โม่เสวี่ยถงหลับตาแน่น เสียงเฟิงเจวี๋ยหร่านะโลั่น ก่อนที่นางจะถูกใครบางคนตวัดร่างเข้าสู่อ้อมอกแกร่ง “ถงเอ๋อร์” น้ำเสียงกระวนกระวายของเฟิงเจวี๋ยหร่านปัดเฉียดข้างหู นางรู้สึกวิงเวียนอย่างหนัก แต่ก็แข็งใจลืมตาขึ้น เมื่อมองไปด้านหลังของเฟิงเจวี๋ยหร่านก็เห็นคนยืนคุมเชิงอยู่อีกสองคน
นางพยายามฝืนทนข่มกลิ่นคาวเืที่จุกอยู่ในอกลงไป ลมหายใจถี่กระชั้น มือดึงชายเสื้อของเขาไว้แน่น ด้านหลังยังมีคนชุดดำอีกสี่คน ต่อให้เฟิงเจวี๋ยหร่านมีองครักษ์มาด้วยสองคน ก็ยังมีอีกสองคนที่ต้องจัดการ “ข้าไม่เป็ไร ท่านวางใจเถอะ”
ทันทีที่กล่าวจบมือก็พลันสิ้นแรงตกลง เบื้องหน้ากลายเป็ความมืดมิด
เฟิงเจวี๋ยหร่านอุ้มร่างบางของโม่เสวี่ยถงขึ้นมา ดวงตาดั่งพญาหงส์หรี่ลงฉายแววเย็นะเื ประกายตาดุดันทรงอำนาจแผดกล้าจากก้นบึ้ง ไม่มีท่วงท่าเอ้อระเหยลอยชายเหมือนยามปรกติ ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“จัดการให้ไว ฆ่าอย่าให้เหลือ”
เฟิงเยวี่ยรับคำสั่ง พลางลอบมองดวงตาที่ฉายแววกระหายเืของผู้เป็นายปราดหนึ่ง คุณหนูสามสกุลโม่ผู้นี้มีความสำคัญในใจของเ้านายเป็อย่างยิ่ง ยามนี้นางได้รับาเ็เ้านายย่อมต้องโกรธจัด ไหนเลยจะกล้าชักช้า ผนึกกำลังกับองค์รักษ์ที่มาด้วยกันเข้าไปจัดการกับคนร้ายสองคนตรงหน้า และแน่นอนว่าคนชุดดำอีกสองคนที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็เสียชีวิตภายใต้คมดาบ
“เปลี่ยนเป็รองเท้าที่ใช้ในวังหลวงให้กับพวกเขา” เฟิงเจวี๋ยหร่านกล่าวเสียงเรียบ รังสีพิฆาตเย็นะเืแผ่กำจายออกมาทั่วร่าง เขาอุ้มโม่เสวี่ยถงถอยออกมา จัดอาภรณ์ให้นางอย่างระมัดระวัง ไม่ให้เปื้อนโลหิต
“พ่ะย่ะค่ะ” บุรุษอีกสองคนเดินมาจากอีกด้านหนึ่ง หยิบรองเท้าหุ้มแข้งมาเปลี่ยนให้คนชุดดำเ่าั้อย่างคล่องแคล่ว
เฟิงเจวี๋ยหร่านอุ้มโม่เสวี่ยถงพลิ้วกายหายไปอย่างรวดเร็ว
…
ในห้องรับรองส่วนตัวชั้นสาม หอเซียงหม่านโหลว
โม่เสวี่ยิ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งซ้ายโดยมีโม่ซิ่วติดตามไปด้วย ผู้ที่นั่งอยู่ด้านขวาก็คือโหยวเยวี่ยเฉิง ิกั๋วกงซื่อจื่อ บนโต๊ะเต็มไปด้วยสุราอาหารซึ่งล้วนแล้วแต่ขึ้นชื่อของหอเซียงหม่านโหลวแห่งนี้ หากถามถึงมูลค่าย่อมบอกได้ว่าแค่มื้อนี้เพียงมื้อเดียว ก็สามารถเลี้ยงครอบครัวสามัญชนทั่วไปได้นานนับปี
โม่เสวี่ยิ่ตัดสินใจแน่วแน่ กัดฟัน เงยศีรษะขึ้นน้ำตาไหลพราก ใบหน้างดงามปานบุปผาดูอ่อนแอน่าสงสาร คุกเข่าต่อหน้าโหยวเยวี่ยเฉิง เอื้อมมือไปยึดชายอาภรณ์ของเขาไว้แน่นพลางอ้อนวอนด้วยสีหน้าระทมทุกข์
“ซื่อจื่อ โปรดช่วยเหลือด้วยเถิด หากมิใช่ไร้หนทางจริงๆ ข้าคงไม่กล้าบากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านยามดึกดื่นเช่นนี้ ท่านแม่ถูกคุมขังไว้ เป็ตายอย่างไรไม่อาจรู้ พี่ใหญ่ก็เป็คนหุนหันพลันแล่น หากให้เขาคิดหาวิธีคงมีแต่เข้าไปปะทะกับท่านพ่อและน้องหญิงสาม นางเคยถูกทิ้งไว้ที่อวิ๋นเฉิงคนเดียว ความเจ็บแค้นย่อมมีมากมาย ข้าเองก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด แต่ตอนนี้แม้แต่ชีวิตของน้องชายคนเล็กนางก็เอาไปแล้ว หรือว่ายัง้าชีวิตของท่านแม่ด้วยจึงจะพอใจ”
โม่ซิ่วซึ่งอยู่ด้านหลังคุกเข่าลงและรีบยื่นมือเข้ามาหมายประคองให้นางลุกขึ้น “คุณหนู อย่าร้องไห้ไปเลยเ้าค่ะ ตอนนี้อี๋เหนียงยังไม่ตาย แม้ว่าคุณชายน้อยจะสิ้นแล้ว แต่อี๋เหนียง... ที่นั่นไม่มีใครดูแลเลยสักคน” พูดจบก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจสุดซึ้ง
“ซื่อจื่อ... มิใช่ว่าข้าไม่รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร หรือเป็สตรีไร้ยางอาย แต่มารดาผู้ให้กำเนิดกำลังมีอันตรายถึงชีวิต หลังจากแท้งบุตรก็ถูกบิดาสั่งขังไว้ในเรือน มีเพียงหญิงรับใช้าุโเฝ้าอยู่คนหนึ่ง ไม่มีใครช่วยดูแลสุขภาพร่างกาย ข้าจะเข้าไปเยี่ยมยังถูกคนขวางไว้หน้าประตู ซื่อจื่อ... ข้าขอร้อง โปรดช่วยออกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากบ้านสกุลอวี้ด้วยเถิด” โม่เสวี่ยิ่กล่าวสอดรับกับคำพูดของโม่ซิ่วพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น ยิ่งดูน่าสงสารขึ้นไปอีก
หญิงงามดั่งหยกท่าทางน่าสงสาร ยิ่งมีท่าทางเหมือนกับได้รับความไม่ยุติธรรมมาเช่นนี้ ใครเลยจะไม่รู้สึกเห็นใจ
โหยวเยวี่ยเฉิงหัวคิ้วขมวด ดวงตาสีนิลเยือกเย็นนิ่งลึก เขาวางจอกสุราในมือลงแล้วดึงโม่เสวี่ยิ่ที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าให้ลุกขึ้น ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษย่อมมีมากพอถูกดึงให้ลุกขึ้นโม่เสวี่ยิ่ก็ยืนโงนเงนไม่มั่นคง ก้าวพลาดไปเหยียบถูกชายกระโปรงข้างหนึ่ง นางยื่นมือไปคว้าอุ้งมือของโหยวเยวี่ยเฉิงที่ยังมิได้รั้งกลับไปด้วยจิตใต้สำนึก เมื่อประคองตนได้มั่นคงแล้ว เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองจับมือของโหยวเยวี่ยเฉิงอยู่จึงรีบปล่อยมือเขาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย ถอยห่างออกไป
“คุณหนูสามของบ้านเ้าร้ายกาจขนาดนี้ ไฉนจึงไม่ไปแจ้งกับบิดาเล่า ใต้เท้าโม่มิใช่คนเลอะเลือนเชื่อคนง่ายเสียหน่อย” โหยวเยวี่ยเฉิงรั้งมือกลับไปพลางถามเสียงเย็น ภาพของหญิงสาวหน้าตางดงามท่าทางอ่อนแอผุดขึ้นในความทรงจำ คิดไม่ถึงว่าเื้ัจะมีจิตใจดั่งอสรพิษ วางแผนทำร้ายน้องชายในครรภ์ของอี๋เหนียงไม่พอ ต่อหน้าโม่ฮว่าเหวินยังพูดใส่ความว่าอี๋เหนียงทำร้ายบุตรในครรภ์ของตนเอง
ในโลกนี้จะมีมารดาที่ไหนใจร้ายได้ขนาดนั้น ใต้เท้าโม่เป็ผู้บริสุทธิ์ยุติธรรมมาโดยตลอด ไฉนจึงเชื่อคำพูดแบบนี้ได้ โหยวเยวี่ยเฉิงเชื่อมั่นในคุณธรรมความโปร่งใสของโม่ฮว่าเหวินมาโดยตลอด ยามนี้กลับรู้สึกแคลงใจต่ออำนาจในเรือนหลังของเขาว่าอ่อนปวกเปียกเกินไปหรือไม่ ปล่อยให้บุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกทำร้ายบุตรอนุภรรยาในเรือนหลังอย่างอำมหิต และสุดท้ายความผิดกลับตกอยู่ที่อี๋เหนียงซึ่งเพิ่งแท้งบุตร เขาคิดได้อย่างไรกัน
“ตอนนี้ท่านพ่อฟังแต่คำพูดของน้องหญิงสาม หากพวกเรายังกล้ามากวาจา สุดท้ายคงไม่แคล้วมีชะตากรรมเดียวกับมารดา ถูกขังอยู่ในเรือนหลังชั่วชีวิต ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากพูด แต่เพราะกลัวจะมีจุดจบแบบนั้น ยามนี้ท่านแม่จะเป็หรือตายก็ไม่รู้ เดิมทีข้าก็คิดจะไปขอร้องนาง แต่การเอาตัวเข้าไปเสี่ยง หากท่านพ่อเกิดนึกขุ่นเคืองพวกเราไปด้วย ชาตินี้ท่านแม่คงมิได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกแล้ว” โม่เสวี่ยิ่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา แล้วร้องไห้อีกครั้ง น้ำตาหลั่งไหลไม่ขาดสายประหนึ่งว่าทั้งโศกเศร้า เสียใจและคับแค้น แต่กลับสิ้นไร้หนทาง
“ตอนนี้พวกเราไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้น ได้แต่ภาวนาให้น้องหญิงสามรีบแต่งงานออกไป เรือนหลังสกุลโม่จึงจะกลับมาสงบสุขได้ แต่นางเพิ่งจะเข้ามาเมืองหลวง ชื่อเสียงก็ยังไม่เด่นชัดจะมีสกุลดีที่ไหนมาสู่ขอ ดังนั้นจึงอยากขอความช่วยเหลือจากซื่อจื่อ สกุลของท่านเป็ตระกูลสูงศักดิ์ คนที่รู้จักล้วนมีคุณธรรมน้ำใจ ครอบครัวเคร่งครัดในธรรมเนียม แม้ว่านางจะเป็คนร้ายกาจ แต่มิได้เลวร้ายโดยสันดาน หากซื่อจื่อช่วยแนะนำตระกูลดีสักตระกูลให้แต่งนางออกไป ก็ถือว่าเป็การช่วยดับไฟที่กำลังไหม้คิ้วของพวกเราแล้ว”
“นางทำกับพวกเ้าขนาดนี้ เ้ายังพูดแก้ต่างให้นางอีกหรือ” โหยวเยวี่ยเฉิงกล่าวอย่างไม่พอใจ สตรีที่ใจคอโเี้เยี่ยงอสรพิษเช่นนี้หากไม่เรียกว่าเลวร้ายโดยสันดาน แล้วใครที่ไหนถึงจะเลวร้ายอย่างแท้จริง ตอนนั้นเขายังเคยคิดว่าโม่เสวี่ยถงเป็สตรีน่ารักมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่ยามนี้เขาไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีกับนางแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ความรู้สึกรังเกียจ
ใครแต่งสตรีที่มีจิตใจโเี้ร้ายกาจเยี่ยงนี้เข้าบ้าน เรือนหลังคงไม่มีทางสงบสุข คุณหนูใหญ่สกุลโม่ก็จิตใจดีงามเกินไป ถึงยามนี้แล้วก็ยังคิดจะช่วยหาครอบครัวสกุลดีให้นางแต่งออกไปอีก หากเป็เขา... สตรีเลวทรามต่ำช้าแบบนี้ย่อมควรคู่กับบุรุษเสเพลไร้คุณธรรมเช่นเดียวกันจึงจะเหมาะสม ทันใดนั้นในสมองก็พลันนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นได้ ดวงตาสว่างวูบ ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มเย็นเยียบ ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเสียทีเดียว ยังมีอีกคนที่เหมาะสมยิ่ง
“นางเป็น้องสาวของข้า มารดาจากไปเร็วนัก ทั้งต้องอยู่เมืองอวิ๋นเฉิงเพียงลำพัง่เวลาหนึ่ง จึงไม่มีผู้ใดอบรมสั่งสอน ความจริงพวกเราก็ติดค้างนางอยู่ไม่น้อย หวังเพียงว่าต่อไปหากนางได้แต่งเข้าสกุลดี ความเคียดแค้นในใจของนางจะสลายไปได้ ต่อไปพวกเราพี่น้องจะได้รักใคร่กลมเกลียว เื่อื่นๆ ข้าก็ไม่กล้าหวังอันใดอีก” โม่เสวี่ยิ่ปาดน้ำตามองโหยวเยวี่ยเฉิงอย่างวิงวอน แสดงสีหน้าเยี่ยงพี่สาวแสนดีที่ห่วงใยและหวังดีกับน้องสาวเป็อย่างยิ่ง
“ซื่อจื่อโปรดช่วยหาคนจากสกุลดีให้กับน้องสาวได้หรือไม่”
คนจากสกุลดี? สตรีแบบนั้นคู่ควรกับคนดีๆ ที่ไหน โหยวเยวี่ยเฉิงยิ้มเยาะในใจ ความรู้สึกที่มีต่อโม่เสวี่ยิ่ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็ยิ่งรู้สึกกับโม่เสวี่ยถงในทางเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน เขารู้สึกว่าสตรีที่อ่อนโยนเช่นโม่เสวี่ยิ่จึงสมควรที่ได้ชื่อว่าเป็กุลสตรีที่ใจกว้างและดีงามอย่างแท้จริง แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ยังคิดถึงไมตรีระหว่างพี่น้อง ช่างเป็คนที่น่าสงสารนัก ดวงตาที่มองโม่เสวี่ยิ่จึงนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน
เอาเถิด ถือว่าทำเพื่อสตรีที่น่าสงสารคนหนึ่งให้ได้สมปรารถนาสักครั้ง เขาจะช่วยคุณหนูสามสกุลโม่เฟ้นหาบุรุษจากสกุล 'ดี' สักคนก็แล้วกัน
…
ภายในห้องรับรองพิเศษที่กว้างขวางห้องหนึ่งซึ่งอยู่ถัดจากห้องของโหยวเยวี่ยเฉิง เฟิงเจวี๋ยหร่านยกรูปภาพรูปหนึ่งแขวนกลับไปบนผนังที่อยู่เบื้องหน้าโม่เสวี่ยถง ปิดทับตำแหน่งที่มีช่องเล็กๆ ปรากฏอยู่
ด้านหลังของเขา โม่เสวี่ยถงยกมือกุมอกไอเบาๆ สองสามครั้ง
“ถงเอ๋อร์ เป็อย่างไรบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือ” เฟิงเจวี๋ยหร่านหันกลับมาถาม แล้วรินน้ำชามาให้ถ้วยหนึ่ง ช่วยเป่าให้หายร้อนด้วยความใส่ใจ ก่อนวางตรงหน้านาง
“ตอนนี้ไม่เจ็บเท่าไรแล้วเพคะ” โม่เสวี่ยถงคลำไปที่ไหล่ขวาของตนเอง แล้วให้คำตอบพลางยิ้มขื่น คนชุดดำชะตาขาดผู้นั้นยังอุตส่าห์มีแรงซัดฝ่ามือมาที่ไหล่ขวาของนาง โชคดีที่แรงเฮือกสุดท้ายของเขาแทบไม่เหลือกำลัง หาไม่แล้วชีวิตน้อยๆ ของตนก็คงต้องทิ้งไว้ที่นั่น มีดสั้นคู่นั้นไม่เพียงแต่แหลมคม จากรอยาแที่ลำคอยังพบว่ามีพิษอีกด้วย
“เมื่อครู่ทำไมถึงลงมือก่อนเล่า ไม่รู้หรือว่าอีกไม่กี่ก้าวข้าก็จะไปถึงแล้ว” เฟิงเจวี๋ยหร่านหลับตาลง สีหน้าเผยความรู้สึกขุ่นเคือง จะให้เขาพอใจได้อย่างไร เห็นโม่เสวี่ยถงถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา ชั่วเวลานั้นหัวใจของเขาแทบหลุดออกจากอก พุ่งเข้าไปโดยไม่ห่วงสิ่งใดทั้งสิ้น ยามนี้ยังนึกตำหนิในใจ เด็กสาวผู้นี้ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้าใช้มีดแทงคนเยี่ยงนั้นได้อย่างไร
“ข้าไม่กลัว” โม่เสวี่ยถงหยิบถ้วยชาที่วางอยู่ข้างมือมาจิบคำหนึ่ง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบางๆ นางไม่กลัวเพราะโม่เสวี่ยถงที่อ่อนแอได้ถูกไฟแห่งความแค้นเผาจนตายไปั้แ่ชาติที่แล้ว หนทางทวงหนี้แค้นยังอีกยาวไกล หากมัวแต่กลัวโน่นกลัวนี่ คงไม่ต้องพูดถึงเื่แก้แค้นกันแล้ว
แสงตะเกียงทาบไล้มาบนใบหน้าเล็กงามล้ำ ที่ยามนี้ไม่มีความไร้เดียงสาหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย มีเพียงความเ็าห่างเหิน รวมไปถึงความรู้สึกเศร้าสลดและอ้างว้างที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ดวงตาประหนึ่งแก้วใสทอดมองไปยังความมืดมิดแห่งราตรีที่อยู่นอกหน้าต่าง ช่างคล้ายกับความมืดของค่ำคืนนั้นในชาติก่อน
นางเคยคิดว่าตนเองคงได้แต่พาหัวใจอาฆาตแค้นจมลงสู่ขุมนรกอย่างเดียวดาย คิดไม่ถึงว่าจะได้มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นางจะไม่กลับไปเป็คนอ่อนแอขี้ขลาดตาขาวเช่นนั้นอีก ไม่มีวัน! หาไม่แล้วท้ายที่สุดแม้แต่ร่างคงไม่มีที่กลบฝัง ดูจากโม่เสวี่ยิ่ที่แสร้งทำตัวอ่อนโยนเป็คนดีอยู่ข้างห้องก็รู้ได้ หากตนเองไม่ตาย พวกนางก็ไม่มีวันเลิกรา
บอกว่านางทำร้ายเด็กในท้องของฟางอี๋เหนียง ทำให้ฟางอี๋เหนียงต้องอยู่เหมือนตายทั้งเป็ จนโม่เสวี่ยิ่พี่สาวผู้แสนดีต้องไปขอร้องผู้อื่นให้ช่วยหาคู่ครองดีๆ ให้
ไม่รู้ว่าต้องเป็คู่ครองที่ 'ดี' มากแค่ไหนที่ทำให้โม่เสวี่ยิ่ถึงขั้นยอมลงแรงไปคุกเข่าขอร้องโหยวเยวี่ยเฉิง
“ท่านอ๋อง ในบรรดาคนรู้จักของโหยวเยวี่ยเฉิง มีผู้ใดที่ชื่อเสียงไม่ดี นิสัยสุดจะรับได้และยังไม่แต่งภรรยาหรือไม่”
โม่เสวี่ยถงสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด แสงเทียนสีเหลืองนวลคล้ายกำลังเริงระบำอยู่บนใบหน้างามพิลาสที่เ็าอย่างที่สุด มองไม่เห็นความรู้สึกยินดียินร้ายใดๆ ทั้งสิ้น แต่นางที่เป็เช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกปวดใจ ต้องเป็ความขื่นขมระทมทุกข์แบบไหนที่ทำให้สาวน้อยอายุเพียงสิบสองสิบสามกลายเป็คนเก็บกดซ่อนอารมณ์ได้ลึกถึงเพียงนี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้