คนผู้นั้นสีหน้ายิ่งดำทะมึนกว่าเก่า คล้ายว่าอยากจะยื่นมือออกมาปิดปากเสี่ยวหมี่ แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะ
เสี่ยวหมี่พูดรัวเร็วราวกับสาดตะปูปักแผ่นหลังเขาว่าเป็คนไร้มารยาทหน้าไม่อาย...
เขาก็แค่เป็ห่วงลูกศิษย์ของตนเอง แต่ก็ไม่อยากเปิดเผยตัวตนต่อหน้าทุกคน ถึงต้องมายังบ้านสกุลลู่ในยามวิกาลเช่นนี้...
คนคนนั้นะโออกไปทางหน้าต่างทันที
เสี่ยวหมี่รีบวิ่งเข้าไปปิดหน้าต่างให้สนิท ปากนางยังก่นด่าไม่หยุด แต่ยิ่งด่าเสียงกลับยิ่งเบาลง น้ำตาค่อยๆ หยดลงมา
ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ นี่เป็ครั้งแรกที่นางต้องประสบพบเจอกับประสบการณ์อันตรายเช่นนี้ หากคนคนนี้ไม่ใช่อาจารย์ของพี่รองลู่ เช่นนั้นนางจะมีจุดจบเช่นไร...
นึกถึงภาพข่าวน่ากลัวที่นางเคยเห็นในชาติก่อน นางก็ตัวสั่นไม่หาย
“พี่ใหญ่เฝิง ข้าคิดถึงท่าน ฮือฮือ ท่านจะกลับมาเมื่อใด”
…
บิดาลู่เคี้ยวข้าวดิบในปากพลางมองบุตรสาวบ่อยๆ เขาเป็กังวลยิ่งนัก พี่ใหญ่ลู่กลัวว่าบิดาจะฟันแตกเพราะข้าวดิบ จึงแอบส่งแป้งข้าวโพดทอดในมือไปให้บิดาแทน
ผู้เฒ่าหยางกลับยังคงยิ้มแย้มกินข้าวเหมือนปกติ ราวกับััไม่ได้แม้แต่น้อยว่ากับข้าวสองอย่างบนโต๊ะวันนี้จานหนึ่งไม่ได้ใส่เกลือ จานหนึ่งใส่มากจนกินแล้วแทบสำลัก
ซูอีมองคนนั้นทีคนนี้ที สุดท้ายก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวคำใหญ่
บิดาลู่กระแอมเบาๆ ถามบุตรสาวอย่างระมัดระวังว่า “เสี่ยวหมี่ เ้าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? ให้ลุงสามปี้มาช่วยจับชีพจรดีหรือไม่?”
“หา ข้า...” เสี่ยวหมี่ได้ยินคำถามของบิดาก็รีบดึงสติกลับมา “ไม่มีอะไรเ้าค่ะ ท่านพ่อ ข้าเพียงแค่หลับไม่ค่อยสนิทเมื่อคืนนี้”
บิดาลู่ยังคิดจะพูดอะไรอีก แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดลงไป ถึงแม้เขาจะสนใจอยู่แต่กับตำรับตำรา แต่เขาก็ดูออกว่าบุตรสาวไม่ได้เพียงแค่นอนหลับได้ไม่ดีมาหนึ่งคืนแน่ๆ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ถึงขั้นต้มโจ๊กไหม้ในตอนเช้า และทำกับข้าวรสชาติยากรับประทานเช่นนี้ในยามเที่ยง
น่าเสียดาย จะอย่างไรเขาก็เป็บิดา ถามอะไรมากไม่ได้ นาทีนี้เขานึกถึงภรรยาที่จากไปแล้วยิ่งนัก หากว่านางยังอยู่ บุตรสาวเขาก็คงมีที่พึ่งพิง มีเื่อะไรก็ไม่ต้องเก็บไว้คนเดียวให้ครอบครัวเป็ห่วงเช่นนี้
เสี่ยวหมี่คีบกับข้าวใส่ปากหนึ่งคำแล้วคายออกมาทันที เงยหน้ามองทุกคนที่ไม่รู้ว่าจะย้ายตะเกียบไปคีบอะไรเข้าปากดี นางก็รีบกล่าวว่า “เหมือนว่าข้าจะใส่เกลือมากเกินไป พวกท่านไม่ต้องกินแล้ว เดี๋ยวข้าเข้าไปต้มบะหมี่มาให้เ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องวุ่นวาย ในเมื่อเ้านอนหลับไม่ค่อยดีนัก เช่นนั้นก็พักผ่อนเถอะ กินให้น้อยลงสักมื้อก็คงไม่ถึงตาย เย็นนี้ค่อยกินก็ได้”
บิดาลู่รีบห้ามไว้ แล้วจึงส่งสายตาให้พี่ใหญ่ลู่รีบเก็บโต๊ะ
เสี่ยวหมี่ย่อมไม่อาจทนเห็นคนในบ้านต้องหิวท้องได้ นางจึงเข้าครัวไปทำบะหมี่ให้ทุกคนอยู่ดี ดีที่ครั้งนี้ฝีมือนางกลับมาเป็ปกติเช่นเดิมแล้ว บะหมี่เนื้อชามใหญ่ได้ลงไปปลอบโยนกระเพาะที่ถูกทารุณมาั้แ่เช้าของทุกคนเป็ที่เรียบร้อย
เสี่ยวหมี่ล้างชามเสร็จ เดินออกมาก็เห็นซูอีนั่งยองๆ อยู่ใต้ต้นไม้
นางเดินเข้าไปหาอย่างแปลกใจ “ซูอี เ้ากำลังทำอะไร?”
ซูอีเงยหน้าขึ้นพลางคลี่ยิ้มเจิดจ้า เขาค่อยๆ ยื่นมือไปตรงหน้าเสี่ยวหมี่
เป็ดอกไม้ป่าสีแดงช่อหนึ่ง สีแดงเฉิดฉันดึงดูดสายตา ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้รับดอกไม้ ไม่ได้รับจากชายที่นางรัก หรือชายที่รักนาง แต่เป็เด็กน้อยคนหนึ่งที่นางบังเอิญช่วยไว้มอบให้นาง
หลังจากผ่านประสบการณ์น่าหวาดผวาเมื่อคืนนี้มา ไม่มีใครเข้าใจความหวาดกลัวในจิตใจของนาง ไม่มีมีใครให้นางระบายความกลัวในจิตใจได้
ยามนี้ดอกไม้สีแดงตรงหน้าทำให้นางฝืนเข้มแข็งต่อไปไม่ไหวอีก
“ฮือฮือ ขอบคุณเ้ามาก ซูอี ขอบคุณมาก”
น้ำตาหยดใหญ่ร่วงลงมาััหลังมือของซูอี สุดท้ายก็ไหลลงสู่พื้นดิน
ซูอีราวกับถูกน้ำร้อนลวกก็ไม่ปาน เขาสะดุ้งพลางพูดภาษาท้องทุ่งหญ้ายาวเหยียดอย่างรวดเร็วรีบร้อน
เสี่ยวหมี่เห็นท่าทางใของเขาก็อดขำไม่ได้ จากนั้นจึงรับดอกไม้มาวางไว้บนโต๊ะหิน แล้วดึงเขาให้นั่งลงด้วยกัน
ซูอีแอบเอาหวีไม้ออกมาเงียบๆ เสี่ยวหมี่ก็รับไป แกะเปียบนศีรษะเขาออกมาแล้วช่วยหวีให้ใหม่ จากนั้นก็ค่อยๆ ถักผมให้เขาใหม่ทีละเส้นๆ
“ซูอี มีแต่เ้าที่ดีที่สุด ในเวลาเช่นนี้ดียิ่งนักที่มีเ้าอยู่ด้วย เ้าจะต้องตั้งใจฝึกวรยุทธ์นะ หากวันหน้ามีคนชั่วร้ายมารังแกข้า เ้าก็ช่วยข้าจัดการเสีย”
ซูอีก้มหน้า ไม่รู้ว่าเขาฟังออกหรือไม่ เสี่ยวหมี่เองก็ไม่ได้สนใจ ยังคงพูดเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเสียงเบาต่อไป พูดจบก็ยิ้มออกมาแล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่หางตา พึมพำว่า “ดีที่เ้าฟังไม่รู้เื่ ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้จะไประบายให้ใครฟัง”
ซูอีสะบัดผมเปียเต็มศีรษะพร้อมรอยยิ้มเจิดจ้า
เสี่ยวหมี่เอื้อมมือไปลูบกลีบดอกไม้พวกนั้น จิตใจรู้สึกโล่งสบายขึ้น
คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ซูอีจะคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น ยกชายกระโปรงของนางขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วจุมพิตลงไปเบาๆ
เสี่ยวหมี่ใมาก เดาว่าเขาคงกำลังขอบคุณหรือไม่ก็แสดงความจงรักภักดีต่อนาง จึงรีบประคองเขาขึ้นมาแล้วตบไหล่เขาเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อเ้ามาอยู่บ้านข้าแล้ว ก็เป็คนในครอบครัวข้า อย่าทำเช่นนี้”
พูดจบนางก็เทียบความสูงกับซูอี ก่อนจะยิ้มกว้างกว่าเดิม “ซูอี เหมือนเ้าจะสูงขึ้นอีกแล้ว ฮ่าฮ่า วันหน้าเ้าต้องกินให้มากๆ แล้วเติบโตขึ้นมาเป็ชายร่างกำยำให้ได้ จะได้ไม่มีใครกล้ารังแกเ้าอีก”
นกน้อยเหนือต้นไม้ เห็นหนุ่มน้อยสาวน้อยที่ทำท่าทางสนิทสนมกันอยู่ด้านล่าง ก็ร้อนใจจนกระทืบเท้า แล้วบินหนีหายไปโดยไม่หันกลับมา คนบางคนที่อยู่ห่างไกลออกไปคนนั้นหากยังไม่รีบกลับมาอีก ภรรยาจะถูกผู้อื่นขโมยไปแล้วนะ...
ปลาผัดเปรี้ยวหวาน ผักโขมทอดกระเทียม สาหร่ายน้ำมันพริก ไข่น้ำใส่ผักกาดม่วง พร้อมข้าวสวยสีขาวหิมะหนึ่งชาม เท่านี้อาหารเย็นของสกุลลู่ก็พร้อมแล้ว
สมาชิกในบ้านเดินมาล้อมรอบโต๊ะด้วยใจเต้นไม่เป็ส่ำ เมื่อได้เห็นสีสันและอาหารบนโต๊ะก็พากันถอนใจโล่งอก และยิ้มออกมา
บางคนอาจกล่าวว่าบุรุษผู้เป็เสาหลักของบ้านคือบุคคลที่สำคัญที่สุด แต่ในความเป็จริงแล้วสตรีต่างหากที่สำคัญ
เพราะไม่ว่าจะเื่อาหารการกินเสื้อผ้าข้าวของ เื่น้อยใหญ่ในบ้าน ล้วนแต่เป็สตรีที่จัดการดูแล หากไม่มีสตรีก็ไม่มีคนอุ่นกับข้าวให้ ไม่มีเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน ไม่มีคนจัดการบ้านช่องหรือเื่จุกจิกภายในบ้าน
บิดาลู่คีบกับข้าวให้บุตรสาวอย่างที่น้อยครั้งจะทำ “เสี่ยวหมี่ เ้าต้องกินให้มากหน่อย วันพรุ่งนี้เข้าเมืองไปซื้อสาวใช้กลับมาสักคนเถอะ จะได้มาช่วยแบ่งเบาภาระงานในบ้านของเ้า เ้าจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป”
เสี่ยวหมี่คีบปลาที่เลาะก้างออกแล้วใส่ลงในชามของซูอี อาจเพราะในท้องทุ่งหญ้ามีปลาให้กินไม่มาก ครั้งแรกที่เ้านี่ได้กินปลาก็ถึงกับก้างติดคอเลยทีเดียว หลังจากนั้นเป็ต้นมาเสี่ยวหมี่จึงต้องคอยดูแลเขาเวลากินปลา
“ท่านพ่อ ข้าเองก็เคยคิดเช่นนี้ ยามนี้งานในบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังต้องลงไปดูพืชผักในสวนอีก ข้าเองก็แบ่งเวลาลำบาก”
เสี่ยวหมี่ตักไข่น้ำให้บิดา แล้วกล่าวว่า “อีกอย่าง พี่รองไม่รู้หายไปไหนเสียแล้ว ไม่ยอมกลับบ้านเสียที เถ้าแก่เฉินไปสืบความจากทางพี่สามจนรู้ว่าพี่รองเดินทางกลับมาตั้งนานแล้ว ข้ากลัวว่าเขาจะไปสร้างปัญหาอะไรเข้า ท่านว่า ให้พี่ใหญ่พาพวกพี่เสี่ยวเตาไปตามหาดีหรือไม่เ้าคะ”
บิดาลู่ไม่ใส่ใจควบคุมดูแลบุตรชายเสียยิ่งกว่าบุตรสาว เมื่อได้ฟังประโยคนี้ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าบุตรชายคนรองไม่อยู่บ้านมานานแล้ว จึงรีบตอบรับ “ดีสิ เ้าเด็กเสี่ยวเตาคนนั้นพึ่งพาได้ พี่ใหญ่ของเ้าเองก็ซื่อสัตย์ ให้เงินพวกเขาติดตัวไปมากหน่อย จะได้ไม่ลำบากระหว่างทาง”
“เ้าค่ะ” เสี่ยวหมี่ตอบรับ พี่ใหญ่ลู่เองก็พยักหน้า “ท่านพ่อวางใจ อีกเดี๋ยวข้าจะไปหาเสี่ยวเตา จะต้องตามหาเ้ารองกลับมาให้ได้”
“ตามกลับมาไม่ได้ก็ไม่เป็ไร พี่รองมีวรยุทธ์คุ้มกาย คงไม่เกิดอะไรขึ้นกับเขาง่ายๆ แต่ท่านกับพี่เสี่ยวเตาต่างหากที่ต้องระวังตัวให้ดี หากหาเขาไม่เจอก็รีบกลับมานะเ้าคะ”
เสี่ยวหมี่กลัวว่าพี่ใหญ่ของนางที่เป็คนซื่อจะถูกคนอื่นเอาเปรียบ จึงกำชับอย่างดี ตอนที่ยังคิดจะพูดเสริมอีกนั้น จู่ๆ ก็มีคนเคาะประตู
“พี่ใหญ่ เสี่ยวหมี่ เปิดประตู ข้ากลับมาแล้ว”
เสี่ยวหมี่ะโขึ้นอย่างตื่นเต้น ะโว่า “เป็เสียงพี่รอง”
พี่ใหญ่ลู่รีบวิ่งออกไปเช่นกัน ทุกคนวางตะเกียบในมือลงแล้วมองไปด้านนอก
จู่ๆ กลับได้ยินเสียงตื่นตะลึงของพี่ใหญ่ลู่ “เกิดอะไรขึ้น เ้ารอง เ้าได้รับาเ็”
เสี่ยวหมี่ได้ยินก็มือไม้อ่อนทำชามร่วงลงพื้น แต่นางไม่มีเวลาสนใจมากนัก รีบวิ่งไปหน้าประตู เห็นพี่รองลู่ที่ตอนเดินทางออกไปมีใบหน้าสีแดงอมชมพูอย่างคนสุขภาพดีสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ยามนี้กลับอยู่ในสภาพราวกับขอทานข้างถนนก็ไม่ปาน บนใบหน้ายังมีรอยเปื้อนเืด้วย
“พี่รอง ใครทำท่านาเ็”
พี่รองลู่เห็นว่าพี่น้องของเขาตื่นใกันมาก คิดจะพูดอะไรแต่รีบกลืนกลับลงไป เขาเดินโซเซเข้าไปเรือน จากนั้นก็หันให้พวกเขาเห็นแม่นางน้อยที่ถูกมัดติดกับหลังของเขา แล้วยิ้มขมขื่น “รีบไปเรียกท่านลุงสามปี้มา เสี่ยวเอ๋อถูกธนูาเ็”
พี่ใหญ่ลู่และน้องสาวสบตากันทีหนึ่ง ต่างเห็นว่าอีกฝ่ายตกตะลึงเป็อย่างมาก แต่ยามนี้จะพูดอะไรมากก็ไม่ได้ พี่ใหญ่ลู่วิ่งไปตามลุงสามปี้ทันที พี่รองลู่ะโไล่หลังไปว่า “พี่ใหญ่ เก็บเป็ความลับด้วยนะ”
เสี่ยวหมี่เข้าไปช่วยรับตัวแม่นางที่สลบไม่ได้สติ พลางกลอกตากล่าวว่า “ท่านเคาะประตูดังขนาดนั้น คาดว่าคงได้ยินกันไปทั้งเขาแล้ว ยังจะมารักษาความลับอะไรอีก”
พี่รองลู่ไม่ได้กลับบ้านมานาน ยามนี้มาได้ยินน้องสาวบ่นเขาก็หัวเราะชอบใจเป็อย่างยิ่ง
โต๊ะทานข้าวกลางโถงรับรองถูกย้ายออกไปด้านข้าง แม่นางที่ยังสลบไสลอยู่เอนกายพาดไปบนเก้าอี้ยาว ถึงแม้ใบหน้าซีดขาว ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ามีรอยเืประปราย แต่ก็ยังดูออกว่าเป็สาวงามที่หาตัวจับได้ยาก
เสี่ยวหมี่ยังคิดจะถามอะไร ก็เห็นว่าพี่รองลู่ย่างสามขุมเข้าไปยังโต๊ะอาหารราวกับหมาป่าหิวโซ “หิวจะตายแล้วๆ”
พี่รองลู่ยัดอาหารเข้าใส่ปากจนแก้มตุ่ย
เสี่ยวหมี่เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ “พี่รอง ท่านค่อยๆ กิน เดี๋ยวข้าจะทำบะหมี่ให้ท่าน รีบกินเข้าไปแบบนั้นระวังจะจุกนะเ้าคะ”
“ไม่ต้องๆ ข้าหิวจะตายแล้ว ห่างหายไปตั้งเดือนหนึ่ง วันนี้ได้กลับมากินข้าวที่บ้านแล้ว ต่อให้จะจุกตายก็ไม่เป็ไร”
ทุกคนได้ยินแล้วก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ตอนที่คิดจะถามอะไรให้ชัดเจนอยู่นั้น ลุงสามปี้ก็มาถึง
อาการาเ็ของหญิงงามคนนั้นส่วนใหญ่เป็าแภายนอก นอกจากาแจากธนูสองแห่งที่กำลังอักเสบ ที่เหลือล้วนเป็เพียงแผลถลอกเท่านั้น กลับเป็แขนของพี่รองลู่ที่บาดเป็รอยลึก ถึงแม้จะใส่สมุนไพรป่าไปแล้ว แต่ยามนี้ก็ยังบวมเป่งจนน่าใ
เสี่ยวหมี่รีบจัดให้แม่นางคนนั้นไปนอนพักที่ห้องของนาง แล้วทำหน้าที่เป็ลูกมือให้ลุงสามปี้ หาสุราฤทธิ์แรง นำใบมีดไปเผาไฟ ช่วยตัดผ้าพันแผล เหนื่อยจนเหงื่อท่วมหน้าผาก ในที่สุดก็จัดการได้เรียบร้อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้