“แล้วปกติการแข่งขันเพื่อบรรจุเป็มือปราบมารที่หุบเขาจินลู่ซี นี่มันมีการแข่งอะไรบ้าง” เ้าวั่งซูเอ่ยถาม ขณะ ที่ปากก็กัดไก่คำโต และซดน้ำซุบไม่ขาด
“การที่จะได้เป็มือปราบมารต้องผ่านด่านทดสอบทั้งเก้ากระจก โดยปกติแล้ว จะมีแค่ปรมาจารย์กระจกนั้นๆ ที่สามารถทะลุผ่านข้าออกกระจกได้ ดังนั้นในการแข่งขัน ผู้เข้าแข่งขันล้วนถูกคัดเลือกว่าแกร่งสุดอันดับหนึ่ง และ สอง เป็ตัวแทนจากแต่ละบ้านทั้งเก้ากระจก ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีตัวแทนที่เหมาะสม มีแค่บ้านละคนมากสุดสองคนไม่เกินนี้ ดังนั้นในแต่ละปี จะมีผู้เข้าแข่งขันมากสุดไม่เกิน 18 คน
ส่วนในวิธีการคือ ปรมาจารย์ท่านนั้นจะใช้มนต์แบ่งจิตเข้าในร่างผู้เข้าแข่งขันเพื่อหลอกกระจกให้ปล่อยกายหยาบของผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดเข้าไปในกระจกนั้นๆ ที่ทุกคนเชื่อว่าเป็ภพเสมือนจริง แต่อย่างที่พวกเรารู้กันมาว่าเื้ักระจกคือเส้นทางสู่ภพภูมินั้นๆ ที่แท้จริง เมื่อเข้าไปแล้วผู้เข้าแข่งขันจะเจอศัตรูที่ทางปรมาจารย์เ่าั้ตระเตรียมไว้ซึ่งเป็ศัตรูจริงๆ จากภพนั้น และทำการสู้รบโดยใช้วิชาและไหวพริบที่ตนฝึกฝนมา ต่อกรกับสิ่งมีชีวิตจากต่างภพ ถ้าคนไหนสามารถมีชีวิตรอดออกมาได้จากทั้งเก้ากระจก ถึงได้รับตราเกียรติยศสำนักเก้ายุตราขึ้นเป็หนึ่งในมือปราบมารของสำนักสืบต่อไป” ฮวาเฟยฟาเล่าขั้นตอน
“ซึ่งฟังดูไม่ง่ายเลย แสดงว่าต้องมีคนสละชีวิตในการแข่งขันจริงหรอ แล้วมันมีคนผ่านบ้างไม๊แต่ละปี” เ้าวั่งซูฟังก็ใในความยากของการทดสอบและเอ่ยถามสงสัย
“อย่างที่เ้าเห็นว่าในสำนักล้วนมีแต่ผู้ฝึกตน ส่วนมือปราบมารมีแค่ไม่กี่คน และล้วนแต่เป็รุ่นก่อนหน้านี้อยู่รอดมา ส่วนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่ไม่ผ่านการทดสอบ และเอาชีวิตมาทิ้งในการแข่งขัน อาจจะมีบ้างปีละหนึ่งคน แต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนไม่มีผู้เข้าแข่งขันรอดมาได้สักคน” ฮวาเฟยฟาเล่า
“นี่ถ้าข้าไปทดสอบ ข้าเองก็อาจจะไม่ผ่านหรืออาจจะโดนคร่าตาย” เ้าวั่งซูบ่นหน้ามุ่ย
“ไม่หรอกเ้ามีไหวพริบดี พลังจักราแข็งแกร่ง และพลังเวทย์ส่วนใหญ่ของเ้าครอบคลุมความสามารถของคู่ต่อสู้ เหลือแค่ไหวพริบในการใช้และแก้ปัญหาตรงนั้น ดังนั้นข้าคิดว่าเ้าสามารถรับมือพวกต่างภพได้ทั้งหมด ถ้าเ้าไม่เผลอไผลเพลี่ยงพล้ำ แต่เ้าจะกังวลไปทำไม ในเมื่อเค้าเอาเกี้ยวมาเชิญเ้าไปรับเหรียญอยู่แล้วหนิ คุณชายซูซูแห่งสกุลเ้าผู้ถือเคียวสู่ภพ” เฟยฟาพูดนิ่งแซว
“แหม! เ้าก็ล้อข้าไป แสดงว่าถึงแม้ว่าปีนี้จะไม่มีผู้ทดสอบผ่าน ก็ยังมีข้าที่ขึ้นรับตรานั้น สรุปข้าเหมือนถูกเอาไปเป็หน้าตาของงานทั้งๆ ที่ลับหลังก็พากันซุบซิบนินทา หรืออาจจะเอาข้าไปประจานกลางงาน เห้อ! แต่ความจริงที่น่าเศร้าคือ ผู้คนล้วนลืมสิ่งดีที่สกุลเ้าทำให้กับโลกใบนี้ แต่กลับเลือกจำแค่สิ่งที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ซึ่งจริงก็ไม่ใช่ข้อผิดพลาดแต่เป็เสียสละยิ่งใหญ่มากต่างหาก มนุษย์นี้ช่างน่าเวทนายิ่งนัก เค้าเลือกมอง เข้าใจ และจดจำตามๆ กัน” เ้าวั่งซูกล่าวมองออกไปท้องฟ้าและทำหน้าเศร้า
“แล้วเ้าจะใว่าผู้คนสามารถลืมได้เร็วแค่ไหนเมื่อคนๆ นึงจากโลกนี้ไป ดังนั้นมันไม่สำคัญหรอกว่าผู้คนจะจดจำเราอย่างไร แต่ตัวเราแค่ต้องรู้ ต้องทำแต่ในสิ่งที่ดี เพื่อที่ให้เราได้จดจำตัวเองในทางที่ดี เพื่อที่ว่าเวลาที่เราจากโลกนี้ไป และมองย้อนกลับมาจะไม่มีเื่ใดที่น่าละอายหรือเสียใจเลย อย่างเช่นท่านปู่ทวดของเ้า เค้าเป็คนเข้มแข็งที่สุดที่ข้าเคยรู้จัก และในขณะเดียวกันก็มีจิตใจที่อ่อนโยนมากทีเดียว แม้ในวินาทีสุดท้ายเค้าก็ยอมสละชีวิตตนเพื่อช่วยทุกคน แม้มันต้องแลกกับการเข้าใจผิดของผู้คนทั้งหมด ตอนนั้น ข้ายังจำได้ไม่มีวันลืมประโยคสุดท้ายที่เค้าพูดกับข้าในวันนั้น “เฟยเฟยให้ข้าได้เก็บเกี่ยวผลแห่งกรรมนี้ เ้าเข้าใจข้านะ” ฮวาเฟยฟาเล่าน้ำตารื้น
“ข้าจักต้องแก้ไขความเข้าใจผิด ที่ทุกคนมีต่อท่านปู่ทวด และสกุลเ้าให้ได้” เ้าวั่งซูกล่าวหนักแน่น
“และข้าจะอยู่ข้างๆ ช่วยเหลือเ้าเอง แต่ตอนนี้น่าจะสายแล้วสำหรับพิธีการทดสอบพวกเรารีบไปกันเถอะ” ฮวาเฟยฟายิ้มอ่อนโยน
“จริงด้วยข้าลืมไปเลย งั้นเรารีบไปกันเถอะ” เ้าวั่งซูรีบลุกขึ้นกับเฟยฟา ทั้งสองรีบออกเดินทางตรงไปสำนักคุ้มภัยเก้าจักยุตรา
การเดินทางไปสำนักนั้นต้องขึ้นเขาไป เนื่องจากบนสำนักฝึกตนแห่งนี้ไม่ใช่แค่ที่ฝึกฝน แต่มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่ท่องเที่ยว ที่เปิดให้ผู้คนขึ้นไปชมความงามได้ และจะมีแขกจากต่างภพแวะมาเยี่ยมเยียน ร่วมงานบ่อยครั้ง ดังนั้นในระหว่างทางขึ้นเขาจึงไม่เงียบเหงาเลยเพราะจะมีชาวบ้านออกมาค้าขายของมากมาย มีติดโคมสร้างสีสันให้ตลอดเส้นทางลาดชันตรงสู่ปลายทาง้า
บริเวณสำนักฝึกตนเก้าจักยุตรานั้นเป็สถานที่เดียวในหมู่บ้านชุนเทียนที่มีฤดูต่างๆ สับเปลี่ยนไปมาปกติ ตั้งตัวลอยสูงอยู่เหนือกลุ่มเมฆบนหุบเขา บางตำหนักตั้งอยู่ยอดเขาที่เสียดแทงสูงเหนือเมฆ บางตำหนักลอยอยู่ในอากาศ แต่ทุกตำหนักจะมีสะพานทอดทะลุผ่านกลุ่มไอเมฆไอหมอกเชื่อมตัวตำหนักทุกตำหนักของสำนักต่อกัน ลักษณะเป็โครงข่ายคล้ายใยแมงมุม จุดศูนย์กลางคือตำหนักที่ใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลางตั้งตระหง่านสูง มีลานประลองยุทธ ลานพักผ่อน และตำหนักสูงอลังการ ใช้สำหรับการพบปะ ประชุม และทำกิจกรรม อื่นๆ มีสะพานทางเดินเชื่อมออกจากตำหนักหลักแตกระแหงหลายเส้นทางเป็เหมือนสะพานทอดตัวผ่านกลุ่มเมฆ
โดยชั้นแรกถัดจากตำหนักหลักจะเป็พวกลานกิจกรรม ลานพักผ่อน ถัดไปมีตำหนักพักสำหรับผู้ฝึกตน ถัดออกไปอีกชั้นมีตำหนักสำหรับ คณาจารย์ ผู้ใหญ่แขกมาเยือน ถัดออกไปมีเรือนพักผ่อนหย่อนใจ สถานที่เก็บกักประวัติศาสตร์ยาวนานเกี่ยวกับการเกิดขึ้นการแตกออกของภพ ผู้คนที่ยิ่งใหญ่ และ ยุทธภพ รวมถึงความรู้อื่นๆ และอีกหลายชั้นถัดออกไปไกลโพ้นมากมาย จนถึงชั้นสุดท้ายของใยแมงมุมนั้นคือ
ตำหนักทั้งเก้ากระจกที่มีเหล่าปรมาจารย์ประจำกระจกนั้นๆ อยู่ประจำเพื่อปกปักรักษาจากชั้นนอกสุด โดยปกติตัวกระจกทั้งเก้าจะคอยส่งพลังถึงกันและกันเบาๆ เชื่อมกันจากทุกทิศเหมือนสัญญาณเตือนภัยยามมีศัตรูหรือสิ่งแปลกปลอมก้าวร่วงเข้ามายังอาณาเขตสำนักเก้าจักยุตกรา และ อีกด้านจะสะท้อนพลังออกเพื่อส่งพลังป้องกันไปถึงอาณาเขตชายแดนหมู่บ้านต้องสาปเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดที่แปลกปลอมเข้าและออกมากจนเกินไป เหล่าปรมาจารย์ผู้ดูแลกระจกต้องดูแล และ ค่อยถ่ายเติมพลังไปมากับกระจกอยู่เสมอ (จริงๆ แล้วเข้าออกภพจริง และผูกสัมพันธ์รวมถึงจับตาดูในกรณีที่อาจจะมีความปกติเกิดขึ้นในภพอื่นๆ) และตัวกระจกทั้งเก้าต้องยืนอยู่ครบทุกบานเพื่อส่งพลังถึงกันและกัน ในกรณีที่บานใดบานหนึ่งเสียหาย แตก หรือถูกทำลายลง โครงข่ายทั้งหมดจะพังลง กระจกจะสูญเสียความสามารถและพลังทุกอย่างในการเชื่อม ป้องกัน และ ผ่านทะลุ ทางเดียวที่แก้ไข คุมสถานการณ์ และฟื้นฟู คือต้องมีกระจกบานที่สิบในตำนาน ซึ่งมาจนในโลกปัจจุบันก็ไม่มีใครเคยได้เห็น พบเจอ หรือทราบว่ามีอยู่จริงไหม นอกจาก เ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟา