“ร้องมันออกมาเถิด การหลั่งน้ำตาไม่ได้หมายความว่าเ้าอ่อนแอ วัยของเ้านั้นสมควรที่จะแสดงความรู้สึกออกมาอย่าได้กักเก็บมันเอาไว้ อาเหยาเ้าเชื่อใจพี่ใหญ่หรือไม่”จางจื่ออี๋ลูบศีรษะเล็กแ่เบา หากบอกว่าสงสารเด็กคนนี้ก็ไม่เกินจริง ถึงจะรู้จักกันไม่ถึงหนึ่งวันแต่ความรู้สึกลึกๆ ของความสัมพันธ์ทางสายเืที่ร่างนี้มีย่อมตัดไม่ขาด ยิ่งจิติญญาของจางจื่ออี๋เข้ามาแทนที่หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกัน ความผูกพันที่มองไม่เห็นเริ่มก่อตัวเป็รูปร่าง เด็กที่เติบโตมาจากกองทัพดื่มกินยาจากห้องวิจัยต่างข้าวสามมื้อ แม้ไม่เรียกว่าเป็การทารุณแต่เื่ความโดดเดี่ยวนั้น ต่อให้ไม่อยากกล้ำกลืนก็ไรทางเลือก
ชีวิตในโลกนิยายนี้ ตัวจางจื่อี๋มีผู้คนมากมายที่หวังดีต่อตนเองอย่างแท้จริง ที่สำคัญนางมีครอบครัว แม้ไม่สมบูรณ์พูนพร้อมทว่าเมื่อมองย้อนกลับไปในความทรงจำของจางจื่ออี๋คนก่อน เ้าจะพบว่าบิดามารดาและน้องชายคือแสงสว่างและสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต เป็จุดยึดเหนี่ยวของเด็กสาวผู้หนึ่งอย่างแท้จริง เจตนารมแห่งการปกป้องคนที่รักของจางจื่ออี๋คนก่อน ตัวข้าจางจื่ออี๋ผู้นี้จักต้องสานต่อมันอย่างแน่นอน
แรกเริ่มเื่ที่จางจื่ออี๋ตัดสินใจลงมือทำก็คือเื่ของจางจื้อหลินผู้เป็บิดา ด้วยจิติญญาแห่งยุคใหม่อาชญากรรมที่มองปราดเดียวก็สามารถรู้ถึงเส้นสนกลในจนทะลุปรุโปร่ง คนบ้านตระกูลจาง บ้านใหญ่ บ้านสอง และลูกชายคนที่สี่ที่ยังไม่แต่งภรรยา นี่คือการสมคบคิดก่อคดีฆาตกรรมอันโเี้ และนางก็เชื่อว่าเื่นี้ผู้ที่ทำเป็หลับตาข้างหนึ่งก็คือปู่จางผู้ที่มีศักดิ์เป็บิดาแท้ๆ ของจางจื้อหลิน
ว่ากันว่าเสือร้ายไม่กินลูกตนเอง
คนอย่างจางต้าเกินผู้นี้นับเป็เดรัจฉานที่เทียบไม่ได้แม้แต่สัตว์
รอเื่นี้ดำเนินไปจนถึงที่สุด ต้องมีคนชดใช้ด้วยชีวิต จะต้องมีคนถูกเนรเทศไปชายแดน สถานะทาสชั้นต่ำมิอาจถอนตลอดชีวิต
“ท่านพี่ข้าย่อมเชื่อมั่นในตัวท่าน ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใดข้าก็พร้อมจะสนับสนุน ท่านอยู่ข้าอยู่ ท่านตายข้าตาย!”
สองพี่น้องร่วมยืนหยัดในความคิดอันเป็อันหนึ่งอันเดียวกัน หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว น้องสาวคนเล็กมีผู้ดูแลเป็อย่างดี สายลมหนาวเหน็บพัดหวีดหวิวท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยความมืด หนึ่งร่างเล็กใหญ่ที่มีส่วนต่างความสูงไม่มากนักกำลังนั่งกินโจ๊กข้าวฟ่างข้นๆ กับยำผักป่า ผักป่ายอดอ่อนสดใหม่นำมาลวกก่อนจะนำมาปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย กระเทียมบด และน้ำมันงาที่บรรจุอยู่ในขวดดินเผาเล็กๆ ในความทรงจำน้ำมันงาขวดนี้ท่านพ่อได้มาเป็ของขวัญจากท่านนายอำเภอ นอกจากน้ำมันงายังมีเครื่องปรุงอื่นๆ ที่ชาวบ้านธรรมไม่คิดซื้อมาใช้ คิดดูสิของขวัญปีใหม่เมื่อต้นปี ของขวัญที่นายกองจากที่ว่าการเป็ผู้นำมาส่งให้ถึงหน้าประตู นี่จึงเป็สาเหตุให้เหล่าแร้งทึ้งในบ้านสกุลจางยามนั้นไม่กล้าแตะต้อง
แค่ของกินไม่กี่อย่าง ผ้าไม่กี่พับ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่านี่จะเป็สาเหตุให้คนกลุ่มหนึ่งรวมหัวกันก่อคดีฆาตกรรมได้ ความอิจฉาริษยา ความโลภโมโทสัน ก่อเป็แรงอาฆาตได้อย่างง่ายดาย
“อาเหยาเตรียมตัวพร้อมแล้วใช่หรือไม่”
“ตะเกียง กระดาษ แท่งถ่าน ผ้าขาว น้ำขิงสด ผ้าปิดปาก ที่หนีบไม้ไผ่”จางจื่อเหยาไล่เรียงรายการสิ่งของในความรับผิดชอบของตนออกมาทีละอย่างจนครบ
“ดีมาก อาเหยาเ้าว่าบิดาบัณฑิตของพวกเราไปรับธนูล้ำค่านี่มาจากผู้ใดกัน มองจากมุมใดธนูด้ามนี้ก็เป็ของชั้นเลิศน้ำหนักราวหนึ่งร้อยยี่สิบชั่ง น้อยนักที่จะมีธนูที่มีน้ำหนักมากถึงเพียงนี้”นี่เป็สมบัติหนึ่งเดียวนอกเหนือจากตำราที่บิดาเหลือทิ้งไว้ นับว่าเป็หนึ่งสิ่งที่มีประโยชน์ต่อจางจื่ออี๋ในยามนี้เป็อันมาก
“ั้แ่ข้าจำความได้ก็เห็นธนูคันนี้ยู่แล้ว คาดว่าคงเป็สหายของท่านพ่อให้มากระมัง”ข้อสงสัยของพี่ใหญ่ช่างประหลาด ทั้งที่ตนเองอายุมากกว่าเขาถึงหกปีแต่กลับมาถามเื่เช่นนี้กับน้องชาย จางจื่อเหยาได้แต่งุนงงเล็กน้อย ด้วยรู้ว่าผู้เป็พี่สาวไม่ได้จริงจังอันใดกับทั้งคำถามและคำตอบ
“อืม...อาเหยาเ้าว่าบ้านเรายากจนจริงหรือ?”
“คำถามของท่านนี้ข้าได้ขบคิดมานานแล้ว”ถึงตัวเขาจะยังไม่ครบสิบขวบแต่ก็รู้ความมากนัก ของสิ่งใดที่บิดาเก็บสะสมไว้หากนำมันไปเปลี่ยนเป็เงินคงได้มากพอให้พวกเราพี่น้องมีกินมีใช้ไปอีกหลายปี
“พี่ว่าพี่ก็พอรู้อยู่บ้าง ท่านพ่อคงเก็บสมบัติไว้แต่งภรรยาให้บุตรชายเป็แน่ ลำพังเพียงแค่ธนูนี่ก็มีค่าหลายร้อยตำลึง ไม่พูดเื่พวกนี้แล้ว คืนนี้อีกยาวไกลเรารีบขึ้นเขากันเถิด”เื่ไม่จำเป็เหล่านี้เอาไว้ถกกันยามว่างก็ไม่สาย การเดินทางไปยังูเาที่ตั้งของสุสานประจำหมู่บ้าน ต้องใช้เวลาราวหนึ่งชั่วยาม สุสานบรรพบุรุษอันเป็สถานพำนักสุดท้ายของชาวบ้านในหมู่บ้านจางเจี่ย
เมื่อตะวันลับขอบฟ้าคนกลับเข้าเรือนเพื่อเป็การประหยัดน้ำมันตะเกียงผู้คนจะรีบกินข้าวตอนที่ยังมีแสงพอให้มองเห็น และเข้านอนกันั้แ่หัวค่ำ วิถีชีวิตของคนชนบทก็เป็เช่นนี้
สองพี่น้องเดินย่ำเท้าในความมืดโดยอาศัยความชำนาญในเส้นทาง ถนนทุกเส้นในหมู่บ้านแห่งนี้แม้หลับตาก็เดินได้ถูกทาง กลางยามห้าย(21.00-22.59)ทั้งสองก็เดินเข้ามาถึงส่วนที่อยู่ลึกและเปล่าเปลี่ยวของสุสาน ตำแหน่งที่ตั้งของบิดามารดาย่ำแย่เรียกว่าหลุมศพไร้ญาติคงไม่เกินไป สภาพบริเวรรอบๆ หลุมไร้ระเบียบมองปราดเดียวก็รู้ว่าขุดดินแบบขอไปที เนินดินที่ฝังกลบอยู่้าก็ไม่สูงนัก ส่วนมากที่นางมองเห็นนั้นมีแต่ก้อนหิน ส่วนป้ายหน้าหลุมศพน่ะหรือ ป้ายไม้ผุแผ่นหนึ่งแกะสลักชื่อแบบหยาบๆ
“ทะท่าน พี่ พวก…เขา พวกเขา ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ...”จางจื่อเหยาทรุดกายคุกเข่าลงเบื้องหน้าหลุมฝังศพของบิดามารดา ร่างผอมบางสั่นสะท้านด้วยแรงอารมณ์ แม้แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกช่างกระท่อนกระแท่นซ้ำยังเบาหวิว หากสายลมพัดมาแรงยิ่งกว่านี้คงพัดกลบคำพูดอันน่าเวทนานี่จนหมด
“จางจื่อเหยาจงฟังคำของข้าไว้ให้ดี วันนี้พวกมันมีความสุขบนความสูญเสียและความทุกข์ระทมของพวกเราพี่น้อง วันเวลาเช่นนั้นปล่อยให้พวกมันเสพสุขกันให้พอ เมื่อถึงคราตายก็ต้องตายไม่มีผู้ใดหนีพ้น ผลกรรมมันไม่รวดเร็วเท่าการ กระทำของมนุษย์อย่างเราๆ หรอก สงบสติอารมณ์ซะ”
“อือ! ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ท่านพี่เราเริ่มลงมือกันเลยหรือไม่”
“เริ่มเลยก็แล้วกัน เวลาล่วงเลยมาพอสมควรจะชักช้าไม่ได้”น้องชายที่รู้ความมากเกินไปไม่ได้ทำให้จางจื่ออี๋วางใจ เด็กที่ควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้รวดเร็วเช่นนั้น เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่บุคคลเช่นนี้จะก้าวผ่านเส้นทางระหว่าง์กับนรก ช่างเป็เื่ที่น่าเป็ห่วง ตัวนางที่เป็หัวหน้าครอบครัวต้องกำจัดภัยความเสี่ยงต่อชีวิตให้สิ้นซาก เื่ปัจจัยสี่เป็เื่รองลงมา
จะมีกินมีใช้ไปทำไมในเมื่อต้องเดินไปสู่จุดจบตามที่นิยายเื่นี้กำหนดไว้
การขุดสุสานที่ทำขึ้นอย่างลวกๆ ย่อมง่ายและรวดเร็ว งานแบกหามก้อนหินให้เป็หน้าที่ของจางจื่ออี๋ส่วนจางจื่อเหยาก็รับหน้าที่ใช้ไม้เขี่ยดินออก การทำงานอย่างสอดประสานช่วยย่นระยะเวลาได้ครึ่งต่อครึ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้