“รนหาที่ตาย!”
ดวงตาของมู่เฟิงทอประกายเย็นเยียบ ทว่าเขายังไม่ทันได้ลงมือทำสิ่งใด มู่ขวงและไป๋จื่อเยว่ที่อยู่ด้านข้างก็เริ่มเคลื่อนไหวเสียก่อน
ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งส่งเสียงร้องคำราม พร้อมกับวาดคมดาบออกมาอย่างรวดเร็ว ดาบเล่มนี้ถูกบรรจุไว้ด้วยพลังปราณอย่างเต็มเปี่ยม อานุภาพพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เกรงว่าคงสามารถผ่าหัวกระบือได้ในคราเดียว
ชายฉกรรจ์ผู้นี้มีวรยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเก้า
การที่ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากต้องติดอยู่ในระดับทงม่ายขั้นเก้าจนไม่สามารถก้าวหน้าต่อไปได้นั้นมีสาเหตุอยู่ เนื่องจากการจะทะลวงขึ้นสู่ระดับจื่อฝู่นั้นจำเป็ต้องใช้พลังปราณที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นการใช้ยาอายุวัฒนะเป็ตัวช่วยจึงเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด เพียงแต่ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ไม่ได้มีทรัพย์สินมากพอที่จะซื้อยาอายุวัฒนะมาได้
มู่ขวงแสยะยิ้ม เขาเหวี่ยงหมัดออกไปปะทะกับคมดาบนั้นโดยตรง โดยไม่ได้ชักดาบของตนออกมา และหมัดนี้ก็บรรจุไว้ด้วยพลังปราณเช่นกัน
ผู้คนบนถนนที่อยู่โดยรอบต่างร้องอุทานด้วยความใ มีบางคนถึงกับปิดตาไม่กล้ามอง ราวกับว่าพวกเขาทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นภาพมือของเด็กหนุ่มถูกผ่าออกเป็สองส่วน
ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับตาลปัตรไปจากที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้
ปัง!
เมื่อหมัดของเด็กหนุ่มปะทะเข้ากับคมดาบ ก็เกิดเป็เสียงกระทบกันดังลั่นขึ้น พละกำลังมหาศาลถูกส่งไปยังคมดาบในทันที
แรงกระแทกทำให้แขนของชายฉกรรจ์ผู้นั้นชาหนึบ นอกจากนี้ดาบของเขายังเกือบจะแตกหัก เขาจ้องมองไปยังมู่ขวงด้วยสายตาตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าดาบของเขาจะไม่สามารถทำอะไรกำปั้นของเด็กหนุ่มได้เลย!
มู่ขวงไม่ให้เวลาอีกฝ่ายได้ในานนัก เขาเหวี่ยงหมัดตามมาอย่างรวดเร็ว หมัดนี้ตรงเข้ากระแทกหน้าอกของอีกฝ่ายอย่างจัง ชายฉกรรจ์ผู้นั้นร้องโหยหวนออกมาทันที กระดูกซี่โครงของเขาหักไปหลายซี่ ร่างของเขาลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดถึงแปดเมตรก่อนจะตกกระแทกพื้นอย่างรุนแรง ก่อนที่เขาจะกระอักเืออกมาทันที และไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ชั่วขณะ
ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง ไป๋จื่อเยว่ได้ถือกระบี่เล่มยาวที่ยังไม่ได้ถอดฝักไว้ในมือ เพียงเขาวาดกระบี่ออกมา ภาพเงาของฝักกระบี่ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเจ็ดถึงแปดเล่ม นอกจากนี้การเคลื่อนไหวของพวกมันยังรวดเร็วราวกับสายฟ้า
กระบี่ทุกเล่มล้วนปะทะเข้ากับดาบของอีกฝ่ายจนปรากฏเป็เสียงกระทบกันดังกึกก้อง ส่วนกระบี่เล่มสุดท้ายได้พุ่งเข้าไปกระแทกปากของชายฉกรรจ์ผู้นั้นอย่างจัง ส่งผลให้ฟันของอีกฝ่ายหักไปหลายซี่
ชายผู้นั้นร้องโอดครวญออกมา เขายกมือขึ้นปิดปากที่เปื้อนไปด้วยเื ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเ็ป เกรงว่าเทศกาลปีใหม่นี้เขาคงไม่สามารถกินอะไรได้อีกแล้ว
ไป๋จื่อเยว่จ้องมองอย่างเฉยชา จากนั้นเด็กหนุ่มก็เตะไปยังหน้าอกของชายผู้นั้นอีกครั้ง ทำให้อีกฝ่ายกระเด็นออกไปไกลหลายเมตร
ชายฉกรรจ์ที่ยังเหลืออยู่อีกคนได้ชักดาบออกมาทันที และตวัดดาบไปทางมู่เฟิง เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะหลบหลีก เขาโคจรพลังปราณภายในร่าง เพียงไม่นานพลังปราณจากเส้นลมปราณทั้งสิบสองจุดก็พลันะเิออกมา ทำให้เกิดเป็เสียงที่ดังอย่างคมชัดถึงเก้าครั้ง
“หมัดทะลวงลมปราณ!”
ฉับพลันนั้นหมัดที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังปราณสีขาวก็ได้พุ่งทะลวงผ่านอากาศไปกระแทกเข้ากับหน้าอกของชายฉกรรจ์ผู้นั้นอย่างรุนแรง
“อัก…!”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นถูกแรงหมัดผลักกระเด็นไปไกลกว่าสิบเมตร เขาพยายามตะเกียกตะกายคลานไปบนพื้น แต่ท้ายที่สุดก็กระอักเืออกมาและไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก
หมัดเมื่อครู่นี้ถือว่ามู่เฟิงได้ยั้งแรงเอาไว้แล้ว หากเขา้าสังหารอีกฝ่ายจริงๆ เพียงหมัดเดียวก็สามารถปลิดชีพอีกฝ่ายได้ทันที
“วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่!”
“พวกเขาสามคนคือผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่ ช่างร้ายกาจยิ่งนัก”
“เด็กหนุ่มอายุยังน้อยแต่สามารทะลวงผ่านระดับจื่อฝู่ได้แล้ว เป็อัจฉริยะจากตระกูลใดกัน”
ผู้คนรอบข้างต่างอุทานออกมาด้วยความใกับความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มทั้งสาม
“ฮึ่ม เศษสวะที่ไม่รู้จักประมาณตน”
มู่ขวงสบถออกมาอย่างเ็า
“โอ๊ย…”
ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ต่างนอนกลิ้งไปมาบนพื้นและร้องโอดโอยอย่างเ็ป ทันใดนั้นชายฉกรรจ์ผู้ที่ถูกมู่เฟิงบิดข้อมือก็ได้ร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธ “เ้าหนุ่ม พวกเ้ากล้าโจมตีคนของกลุ่มพยัคฆ์เหลืองงั้นหรือ พวกเ้าได้ตายแน่!”
มู่เฟิงขมวดคิ้ว ‘กลุ่มพยัคฆ์เหลือง’ ชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูยิ่งนัก อ้อ จริงสิ คงไม่ใช่ว่าเป็กลุ่มคนเดียวกันกับกลุ่มพยัคฆ์เหลืองที่เขาและมู่ขวงเคยสังหารตอนที่อยู่บนเทือกเขาอันหนานหรอกนะ
“กลุ่มพยัคฆ์เหลือง ร้ายกาจนักรึ?”
มู่เฟิงเดินตรงเข้าไปหาชายผู้นั้น เขาเพียงใช้ปลายหางตาชำเลืองมองอีกฝ่าย ขณะกล่าวขึ้นอย่างเ็าว่า “หลังจากเ้ากลับไป อย่าลืมบอกให้หัวหน้ากลุ่มของพวกเ้าไปขอโทษสหายข้าที่ตระกูลมู่ ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้อีกสามวันจะไม่มีกลุ่มพยัคฆ์เหลืองดำรงอยู่ในเมืองอันหนานอีกต่อไป ไสหัวไป!”
มู่เฟิงตวาดออกมาอย่างเ็า เผยให้เห็นถึงเจตนาที่้าจะสังหาร ชายฉกรรจ์ทั้งสี่พลันตื่นตระหนกรีบลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินโซเซหนีไปด้วยความอับอาย
“ให้ตายสิ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ออกมาเดินเล่นกับเ้าแบบนี้ ดันต้องมาเจอพวกคนนิสัยเสียเช่นนี้อีก”
มู่หลานขมุบขมิบริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ
“เอาละเสี่ยวหลาน เ้าไม่จำเป็ต้องใส่ใจคนพวกนั้น อย่างไรก็มีพวกเราคอยปกป้องเ้าอยู่ หากพวกเขายังกล้ามาตอแย พวกเราจะทุบตีพวกเขาให้เอง”
มู่ขวงหัวเราะร่า ขณะมองมู่หลานอย่างอ่อนโยน
“เอาละ อย่าได้เก็บคนเลวพวกนั้นมาใส่ใจเลย บนโลกนี้ยังมีพวกใช้ชีวิตไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้อยู่อีกมาก ไม่ควรค่าให้ต้องใส่ใจนักหรอก”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาได้เอามือไพล่หลังก่อนจะเดินต่อไปบนถนน เหลือทิ้งไว้เพียงความประหลาดใจให้กับฝูงชนรอบข้าง
บนถนนที่ห่างออกไปยังมีกลุ่มคนจำนวนมากมุงดูสถานการณ์บางอย่าง กลุ่มเด็กหนุ่มสี่คนกำลังล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้นพร้อมกับจมูกและใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำจากการถูกทุบตี
มู่เฟิงคุ้นเคยกับเด็กหนุ่มทั้งสี่คนนี้เป็อย่างดี พวกเขาล้วนเป็ศิษย์ของตระกูลมู่ มู่ลี่ มู่ชางและผู้ติดตามของมู่ลี่อีกสองคน
เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินใช้เท้าเหยียบลงไปบนใบหน้าของมู่ลี่ ขณะกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “มู่ลี่ เ้าคิดว่าเหล่าจือไม่กล้ายั่วยุมู่เฟิงแล้วจะไม่กล้ายั่วยุคนอย่างเ้าด้วยงั้นรึ? อย่างเ้าจะนับเป็ตัวอะไรได้ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าข้า”
หวังเยว่นำกลุ่มเด็กหนุ่มเจ็ดแปดคนจากตระกูลหวังเข้ามาล้อมรอบเด็กหนุ่มทั้งสี่เอาไว้ จากนั้นก็พูดจาเย้ยหยันอีกฝ่าย
ในเวลานี้วรยุทธ์ของหวังเยว่ทะลวงขึ้นสู่ระดับจื่อฝู่แล้ว ดังนั้นมู่ลี่และคนอื่นๆ จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
หลังจากผ่านพ้นวันส่งท้ายปี เขาจะต้องเดินทางไปยังวิหารสลักลายแล้ว ดังนั้นวันนี้เขาจึงออกมาเที่ยวเล่นกับเหล่าสหาย นึกไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอกับมู่ลี่และเด็กหนุ่มคนอื่นในตระกูลมู่
เดิมทีหวังเยว่นั้นมีเื่บาดหมางกับมู่เฟิง เขาจึงนึกเกลียดชังคนตระกูลมู่ทั้งหมดไปด้วย ดังนั้นเมื่อได้พบกับคนตระกูลมู่ เขาก็ไม่รอช้าที่จะพาสหายของตนไปหาเื่อีกฝ่ายในทันที
“หวังเยว่ เ้าคนบัดซบ เ้ามีเื่อะไรก็ไปจัดการกับมู่เฟิงเอาสิ เื่ระหว่างพวกเ้ามันเกี่ยวอะไรกับพวกข้ากัน”
มู่ชางที่ถูกศิษย์ผู้หนึ่งของตระกูลหวังผลักลงบนพื้นคำรามออกมาด้วยความโกรธ
เผียะ!
“หุบปาก!”
เมื่อได้ยินดังนั้นหวังเยว่ก็ตวาดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมกับเข้าไปตบปากมู่ชางจนเืกลบปาก
“หยุดพูดถึงมู่เฟิงต่อหน้าข้า สำหรับเ้าคนสารเลวนั่น รอให้ข้าได้เข้าไปยังวิหารสลักลายและได้ฝึกฝนการสลักลายเส้นก่อนเถอะ วันหนึ่งข้าจะต้องแซงหน้าเขาให้ได้ ถึงเวลานั้นข้าจะทำให้เขาได้รู้ซึ้งเองว่าการทำให้หวังเยว่ผู้นี้ขุ่นเคืองจะมีจุดจบเช่นไร”
หวังเยว่ตระโกนออกมาอย่างแค้นเคือง เวลานี้มู่เฟิงได้กลายเป็ปมในใจของเขาไปแล้ว
“โอ้ ยอดอัจฉริยะหวัง เ้ากำลังเรียกหาข้าอยู่รึ? ไม่รู้ว่าเ้าจะมอบจุดจบแบบใดให้ข้ากันนะ”
ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงหยอกล้อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นไม่ไกลนัก เป็เสียงของมู่เฟิงที่กำลังเดินแทรกฝูงชนเข้ามาพร้อมกับมู่ขวง ไป๋จื่อเยว่และมู่หลาน เด็กหนุ่มเหลือบมองมาทางหวังเยว่ด้วยั์ตาเย้ยหยัน
“มู่เฟิง!”
เมื่อหวังเยว่มองเห็นผู้มาใหม่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังออกไปสองก้าวด้วยความใ ราวกับหนูเห็นแมว
ส่วนมู่ลี่ มู่ชางและคนอื่นในตระกูลมู่ต่างมีสีหน้าที่ค่อนข้างซับซ้อน แน่นอนว่าในความรู้สึกเ่าั้มีความเกลียดชังมู่เฟิงรวมอยู่ด้วย ถึงอย่างไรการที่พวกเขาถูกหวังเยว่ทุบตีเช่นนี้สาเหตุก็มาจากมู่เฟิง
“มู่เฟิง จะ เ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
หวังเยว่มองไปยังมู่เฟิง ดวงตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวอย่างชัดเจน
มู่เฟิงไม่เพียงแต่มีพลังิญญาที่สูงกว่าเขาเท่านั้น กระทั่งในด้านความแข็งแกร่งอีกฝ่ายก็ยังเหนือกว่า ในครั้งก่อนที่พบกันนั้นวรยุทธ์ของเขายังไม่ได้บรรลุระดับจื่อฝู่ และแม้ว่าตอนนี้เขาจะสามารถทะลวงผ่านระดับจื่อฝู่ได้แล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะมู่เฟิงได้เลย
“เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเ้ากำลังเรียกหาข้าหรอกหรือ ทั้งยังบอกว่าจะให้ข้าได้พบกับจุดจบ อืม ในเมื่อข้าอยู่นี่แล้ว ข้าก็อยากจะถามเ้าเสียหน่อย ยอดอัจฉริยะหวัง เ้า้าจะให้มู่เฟิงผู้นี้มีจุดจบเช่นไรงั้นรึ?”
มู่เฟิงก้าวเท้าเข้าไปหาหวังเยว่พลางกล่าวอย่างหยอกล้อ
หวังเยว่รีบถอยหลังออกไปสองก้าวด้วยความตื่นตระหนก “เ้าอย่าได้เข้ามา เมื่อครู่ข้าเพียงพูดจาไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เ้าอย่าได้คิดจริงจัง”
ท่าทีของหวังเยว่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งนี้ทำให้ฝูงชนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงต่างพากันตกตะลึง
เด็กหนุ่มผู้นี้เป็ใครกัน? เหตุใดถึงสามารถทำให้คุณชายหวังผู้เย่อหยิ่งหวาดกลัวขึ้นมาได้? สถานการณ์ตรงหน้านี้ควรค่าแก่การรับชมเป็อย่างยิ่ง