อวิ๋นอี้มิมีความรู้สึกพิเศษกระไรเกี่ยวกับสตรีงามมากความสามารถคนก่อน อย่างแรกคือนางมิรู้จัก อย่างที่สองคือนางไม่สนใจ นางเพียงร่วมพูดคุยด้วยไม่กี่คำ หลักๆ จะเป็กู่ซือฝานที่ได้ยินแล้วตื่นเต้นมาก ถามตู้ซือโหรวมิได้หยุด
สตรีงามมากความสามารถคนก่อนมีนามว่าหว่านฉือ นางเป็ญาติห่างๆ ของฝั่งฮองเฮา เพราะความงามของนาง จึงเป็ที่รักมาั้แ่เยาว์วัย ทั้งยังมีความสามารถที่หลากหลาย นางเชี่ยวชาญด้านดนตรี หมาก อักษรและวาดภาพ หลังจากที่ถูกฮองเฮารับเข้ามาอยู่ในวัง ก็ได้เป็เพื่อนวัยเด็กกับพระโอรสหลายองค์
อาจจะเป็เพราะนางงามจน์อิจฉา ตอนที่นางอายุสิบสามพลันพบว่าเป็โรคประหลาด แพทย์หลวงในราชวังคาดว่านางจะอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบห้าปี ทว่าทำกระไรมิได้
องค์ฮองเฮามิยอมแพ้ รับสั่งให้แพทย์หลวงออกยาชั้นเลิศยืดอายุนาง จึงมิมีผู้ใดกล้าขัด
ถึงจะเป็เช่นนั้น ทว่าความเจ็บป่วยของนางยังคงแย่ลงเรื่อยๆ จนถึงเมื่ออายุสิบห้า นางใช้ชีวิตอยู่ได้เพียงบนเตียงเท่านั้น ยืดชีวิตไปวันๆ
ต่อมามิรู้ว่าด้วยเหตุใด หว่านฉือที่นิสัยอ่อนโยนมาโดยตลอดกลับขอร้องว่าอยากจะออกไปหาหมอข้างนอก แน่นอนว่าฮองเฮาไม่อนุญาต ทว่าทนกับการขอร้องอย่างน่าสงสารของนางมิไหว สุดท้ายจึงต้องยอม
หว่านฉือออกจากเมืองหลวงไปเมื่ออายุสิบหก ถึงเพลานี้เป็เวลาสามปีแล้ว
“เช่นนั้นที่นางกลับมาครานี้คือหายดีแล้วหรือ?” กู่ซือฝานถามด้วยความเป็ห่วง “พระชายาเอก ท่านรู้เื่หรือไม่เพคะ?”
ตู้ซือโหรวส่ายหน้า “ข้าเพียงได้ยินฝ่าาพูดถึงน่ะ อ้อ จริงสิอวิ๋นอี้ สตรีผู้นี้สนิทกับองค์ชายเจ็ดด้วย เื่ที่นางกลับมา ข้าว่าองค์ชายเจ็ดน่าจะรู้นานแล้ว”
“งั้นหรือเพคะ?” อวิ๋นอี้โค้งริมฝีปาก “ข้ามิรู้เลย มิเคยได้ยินเขาพูดถึง”
ตู้ซือโหรวยิ้ม ไม่พูดกระไรอีก ทว่าความหมายที่ลึกซึ้งในรอยยิ้มของนางทำให้อวิ๋นอี้ไม่สบายใจ
สัญชาตญาณสตรีบอกนางว่าระหว่างหรงซิวกับหว่านฉือ ต้องมีกระไรบางอย่างที่นางมิรู้
อันที่จริงเพื่อนเล่นวัยเด็ก บุรุษหนุ่มรูปงามกับสตรีสุดสวย อยู่ใน่แรกแย้ม เป็คนนอกก็เดาออกว่าจะมีเื่กระไร
จะมีบุรุษสักคนช่างลำบาก!
อวิ๋นอี้เกาหัวอย่างฉุนเฉียว ทำให้ซูเมี่ยวเออร์หยุดลงได้แล้ว ปีศาจตนใดผลักหว่านฉือออกมาอีกเนี่ย?
นางจะมิมีความสัมพันธ์ใดกับสตรีงามมากความสามารถมิได้เลยใช่หรือไม่!
เื่ก็บอกอยู่ เป็เช่นนั้นจริงๆ
หัวข้อสนทนาของทั้งสามคนวนเวียนรอบหว่านฉือ กู่ซือฝานมองนางเป็แบบอย่างและพูดถึงเื่ในอดีตของนางราวกับนับขุมทรัพย์ในบ้านของตนเอง [1]
กล่าวคือหว่านฉือเป็สาวงามที่ทำให้บุรุษต่างคลั่งไคล้ เื่นี้ ทำให้อวิ๋นอี้รู้สึกหดหู่อย่างอธิบายไม่ถูก
อารมณ์หดหู่นั้น ยาวนานจนถึงเวลาอาหารค่ำ
หรงซิวกับอวิ๋นอี้เดินออกไปส่งแขกและเดินกลับเข้ามาเคียงข้างกัน
เดินกลับไม่กี่ก้าว นางก็ถูกกอดไว้ อวิ๋นอี้ขยับตัวเล็กน้อย ดิ้นรนมิได้ จึงถามเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “มีกระไรเพคะ?”
“ไม่สบายใจหรือ?” หรงซิวถาม “ข้าเห็นเ้าไม่ค่อยร่าเริงั้แ่ก่อนทานข้าว มีเื่กระไรไม่สบายใจใช่หรือไม่?”
อวิ๋นอี้ส่ายหัว
“มิมีเื่ในใจจริงๆ หรือ?” หรงซิวถามอีกครั้ง เขาไม่เชื่อ
อวิ๋นอี้ตอบ “มิมีจริงๆ เพคะ”
“งั้นได้” หรงซิวพูดเบาลง “ในเมื่อเ้ามิอยากจะพูดกระไร ข้าจะไม่ถาม เมื่อเ้าอยากบอกข้าแล้ว ข้าจะรออยู่เสมอ”
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน พัดปลายผมของนาง ผมนุ่มสลวยตกลงบนตานาง อวิ๋นอี้พลันขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นเพื่อปัดผมออก
แต่ผู้ใดจะรู้ว่า จู่ๆ หรงซิวก็ยื่นมือมา กำข้อมือนางแน่นและถามอย่างจริงจังว่า “มือเป็กระไรไป?”
อวิ๋นอี้มองไป รีบดึงมือออกอย่างไม่เป็ตัวเอง พลันพูดว่า “มิเป็กระไรเพคะ”
“นี่หรือมิเป็?” เสียงของหรงซิวดังขึ้นอย่างกะทันหัน พูดอย่างจริงจังว่า “ฝ่ามือถลอกหมดแล้ว มีเืออกด้วย เ้ายังจะบอกว่ามิเป็กระไรอีก?”
ความกังวลใจของเขาเป็ของจริง คิ้วที่สวยงามขมวดขึ้น ั์ตาลึกและความไม่พอใจที่สะสมอยู่ในใจของนางพลันสลายไปราวกับควัน อวิ๋นอี้เม้มริมฝีปากแล้วพูดอย่างนุ่มนวลว่า "ถลอกตอนเล่นปาลูกดอกเพคะ"
"ไม่ระวังเอาเสียเลย!" หรงซิวโกรธจนทำกระไรไม่ถูก "เช่นนั้นเหตุใดจึงมิบอกข้า?"
"เจ็บแค่นี้ จะให้บอกกระไรเพคะ?” อวิ๋นอี้มุ่ยปาก มองมาที่เขาแล้วพูดว่า "ไม่เจ็บจริงๆ เพคะ"
"เ้าไม่เจ็บ แต่ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว" หรงซิวเอามือเล็กๆ ของนางตบหน้าอกเขา “ข้าทนมิได้กับอาการาเ็หรือความทรมานใจของเ้าแม้เพียงสักนิด เข้าใจหรือไม่?”
อวิ๋นอี้หน้าแดง พยักหน้าอย่างอายๆ
ทั้งสองกำลังจะกลับห้อง คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอเผยยวนอี้กลางทาง เขาทักทายนิ่งๆ "องค์ชาย พระชายา สายัณห์สวัสดิ์พ่ะย่ะค่ะ"
หรงซิวใส่ใจความาเ็ของอวิ๋นอี้ที่ฝ่ามือ จึงตอบรับอย่างง่ายๆ พลันจะรีบจากไป
“ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” เผยยวนอี้หยุดเขาและพูดช้าๆ ว่า “เร่งรีบเช่นนี้มีกระไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“มีธุระพ่ะย่ะค่ะ” หรงอี้พูดตอบเสียงเ็า อารมณ์ของเขาเขียนไว้อยู่บนหน้า อวิ๋นอี้หยิกเขาเงียบๆ อธิบายแทนเขา “อย่าถือโทษเลยเพคะ มือของข้าถลอกเป็แผล องค์ชายเป็กังวลน่ะเพคะจึงอารมณ์มิดี"
"มือของเ้าถลอกหรือ?” เผยยวนอี้ขมวดคิ้ว ถามต่อว่า "เป็หนักหรือไม่?"
อาการาเ็เล็กน้อย อวิ๋นอี้ไม่้าให้ทุกคนรู้ นางรีบส่ายหัว "ไม่หนักเพคะ จริงๆ"
เผยยวนอี้เลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้ม "ถึงจะไม่หนัก ทว่าเป็สตรีควรระวังไว้จะดีกว่า ว่าแล้วก็บังเอิญ ก่อนจะมาที่นี่ข้าได้พกยาทาสูตรลับของเป่ยิมาด้วย หากมีแผลแล้วทาสิ่งนี้ เพียงสองวันก็หายสนิท ผิวจะกลายเป็เช่นเดิม ตอนกลางคืนเดี๋ยวข้านำมาให้"
"ไม่ต้อง!" หรงซิวตอบ สีหน้าเ็ากว่าเดิม
ทันทีที่อวิ๋นอี้เห็นเช่นนั้น นางรู้ว่าจอมขี้หึงเอาอีกแล้ว นางค่อยๆ ดึงแขนของเขา ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วรีบอธิบาย "มิต้องหรอกเพคะ รบกวนเกินไปแล้ว"
มิรู้ว่าเผยยวนอี้มองเห็นกระไรออกหรือไม่ เขายิ้ม “ไม่รบกวนพ่ะย่ะค่ะ พระชายาวางใจใช้เถิด พูดไปข้าก็มีเื่ขอร้ององค์ชายด้วยเช่นกัน ข้าอยู่ในจวนมาสองสามวันแล้ว มิทราบว่าเื่ที่องค์ชายได้สั่งการไป เป็อย่างไรบ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ?”
เมื่อพูดถึงเื่จริงจัง หรงซิวระงับความไม่สบายใจของเขาไว้ชั่วคราว พลันตอบด้วยสีหน้าทื่อๆ ว่า “หากมีสิ่งใดข้าจะบอกให้ท่านรู้ องค์ชายมิจำเป็ต้องร้อนใจพ่ะย่ะค่ะ”
“องค์ชายพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อท่านดูแลอยู่ เช่นนั้นข้าจะไม่เร่งร้อน” เผยยวนอี้เงยหน้าขึ้นแสร้งทำเป็แหงนมองท้องฟ้า “ค่ำแล้ว ข้าไม่รบกวนทั้งสองจะดีกว่า ขอลาพ่ะย่ะค่ะ"
เขาหันหลังเดินจากไป เสื้อสีดำหนาทึบของเขาพลิ้วไปมาในความมืดมิด
“วางใจไม่ลงเลย!” หรงซิวกระซิบด่าข้างหู “เมียข้า ต่อไปมิต้องไปสนใจเขามากนัก! ข้ามองเขาตอนมองเ้าแล้ว เขาต้องคิดมิซื่อกับเ้าแน่!”
“คิดมากอีกแล้ว” อวิ๋นอี้ยอมใจ “เพคะ เพคะ อย่าจ้องข้า จากที่ข้ามอง องค์ชายคนโตเขาอ่อนโยนและสง่างาม เขาปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนี้ทั้งหมด มิใช่เพียงแค่ข้า!”
“ถึงอย่างไรก็ต้องอยู่ห่างจากเขา” หรงซิวพูดอย่างไม่พอใจ
“ฝ่าา!" อวิ๋นอี้รู้สึกอึดอัด จู่ๆ ก็นึกถึงซูเมี่ยวเออร์และหว่านฉือ พลันยากที่จะไม่ใช้อารมณ์พูด "เช่นนั้นฝ่าาอยู่ให้ห่างจากสตรีผู้อื่นด้วยได้หรือไม่เพคะ?"
“ข้าเคยสนิทสนมกับสตรีคนใดด้วยหรือ?” หรงซิวงุนงง อยากจะชี้แจงกับนาง ทว่ากลับเห็นดวงตาของสาวน้อยแดงก่ำ ดูไม่สบายใจและน่าสงสาร จึงได้เปลี่ยนคำพูด “ได้ เราสัญญากัน อย่าโกรธเลยได้หรือไม่? ข้าช่วยเ้าอาบน้ำดีหรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] นับขุมทรัพย์ในบ้านตนเอง 如数家珍 หมายถึง คล่องแคล่วชำนาญราวกับนับเงินของตน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้