาบมากมายนับมิถ้วน ล้อมรอบร่างกายเถี่ยมู่เหออย่างรวดเร็ว ประกายดาบดุจดั่งดักแด้ขนาดั์ห่อหุ้มร่างกายเถี่ยมู่เหอไว้ภายใน
เถี่ยมู่เหอกลับทะลวงด่านสำเร็จหลังจากพ่ายแพ้อย่างอนาถ เป็ระดับปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาวบนถนนหลักของเมืองหนานเจา ได้ยินว่าเถี่ยมู่เหอเพิ่งทะลวงด่านเป็ปรมาจารย์นักยุทธ์แปดดาวสำเร็จเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น และวันนี้กลับทะลวงผ่านด่านสำเร็จอีกครั้ง อีกทั้งอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็ผู้อื่น เกรงว่าต้องท้อแท้ มิอาจลุกขึ้นมาได้อีก แต่เถี่ยมู่เหอกลับตรงกันข้าม มิเพียงแต่ฟื้นฟูกำลังความแข็งแกร่งภายในเวลาอันสั้น อีกทั้งยังสามารถทะลวงด่านสำเร็จอีกครั้ง
ปาจี๋และหลิ่วหว่านอวี๋ก็ใจนโง่งมแล้ว หันศีรษะมองจ้านอู๋มิ่งที่สีหน้ายังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ พอจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง
องครักษ์ของเถี่ยมู่เหอรีบคุ้มกันเถี่ยมู่เหออย่างแ่า ในใจยินดีปานคลุ้มคลั่ง ไม่คิดว่านายน้อยกลับได้รับวาสนาในคราวเคราะห์ ตอนที่นายน้อยเป็ปรมาจารย์นักยุทธ์แปดดาวก็อยู่ในอันดับหกสิบเจ็ดของยอดฝีมือป้ายประกาศรายชื่อทองแล้ว ยามนี้ทะลวงด่านขึ้นเป็ปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาวสำเร็จ อันดับย่อมต้องเลื่อนขึ้นมาอยู่ในสามสิบอย่างแน่นอน!
หากสามารถฝึกปรือกระบวนท่า "ดาบทลายนภากาศ" ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก็สามารถจะลบล้างความอัปยศของการสัประยุทธ์เมื่อครู่นี้ได้ ดังนั้นผู้คุ้มกันจึงจ้องมองจ้านอู๋มิ่งด้วยความตื่นเต้นยิ่งนัก เกรงว่าจ้านอู๋มิ่งจะมาทำลายการทะลวงด่านของเถี่ยมู่เหอ
จ้านอู๋มิ่งไม่แม้แต่หันกลับมามอง มุ่งหน้าตรงไปอีกทางของถนนสายยาว ปาจี๋และหลิ่วหว่านอวี๋เดินประกบข้างกายซ้ายและขวา ผู้คนบนถนนเส้นยาวพากันหลีกทางให้โดยทันที
“ตูมมม!” ประกายดาบบนร่างเถี่ยมู่เหอแตกกระจายจนละเอียด แปรเปลี่ยนเป็พลังแหลมคมสายหนึ่งซึมซับเข้าสู่ภายในร่างกาย ทะลวงด่านขึ้นเป็ปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาวสำเร็จอย่างราบรื่น เถี่ยมู่เหอลุกขึ้นยืน แต่กลับไม่เห็นจ้านอู๋มิ่ง
“นายน้อย มันเพิ่งจากไป คิดว่ายังไปได้มิไกลแน่นอน ตอนนี้นายน้อยบรรลุปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาวแล้ว ย่อมสังหารมันได้แน่นอน!” องครักษ์ผู้หนึ่งรีบรายงาน
“หุบปาก!” เถี่ยมู่เหอตวาดอย่างโมโห จากนั้นมองไปยังทิศทางที่จ้านอู๋มิ่งจากไปไกล กำเหรียญทองในมือจนแน่นและพูดขึ้นเสียงเรียบๆ ว่า “เขามิใช่ศัตรู แต่คือผู้มีพระคุณของข้า! จงจำไว้ ต่อจากนี้ไปตระกูลเถี่ยต้องไม่เป็ศัตรูกับเขา ผู้ใดฝ่าฝืนฆ่าได้ทันที!”
บรรดาองครักษ์ของเถี่ยมู่เหอมองหน้ากัน คล้ายเข้าใจและก็คล้ายมิเข้าใจ
“ข้าจะไม่ทำให้เ้าผิดหวังแน่นอน พวกเราจะได้พบกันอีก” เถี่ยมู่เหอพึมพำกับตนเอง พูดพลางนำเหรียญทองใส่ไว้ในอกเสื้ออย่างเช่นสมบัติล้ำค่ายิ่งนัก
ข่าวคราวที่เถี่ยมู่เหอถูกโจมตีจนพ่ายแพ้และบรรลุปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาวสำเร็จบนถนนแพร่ไปทั่วเมืองหนานเจาอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวไม่ว่าจะเป็จ้านอู๋มิ่งที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามก่อนหน้านี้ หรือว่าเถี่ยมู่เหอที่ถูกขนานนามเป็อัจฉริยะ ล้วนกลายเป็หัวข้อสนทนายอดนิยมไปแล้ว
เถี่ยมู่เหอพ่ายแพ้แล้ว กลับมิมีผู้ใดเห็นว่าเขาน่าอับอายขายหน้า เนื่องจากทุกคนได้เห็นฝีมือที่แท้จริงของเขาแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือความพ่ายแพ้ไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขา กลับทะลวงด่านสำเร็จกลางสมรภูมิ เพียงใช้ระยะเวลาไม่กี่เดือน ก็สามารถทะลวงด่านจากปรมาจารย์นักยุทธ์แปดดาวเป็เก้าดาว เห็นได้ชัดว่าคุณสมบัติและพร์ของเขายอดเยี่ยมเพียงใด พลังที่แท้จริงของปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาว พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ตำแหน่งยอดฝีมือบนป้ายประกาศรายชื่อทองของเถี่ยมู่เหอจะเลื่อนขึ้นไปมากน้อยเพียงใด? ยังมีคนคาดเดาอีกว่า หลังจากบรรลุปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาวแล้ว เถี่ยมู่เหอกับจ้านอู๋มิ่งผู้ลึกลับคนนั้น ฝีมือของผู้ใดจะร้ายกาจกว่ากัน?
ยังมีคนตั้งข้อสงสัยขึ้นอีกว่า บนร่างจ้านอู๋มิ่งไร้พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ อาศัยเพียงพลังของกายเนื้อก็สามารถโจมตีปรมาจารย์นักยุทธ์แปดดาวจนพ่ายแพ้ แล้วจะชี้วัดพลังความแข็งแกร่งของเขาได้อย่างไร? เป็เก้าดาวหรือว่าราชันา? หรือว่าจะเป็ตัวประหลาดที่มิเคยมีมาก่อนคนหนึ่ง ไร้ยางอายที่สุด กักขฬะหยาบคายที่สุด ตระหนี่ถี่เหนียวที่สุด อีกทั้งยังเป็หัวขโมยเต็มตัว…แต่ก็เพราะเป็คนผู้นี้เช่นกัน ที่เล่านิทานเื่หนึ่งก็ทำให้เถี่ยมู่เหอทะลวงด่านสำเร็จกลางสมรภูมิ พริบตาเดียว นามของจ้านอู๋มิ่งก็กลายเป็หัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในเมืองหนานเจาไปแล้ว
จ้านอู๋มิ่งมิแยแสคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น ทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในการคาดคำนวณของเขาอยู่แล้ว ตอนที่เขาทราบว่าอีกฝ่ายคือเถี่ยมู่เหอที่อยู่ในอันดับที่หกสิบเจ็ดบนป้ายประกาศรายชื่อทอง เขาก็วางแผนไว้แล้ว เหตุผลที่เขาถ่วงเวลาต่อสู้กับเถี่ยมู่เหอนานร่วมหนึ่งชั่วยาม เพราะเขาทราบว่าด้วยอิทธิพลของเถี่ยมู่เหอที่มีชื่อติดอยู่บนป้ายประกาศรายชื่อทอง ขอเพียงมีเวลามากเพียงพอจะต้องมีผู้คนมาชมจำนวนมาก
จ้านอู๋มิ่ง้าใช้ประโยชน์จากชัยชนะอย่างมิต้องสงสัย ทำให้ผู้คนทั่วทั้งเมืองหนานเจาล้วนรู้จักเขา เมื่อเป็เช่นนี้ ต่อให้เขามิเข้าร่วมการคัดเลือกใหญ่ของแปดสำนัก ก็ได้เข้ามาอยู่ในความสนใจของแปดสำนักแล้ว ส่วนผู้ใดจะมาหาเขาก่อน ก็ขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละสำนักนิกาย
จ้านอู๋มิ่งไม่ได้สังหารเถี่ยมู่เหอ เนื่องเพราะวิชาดาบของเถี่ยมู่เหอ ทำให้เขานึกถึงคนผู้หนึ่งในชาติภพก่อน——จอมดาบ ปรมาจารย์ดาบผู้น่าเคารพนับถือคนนั้น ดังนั้นเขาจึงเลือกคล้อยตามดวงชะตาฟ้า ช่วยเหลือเถี่ยมู่เหอครั้งหนึ่ง
ชะตาชีวิตสามารถเปลี่ยนแปลงย้อนทวนฝืนฟ้ากำหนด เช่นเดียวกันการเปลี่ยนชะตาชีวิตสามารถคล้อยตามฟ้ากำหนด การเปลี่ยนชะตาชีวิตคล้อยตามฟ้ากำหนดเป็ภารกิจที่สำเร็จลุล่วงง่ายดายชนิดหนึ่ง ชะตาชีวิตของเถี่ยมู่เหอเดิมก็ประเสริฐยิ่งนักอยู่แล้ว และวันนี้ตนได้ให้คำชี้แนะ ทำให้เขาก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นจึงยิ่งไร้ขีดจำกัดมากขึ้น จ้านอู๋มิ่ง้าย้อนทวนฝืนฟ้า่ชิงชะตาชีวิต มิเพียง้า่ชิงชะตาชีวิตของฟ้า ในขณะเดียวกันก็ต้องอาศัยชะตาชีวิตผู้อื่นเป็พลังเสริม การ่ชิงผสมผสานกับการช่วยเหลือ จึงสามารถบรรลุการก้าวข้ามที่เหนือกว่าอย่างแท้จริง เขาเชื่อมั่นว่าต้องมีสักวันที่เถี่ยมู่เหอจะเป็กำลังสำคัญของตนในการ่ชิงชะตาชีวิต การมาเมืองหนานเจาเป็การตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วจริงๆ
จ้านอู๋มิ่งและหลิ่วหว่านอวี๋เดินได้ไม่ไกลก็ชะงักลง เส้นทางถูกปิดกั้น
ถนนสายยาวกว้างมาก แต่จ้านอู๋มิ่งรู้สึกว่ามีช่องว่างขนาดใหญ่ที่ตัดถนนสายยาวทั้งหมดจนขาด แน่นอน นี่เป็เพียงความรู้สึกสายหนึ่ง ความรู้สึกชนิดนี้มาจากชายหนุ่มเสื้อขาวเบื้องหน้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้