“อย่างนี้ก็ยังมีโอกาสน่ะสิ?”
“ดูก่อนแล้วค่อยพูดเถอะ!”
คนที่ล้อมรอบกระจกศิลาอยู่เบื้องหน้ารู้สึกตึงเครียด โดยเฉพาะตอนที่มีนามของใครก็ตามกำลังกะพริบ ก็จะเครียดหนักจนลืมหายใจ เหมือนคนที่กลัวความผิด
“ซวยจริง ชื่อของศิษย์พี่หลี่ิซินเริ่มกะพริบอีกแล้ว...หายไปแล้ว นี่มันโอกาสคืนชีพครั้งที่สองแล้วนะ?”
“จนถึงตอนนี้ชื่อของคนสำนักหงส์ฟ้า ยังไม่มีใครกะพริบเลยสักครั้งนะ”
“ชื่อศิษย์พี่หานเซี่ยวเฟยมอดไปแล้ว...”
“เปลวเพลิงสีแดงขยายใหญ่แล้ว หงส์ฟ้าไปหกสิบส่วนของเขตแล้ว...สำนักกวางขาวตกเป็รองอย่างเดียวเลยสิเนี่ย ขืนเป็แบบนี้ต่อไปต้องแย่แน่...”
“ชื่อศิษย์พี่หลี่ิซินมอดอีกแล้ว...อย่างนี้ก็เท่ากับถูกขับออกจากสมรภูมิแล้วสิเนี่ย!”
“ชื่อของศิษย์พี่หานเซี่ยวเฟยหายสามรอบแล้ว ถูกส่งออกจากสมรภูมิเรียบร้อย!”
“เป็แบบนี้ได้อย่างไรกัน? คนของสำนักหงส์ฟ้ายังไม่มีชื่อมอดเลยสักครั้งนะ!”
“ชื่อของศิษย์พี่เี๋เี่าก็มอดไปสองครั้งแล้ว!”
“ชื่อศิษย์พี่หานซวงสวี่มอดไปครั้งหนึ่ง!”
“มีแค่ชื่อศิษย์พี่ไป๋อวี้ชิงเท่านั้นที่ยังครบถ้วนอยู่”
“พวกเราเหลืออยู่แค่สามคน โอกาสริบหรี่...”
“แย่แล้ว เส้นปกปักชั้นแรกของฝ่ายเรา เทวรูปพิทักษ์ถูกทำลาย ข้าศึกบุกยึดไว้แล้ว พวกหงส์ฟ้ากำลังโจมตีเส้นปกปักที่สอง เหมือนจะถล่มเมื่อไรก็ได้แล้วนะเฮ้ย!”
“ถ้าไม่มีโอกาสตีโต้กลับดีๆ เลยต้องแพ้อนาถไม่ต้องสงสัย!”
เวลาผันผ่านไปทุกวินาทีและนาที
ใจคนกังวลทุกขณะจิต สภาพการต่อสู้ตอนนี้เอียงกระเท่เร่ ทำให้ฝ่ายสำนักกวางขาวใจตกไปอยู่ตาตุ่ม หากรอบแรกแพ้อนาถขนาดนี้ รอบหลังต้องลำบากเป็แน่
สำนักหงส์ฟ้าไม่มีทางสู้ชนะได้เลยจริงๆ หรือ?
ระยะห่างระหว่างสองสำนักใหญ่ มันมากมายเพียงนี้จริงหรือ?
ฝูงชนกำลังร้อนรนเหมือนมดในหม้อน้ำเดือดๆ
“ดูเร็ว...” มีคนโพล่งขึ้นมา “ชื่อหลิวอวี้ของหงส์ฟ้าเริ่มกะพริบแล้ว...จะหายไปแล้ว...”
หมู่ชนเมื่อได้เห็นแล้วก็ยินดีขึ้นมา
ในที่สุดก็มีคนสำนักหงส์ฟ้าถูกฆ่าไปรอบหนึ่งแล้วใช่ไหม?
ดีเลย ไหนๆ ก็รอมาจนถึงตอนนี้แล้ว ถึงจะเป็แค่การฆ่ารอบเดียว ก็ยังดีที่ต่อลมหายใจได้เปลาะหนึ่ง อย่างน้อยก็ยังดูดีกว่าโดนโกนหัวจนโล้นแล้วกันน่า
ทว่าในพริบตา ความครึกครื้นตื่นเต้นของพวกเขาก็ดั่งถูกสาดน้ำเย็นใส่
ชื่อของหลิวอวี้แห่งหงส์ฟ้าหลังกะพริบได้แวบเดียวก็มิได้มอดไหม้
กลับเป็ยามเดียวกันที่หานซวงสวี่และเี๋เี่าและกวางขาวได้ถูกลบชื่อออกไปพร้อมๆ กัน...
“เฮ้ย...” ใจของศิษย์ทั้งหลายเยือกแข็ง
“ยังดี ที่ชื่อของศิษย์พี่หญิงไป๋อวี้ชิงยังไม่ดับ...สุดท้ายก็ยังรักษาเกียรติยศสุดท้ายของสำนักเราไว้จนได้...”
พูดยังไม่ทันขาดคำ
นามของไป๋อวี้ชิงเลือนหายไป
กลุ่มคนเงียบงัน
เงียบเชียบเสียจนสนิท เนิ่นนานเหมือนพร้อมใจกันตาย
...
...
กลางสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง
เสียงกู่ร้องสังหารดั่งน้ำมันราดบนกองเพลิง
ศพของหานซวงสวี่และเี๋เี่าแผ่อยู่ใต้เศษซากเทวรูปปกปักที่สูญสิ้นพลังโจมตี
คนทั้งห้าแห่งสำนักหงส์ฟ้าโอบล้อมเข้ามา
ไป๋อวี้ชิงมีดาบเสียบกลางอก เืสดหยดไหลติ๋งๆ อาภรณ์ขาวรัดรูปอาบด้วยสีแดงสด ดุจกุหลาบขาวโรยรา ร่างกายโงนเงนโซเซ...
สิ่งที่ทำให้เซียนดรุณีผู้ทระนงนางนี้สิ้นหวังยิ่งกว่าาแ ก็คือความแข็งแกร่งของศิษย์สำนักหงส์ฟ้า
ั์ตามองฝั่งกวางขาวที่สูญเสียครั้งมโหฬาร ไป๋อวี้ชิงรวมพลังกับหานซวงสวี่ เี๋เี่า ต้องใช้กำลังของหลายคนเพื่อฆ่าศิษย์สำนักหงส์ฟ้าเพียงหนึ่งคน อย่างน้อยก็ยังได้พยายามสังหาร...
นี่คือการโจมตีที่วางแผนมานานนัก
ยืมพลังจู่โจมของเทวรูปปกปัก หวังจะบุกได้สักคราหนึ่ง ถึงจะพลิกโผมิให้ปราชัยไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังกอบกู้หน้าตากลับคืนมาได้บ้าง...
ใครจะรู้เล่า...
ว่าการรวมกำลังกันฆ่าของสามคนไม่อาจสังหารหลิวอวี้ได้ กลับกันกลายเป็ฝ่ายถูกศิษย์สำนักหงส์ฟ้าสนับสนุนอีกสี่คนฆ่ากลับ เี๋เี่าและหานซวงสวี่สิ้นชีพในทันที ตัวนางเองก็ได้แผลสาหัสมา
ไป๋อวี้ชิงมองศิษย์สำนักหงส์ฟ้าที่ดาหน้าเข้ามาด้วยรอยยิ้มเย็น ไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว คว้ากระบี่เชือดคอระหงตัวเอง เืสดพุ่งกระฉูด...
...
...
ศาลาขึ้นฟ้า
กลุ่มศิษย์สำนักหงส์ฟ้าหน้าแข็งเป็หิน
เห็นหลี่ิซิน หานเซี่ยวเฟย เี๋เี่า หานซวงสวี่สี่คนก้มหน้ากำหมัดแน่น สีหน้ารับไม่ได้แล้วก็ไม่กล้าพูดแม้แต่ประโยคเดียว...
บนอากาศธาตุเหนือเทวรูปจักรพรรดิอักขระลัวซู่ ภาพสะท้อนใหญ่ั์กำลังปรากฏชัดเจน
สะท้อนภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง
เมื่อสี่คนถูกส่งกลับมา สำนักกวางขาวก็เหลือเพียงไป๋อวี้ชิงเท่านั้นที่ป้องกันอย่างยากลำบาก แต่การประลองนี้ดูท่าจะเป็การดิ้นรนเสียมากกว่า
ทหารปีศาจของฝ่ายหงส์ฟ้าบุกยึดเขตในความคุ้มครองทั้งสามชั้นของกวางขาวหมดแล้ว ภายใต้การสั่งการและนำทัพของศิษย์สำนักหงส์ฟ้าทั้งห้า ความพ่ายแพ้หมดรูปของกวางขาวก็ขึ้นอยู่กับเวลาว่าช้าหรือเร็ว
ไป๋อวี้ชิงต่อต้านอย่างถึงที่สุด สู้แบบหนึ่งต่อห้า ก็เป็แค่การถ่วงเวลาออกไปเท่านั้น
การศึกมาถึงขั้นนี้แล้ว ว่าตามความจริงก็สามารถยอมจำนนได้แล้ว
ทว่าไป๋อวี้ชิงยังคงยืนหยัดอย่างทรมาน จวบจนถูกสังหารติดต่อกันสามครั้ง ถูกส่งตัวออกมาจากสมรภูมิหุบเขาปัดป้องแล้วนั่นแล กองบัญชาการของสำนักกวางขาวถูกทำลายสิ้น ศึกแรกจบลงแล้ว
สำนักกวางขาวพ่ายแพ้
พ่ายแพ้อย่างหมดรูป
หน้าเทวรูปจักรพรรดิอักขระนั้นเงียบสนิท ใบหน้าของนักเรียนเต็มไปด้วยตื่นตระหนกและยากจะทำใจยอมรับ ทั้งเื่สถิติการแข่งที่พ่ายแพ้อย่างน่าอดสู และพลังที่แกร่งกล้าของสำนักหงส์ฟ้า
หานซวงสวี่และไป๋อวี้ชิงถูกขนานนามว่าเป็นักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักกวางขาว ทั้งยังมีแรงสนับสนุนจากอาวุธิญญา แล้วไหนจะกระบวนสู้ศึกที่เป็เอกลักษณ์เฉพาะตน ในสายตาของศิษย์กวางขาว สองคนนี้คือการมีอยู่ที่ไม่อาจเอาชนะลงได้
ทว่าแม้แต่สองคนนี้ก็ยังฆ่าอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว
คนสำนักหงส์ฟ้าเองก็ มิใช่แข็งแกร่งเกินไปแล้วเรอะ?
ศิษย์กวางขาวที่เดิมทีเชื่อมั่นเต็มหัวใจ พอเจอแบบนี้เข้าไปพลันรู้สึกหนาวเหน็บยันขั้วใจ สามสมรภูมิต่อจากนี้ น่ากลัวจะแขวนอยู่บนเส้นด้ายเสียแล้ว
...
ด้านนอก
“แพ้แล้ว...เฮ้ย แพ้แบบนี้เนี่ยนะ!”
“อัปยศอดสู พวกหงส์ฟ้าไม่ได้ตายเลยสักคน พ่ายหมดรูปขนาดนี้ หรือนี่จะเป็ระยะห่างของสองสำนัก?”
“เฮอะๆ ขนาดข้าที่คิดว่าวรยุทธ์ตัวเองไม่เลว พลังน่าจะใกล้เคียงกับคนพวกนั้นได้ เคยคิดแม้กระทั่งว่า โลกอันกว้างใหญ่นี้ไม่มีที่ไหนที่ข้าไปไม่ได้ สุดท้าย...สำนักกวางขาวของพวกเราอ่อนแอขนาดนี้เท่านั้น ข้านี่มันยกตนข่มท่าน โง่บรมเป็กบในกะลาชัดๆ เลยโว้ย!”
“ขายขี้หน้าฉิบหาย!”
“ขึ้นชื่อว่าเป็ห้าคนที่เก่งที่สุดของปีสี่ ผลกลับแพ้ราบคาบ ฮืม ทำไมพวกเขามั่วซั่วส่งใครก็ได้ขึ้นไปล่ะวะ อย่างไรผลมันก็แพ้เหมือนเดิม!”
นักเรียนั้แ่ปีหนึ่งถึงปีสี่กลางลานแสดงยุทธ์ ยืนหน้ากระจกศิลาส่งเสียงเศร้า ผลแย่ๆ แบบนี้ทำให้พวกเขาเสมือนถูกตบหน้าแรงๆ เจ็บจนไม่รู้จะเจ็บอย่างไร
แพ้น่ะรับได้
แต่แพ้อเนจอนาถเช่นนี้ มีแต่จะทำให้คนพังพินาศ
ความภาคภูมิพังทลายเหมือนภูผา
ข่าวแพร่หลายออกไปทั่วเมืองลู่ิในไม่นาน เมฆต่ำดำทะมึนปกคลุมและกดทับทั่วน่านฟ้าเมืองโบราณ อากาศครึ้มมัวทำให้คนกดดันเหลือจะเอ่ย เหล่าบุคคลสำคัญมากมายเมื่อได้สดับข่าวก็ทำได้แค่ถอนหายใจต่ำๆ ออกมาเท่านั้น
หนึ่งได้เกียรติยศ อีกหนึ่งเสียเกียรติยศ
สำนักกวางขาวเป็หน้าเป็ตาของเขตแดนเทือกเขากวางตัดนี้ทั้งหมด หากข่าวพ่ายอนาถหลุดรั่วออกไป คนชนชั้นสูงเช่นพวกเขาต้องถูกคนเขตอื่นหัวเราะเยาะเย้ยไม่เหลือแน่
...
ศาลาขึ้นฟ้า
“เริ่มการแข่งสมรภูมิที่สองเถอะ”
เ้าสำนักสีหน้าไร้อารมณ์ใด ไม่อาจมองออกว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
บนเทวรูปจักรพรรดิอักขระพลันมีลำแสงสาดส่องลงมา มุ่งตรงสู่ตัวแทนของปีสามทั้งห้าคน ยามแสงกระจัดกระจายออกไป ร่างของคนทั้งห้าก็ห่างหาย ถูกดึงเข้าสู่สมรภูมิหุบเขาปัดป้อง
เงียบงันราวป่าช้า
...
หน้ากระจกศิลาทุกแห่งหน
“สมรภูมิที่สองเริ่มแล้วล่ะ...”
“เฮ้ย อย่างไรก็หมดหวังว่ะ...”
“ห่างชั้นกันเกินไป!”
“ขอแค่ไม่อนาถมากก็พอแล้ว...”
“แค่โอกาสฆ่าครั้งเดียว ถึงจะแค่ครั้งเดียวก็พอเว้ย!”
เหล่านักเรียนสำนักกวางขาวที่ความภาคภูมิกลิ้งหลุนเริ่มคุกเข่าภาวนากับพื้น อย่างไรตลอดมาพวกเขาก็เป็ดั่งบุรุษจากฟากฟ้า หากเอ่ยว่าตนเป็ศิษย์สำนักกวางขาวคำเดียว ก็จักมีความรู้สึกพิเศษกว่าคนทั่วไปหนึ่งขั้นเสมอมา เป็ชนชั้นสูงที่ไม่มีวันไม่มีทางไร้ตำแหน่ง
หากการแข่งขันใหญ่ครานี้พังทลาย เกรงว่าหลังจากนี้จะไม่มีใครโงหัวขึ้นในเมืองลู่ิได้อีกเลย
บนกระจกศิลาเริ่มปรากฏข้อมูลชุดที่สองขึ้นมา
คราวนี้สำนักกวางขาวเป็สีแดง ตัวแทนของศิษย์ทั้งห้าเป็ฝ่ายเผ่าปีศาจ บัญชาการทหารปีศาจ และฝ่ายหงส์ฟ้ากลายเป็ฝั่งน้ำเงิน บัญชาการทหารมนุษย์
ในสมรภูมิหุบเขาปัดป้องนั้น สามารถเลือกพลังได้หลายรูปแบบ และมีร่างจำลองของหลายเผ่าพันธุ์ อาทิ เผ่าิญญา เผ่าอสูร เผ่าปีศาจ เผ่ามนุษย์ รวมทั้งเผ่ามารหรือเผ่าเทพ เป็ต้น
ทว่าในภพไทวะแห่งนี้ ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดก็คือเผ่ามนุษย์และปีศาจ ความสัมพันธ์ก็ตึงเครียดที่สุดด้วย ดังนั้นในสมรภูมินี้จึงเลือกเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจขึ้นมาเป็ตัวแทนต่อสู้บ่อยครั้ง เพื่อให้นักยุทธ์และศิษย์เริ่มทำศึกในรูปแบบระหว่างมนุษย์กับปีศาจ ให้คุ้นชินและรับรู้พลัง นิสัย จุดพิเศษไว้ ในอนาคตหากต้องทำา จักได้ไม่ต้องมาโชคร้ายเพราะอ่อนประสบการณ์
“ศึกเริ่มขึ้นแล้ว!”
“เครียดจริงโว้ย ไม่กล้าดูแล้ว!”
“มีชื่อคนกะพริบแล้ว...เป็ชื่อของสำนักหงส์ฟ้า ชื่อที่กะพริบเป็ชื่อของสำนักหงส์ฟ้า...เอ๊ะ? หายไปแล้ว?” มีคนะโอย่างแตกตื่นขึ้นมา
“ชื่อของเหออิงแห่งสำนักหงส์ฟ้ามอดไปแล้ว มอดแล้วจริงๆ!”
“อะไรอีกวะเนี่ย? ข้าไม่ได้ตาถั่วใช่ไหม?”
“เื่จริง สำนักหงส์ฟ้ามีคนตายแล้ว ทุกคนรีบดูเร็ว ช่วยยืนยันหน่อยซิว่าข้าไม่ได้ตาฝาดไปเอง”
“ใครฆ่าเหออิงน่ะ? โคตรเร็วเลย!”
ศิษย์กวางขาวที่แต่เดิมเงียบสงัดด้วยความเครียดมาห้อมล้อมหน้ากระจกศิลา ใจอันกระวนกระวายเมื่อได้ข่าวนั้นเข้าหูก็ะเิเสียงกู่ร้องกันเป็เซ็งแซ่ กลุ่มคนดั่งกระทะน้ำมันเดือดๆ สาดเกลือลงไปช้อนหนึ่งยิ่งดุเดือดเืพล่านขึ้นมาจนได้!