“กุนเชียง? เนื้อตากแห้ง?” เ้าของร้านจางหยิบเนื้อตากแห้งหนึ่งชิ้นที่เหลืองเล็กน้อยขึ้นมา มีความแตกต่างกับเนื้อรมควันอยู่บ้างจริงๆ ไม่ได้ดำปี๋เช่นนั้น หยิบมาดมใกล้ๆ หนึ่งทีก็ไม่ได้มีกลิ่นควันไฟสักนิด กลับได้กลิ่นหอมเครื่องเทศที่บางเบา
“อื้ม ใช่แล้ว ท่านปู่เ้าของร้านเคยทานหรือไม่เ้าคะ? อาหารหมักที่ท่านย่าข้าทำหอมนัก ท่านจะชิมสักหน่อยไหมเ้าคะ?” มุมปากเจินจูโค้งยิ้มขึ้น แล้วลองถามหยั่งเชิง
ในเมื่อยุคสมัยนี้มีอาหารประเภทนี้อยู่ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงสู้ด้วยรสชาติแล้ว นางมีความมั่นใจต่ออาหารหมักของตนเองอย่างมาก เมื่อก่อนบ้านนางเคยซื้ออาหารหมักยี่ห้อโด่งดังมาไม่น้อย อาหารหมักของบ้านตนไม่แย่ไปกว่าพวกนั้นเลย น่าจะเป็ที่้าของตลาดอยู่มาก
“เอาสิ!” เ้าของร้านจางไม่คิดสักนิด ตกลงทันที “ฝีมือครัวพี่สะใภ้ใหญ่เลอเลิศ อาหารที่ทำออกมามักโดดเด่นจากผู้อื่น เนื้อตากแห้งเหล่านี้ก็มีความแตกต่างกับเนื้อรมควันที่เคยทาน คิดๆ ดูแล้วรสชาติต้องไม่เลวเป็แน่”
“ที่ไหนกันเล่า… ไม่หรอก… ล้วนเป็ยามว่างไม่มีอะไรทำแล้วหลับหูหลับตาทำน่ะ” หวังซื่อรีบโบกมือ แม้นางกับเจินจูจะเคยปรึกษาหารือกันมาก่อนแล้วว่าเื่การทำอาหารจะผลักมาไว้ที่นางทั้งหมด แต่หวังซื่อค่อนข้างขาดความมั่นใจในตัวเองเล็กน้อย ไม่กล้ารับว่าเป็ความดีของตนเอง
“ฮ่าๆ พี่สะใภ้ใหญ่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว” เ้าของร้านจางยิ้มแล้วกวักมือเรียกให้ลูกจ้างมาหา “พาพี่สะใภ้สกุลหูไปห้องครัว ดูว่านาง้าอะไรบ้าง แล้วเตรียมให้นางทั้งหมด”
หวังซื่อหยิบเนื้อตากแห้งหนึ่งชิ้นกับกุนเชียงสองพวงเดินตามลูกจ้างไปห้องครัว
หลังเอากระต่ายกับเห็ดแยกกันชั่งน้ำหนักเรียบร้อยแล้ว เ้าของร้านจางก็มอบงานแก่ลูกจ้าง ให้เอาผักสดในลานเก็บเข้าอุโมงค์ห้องใต้ดินก่อน ทันทีหลังจากนั้นก็นำทางพวกเขาสามคนเข้าไปในห้องน้ำชาครั้งที่แล้ว
เรียกลูกจ้างนำน้ำชาและอาหารว่างมาวางเรียบร้อย เ้าของร้านจางจึงยกชาร้อนขึ้นมาดื่มอยู่ไม่กี่อึกแล้วจึงเปิดปาก “ทุกท่านดื่มชา ไม่ต้องเกรงใจ ข้าไม่กลัวว่าพวกเ้าจะหัวเราะเยาะ ตอนรุ่งสางวันนี้ก็ไปขนผักที่เมืองข้างเคียง กลับมาก็ยุ่งไปแล้วครึ่งวัน เวลาจะดื่มชาสักอึกยังไม่มี ทำเอาข้ากระหายน้ำมากนัก”
“ท่านปู่เ้าของร้าน หน้าหนาวเช่นนี้เหตุใดมีผักสดใหม่เยอะเช่นนั้นได้ล่ะเ้าคะ?” เจินจูฉวยโอกาสถามขึ้น
“ฮ่าๆ นี่น่ะไม่ใช่เื่ใหม่อะไร เมืองชิงเฉวียนมิใช่ว่ามีบ่อน้ำร้อนจากความร้อนใต้ดินที่มีชื่อเสียงหรอกหรือ ไม่กี่ปีก่อนมีพวกคนในเมืองได้เรียนรู้จากหมู่บ้านใกล้เมืองหลวง จึงก่อสร้างเพิงเป็โรงเรือนขึ้นในพื้นที่ที่มีความร้อนใต้ดินนั้น พอเข้าหน้าหนาวจึงปลูกผักในโรงเรือนนั้นได้” เดิมทีมีเพียงหนึ่งครอบครัวลองปลูกอยู่บ้าง หลังจากปลูกผักสดออกมาสำเร็จ ครอบครัวที่ร่ำรวยและมีที่ดินอยู่บนแหล่งความร้อนใต้ดินต่างก็ทยอยปลูกเลียนแบบ ขณะนี้ละแวกเมืองชิงเฉวียนส่วนใหญ่ที่มีพื้นที่บ่อน้ำร้อนต่างก็ก่อสร้างโรงเรือนปลูกผักกัน
“โอ้... เป็เช่นนี้เอง ราคาผักเ่าั้ไม่ใช่ว่าขายแพงมากหรือเ้าคะ?” ดูท่าว่าจะดูแคลนสติปัญญาของคนโบราณไม่ได้เลย ใช้ความร้อนบริเวณบ่อน้ำพุร้อนมาเพาะปลูกผักได้ เป็เื่ที่ลงทุนน้อยแต่ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่าเสียจริง
“ราคาไม่ถูกจริงๆ ผักสดบางอย่างยังขายได้แพงกว่าเนื้อหมูตั้งหลายเหวิน!” เ้าของร้านจางกล่าวด้วยใบหน้าปวดใจ ผักที่นำมาไม่กี่ตะกร้าวันนี้ต้นทุนสูงกว่าผักทั่วไปหลายสิบเท่า
“ยังแพงกว่าเนื้อหมู? เช่นนั้นมิใช่ว่าต้องชั่งละยี่สิบเหวินหรือเ้าคะ?” ราคานี้ก็ไม่ต่ำเลยจริงๆ ต้องบอกว่าราคาผักทั่วไปเมื่อก่อนเป็เงินสองสามเหวินเท่านั้น แต่นี่กำไรเยอะเช่นนี้เกือบสิบเท่า ในใจของคนที่เพาะปลูกผักในโรงเรือนใหญ่ของบ่อน้ำพุร้อนเ่าั้คงจะเบิกบานน่าดู
หูฉางหลินที่อยู่ด้านข้างฟังเสียจนตาไม่กะพริบ ผักยังแพงกว่าเนื้อหมู? เขาเบะปากในใจ ผักสดที่แพงเช่นนี้มีเพียงโรงเตี๊ยมหรือคนมีเงินเท่านั้นจึงจะซื้อลงได้ ชาวบ้านตัวเล็กๆ เช่นพวกเขา หากมีเงินเหลือยินดีที่จะซื้อเนื้อทานมากกว่า
“อื้ม ประมาณนั้น บางอย่างที่ปลูกง่ายก็ราคาถูกหน่อย โตยากก็แพงหน่อย ฮ่าๆ ปีนี้ผักเยอะ ราคานับว่าถูกแล้วล่ะ ตอนเพิ่งเริ่มปลูกสองปีนั้น ผักที่พวกเขาปลูกออกมาล้วนมีตลาดแต่ไม่สามารถกำหนดราคาได้ เลยจำหน่ายให้เฉพาะบนโต๊ะอาหารของครอบครัวร่ำรวยเท่านั้น ไม่เคยขายให้โรงเตี๊ยมร้านอาหารของพวกเราเลย” เ้าของร้านจางหัวเราะแล้วกล่าว แม้ว่าจะเป็ตอนนี้แล้วก็ตามหากไม่มีความสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ ก็ยากที่จะซื้อได้
“โอ้… เช่นนั้นหมายความว่าต่อไปราคาจะลดลงกว่านี้หน่อยใช่หรือไม่เ้าคะ?” ของที่หายากย่อมมีราคาแพง ไม่ว่าจะของอะไรก็ล้วนเป็แบบเดียวกัน แต่ของที่มีมากแล้วย่อมเป็ธรรมดาที่ราคาขายจะต่ำลง
เ้าของร้านจางส่ายหัวแล้วกล่าวอธิบาย “น้ำพุร้อนที่มีความร้อนใต้ดินของเมืองชิงเฉวียนมีจำกัด อุณหภูมิไม่เหมาะสมก็ปลูกผักออกมาไม่ได้ ต่อไปราคาขายนี้คาดว่าไม่น่าจะลดลงเท่าไรหรอก”
“ก็ใช่เ้าค่ะ” เจินจูพยักหน้า ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย เมื่อครู่นางเพิ่งคิดว่าจะพัฒนาโรงเรือนห้องอบดีหรือไม่ อันที่จริงโรงเรือนง่ายๆ หนึ่งหลังไม่ยากเลย แม้นางไม่เคยทำมาก่อน แต่นางเคยไปเก็บเฉ่าเหมย [1] ในโรงเรือนใหญ่มาไม่น้อย เคยเห็นโรงเรือนใหญ่มามากมาย ไม่ได้มีทักษะกลไกอะไรที่ยากเป็พิเศษ
หากเพียงเป็โครงการใหญ่ไปสักหน่อย ทำขึ้นมามีขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยากลำบาก อืม... ทำเื่ที่อยู่ตรงหน้าให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ
สี่คนคุยเล่นกันได้สักพัก ลูกจ้างก็นำทางหวังซื่อกลับมา ในมือยังถือกับข้าวที่ร้อนกรุ่นไว้ด้วย
บนโต๊ะมีเนื้อตากแห้งใส่หน่อกระเทียมหนึ่งจานเล็ก กุนเชียงนึ่งที่ฝานเป็แผ่นหนึ่งจาน จัดเข้าคู่กับข้าวสวยหนึ่งถ้วย
เจินจูจงใจปรึกษาหารือกับหวังซื่อมาก่อนแล้ว อาหารหมักเหล่านี้ทานเดี่ยวๆ แล้วรสชาติหนักไปหน่อย วิธีที่ดีที่สุดคือจัดคู่เข้ากับข้าวสวย
“ไปะโเรียกเ้าของร้านใหญ่มา” กลิ่นหอมกรุ่น อาหารหมักเป็มันขลับกระตุ้นความอยากอาหารของคนขึ้นมาได้ยิ่งนัก เ้าของร้านจางกลืนน้ำลายลงไปหนึ่งอึกตามสัญชาตญาณ หยิบถ้วยและตะเกียบบนโต๊ะขึ้นมา คีบเนื้อตากแห้งหนึ่งแผ่นเคี้ยวคำใหญ่
เค็มเล็กน้อย แต่สดมากนัก หอมมาก มีความเหนียวของเนื้อเล็กน้อย เ้าของร้านจางพุ้ยข้าวขึ้นหนึ่งคำ แล้วลงตะเกียบต่อไปอีกครั้ง อาหารหมักหนึ่งชิ้นข้าวหนึ่งคำ ไม่นานข้าวสวยหนึ่งถ้วยก็เข้าไปในท้องของเขาทั้งหมด
ลูบหนังท้องที่กลมกลิ้ง แล้วยังขบคิดรสชาติที่ติดอยู่ในปากเล็กน้อยอีกครั้ง เ้าของร้านจางพยักหน้า กลิ่นไม่เลวเลยจริงๆ ทานเข้าคู่กับข้าวสวยแล้วหอมมาก เหมาะทานกับข้าวนัก
“ท่านอาจาง เหตุใดท่านทานเองแล้วเล่า? ไม่รอข้าอีกต่างหาก” พอเหนียนเสียงหลินเข้าประตูมา จึงเห็นว่าเขาวางถ้วยกับตะเกียบลงและลูบหนังท้อง อดหัวเราะแล้วกล่าวหยอกเย้าไม่ได้
“ฮ่าๆ นี่มิใช่ว่าข้าหิวหรอกหรือ พอตื่นเช้ามาก็ทานแค่ซาลาเปาสองก้อน ตอนนี้เห็นของอร่อยเลยอดใจไม่ไหวไงเล่า” เ้าของร้านจางหัวเราะ แล้วบอกให้ลูกจ้างไปยกถ้วยข้าวเข้ามาอีกหนึ่งถ้วย ทันทีหลังจากนั้นก็จูงเหนียนเสียงหลินเข้ามา “นี่เป็อาหารหมักที่สกุลหูทำ อีกเดียวเ้าลองชิมดู”
เหนียนเสียงหลินทักทายกับสกุลหูทีละคนและรอจนลูกจ้างยกข้าวมา จึงนั่งลงค่อยๆ ลิ้มรส เขาเคี้ยวอาหารหมักทีละชนิดอย่างละเอียด สุดท้ายจึงจะทานคู่กับข้าวสวยหนึ่งคำ หลังวนครบหนึ่งรอบ เหนียนเสียงหลินได้วางถ้วยและตะเกียบลง ออกเสียงถาม “กุนเชียงชนิดนี้ครึ่งหนึ่งเผ็ดอ่อนๆ ครึ่งหนึ่งหวานจางๆ เป็รสชาติสองอย่างหรือ?”
“ใช่แล้ว ที่บ้านตั้งใจทำสองรสชาติ ไม่ทราบว่าเ้าของร้านใหญ่รู้สึกเป็เช่นไร?” หวังซื่อตอบด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
“รสชาติไม่เลว เมื่อก่อนท่านอาจางเคยนำเนื้อรมควันชนิดหนึ่งทางทิศใต้กลับมา แม้เนื้อชนิดนั้นรสชาติจะไม่เลวแต่กลิ่นควันไฟค่อนข้างแรง อาหารหมักชนิดนี้ของบ้านท่าน ตอนทำการหมักใช้เครื่องเทศไม่น้อยกระมัง ซึมเข้าในเนื้อ กลิ่นหอมเข้มข้น รสชาติสดใหม่ เนื้อหอม อื้ม... ไม่เลว” เหนียนเสียงหลินลูบหนวดเคราสั้นบนริมฝีปาก ขบคิดความรู้สึกที่อยู่ในปากแล้วพยักหน้าเป็ระยะๆ
“ใช่แล้ว ใส่เครื่องเทศลงไปให้พอเหมาะจึงทำการหมัก หลังตากแดดให้แห้งแล้วอาหารหมักจะยิ่งมีรสชาติขึ้นหน่อย” หวังซื่อตอบรับด้วยความรอบคอบเล็กน้อย
“พี่สะใภ้หู พวกท่านคิดจะขายสูตรอาหารหมักเช่นครั้งที่แล้วหรือไม่?” เหนียนเสียงหลินเปิดปากถามออกมาตรงๆ รสชาติอาหารหมักสกุลหูไม่เลวเลย ในพื้นที่ค่อนมาทางเหนือของพวกเขานี้ นับเป็อาหารการกินที่แปลกใหม่ สามารถจินตนาการออกได้ หากอาหารรูปแบบใหม่ที่เป็อาหารหมักได้เปิดตัวออกไป ระดับการตอบรับน่าจะไม่ด้อยไปกว่าลูกชิ้นปลาเลย
“เอ่อ… ไม่ใช่…” หวังซื่อเม้มและแอบเลียริมฝีปากเนื่องจากตื่นเต้นจนปากแห้ง กล่าวตามที่ปรึกษากันมาแล้วว่า “เป็เช่นนี้ อาหารหมักเหล่านี้ขั้นตอนในการทำค่อนข้างซับซ้อน อีกทั้งเวลาในการทำนาน ั้แ่การหมักไปจนถึงตากแห้ง น้อยที่สุดต้องครึ่งเดือน คิดๆ ดูแล้วเ้าของร้านเหนียนคงไม่ยอมเสียเวลามาทำ ฉะนั้นขั้นตอนการผลิตที่ยุ่งยากเหล่านี้ปล่อยให้พวกเราจัดการก็พอ”
“ความหมายของพวกท่านคือ จะเสนอขายอาหารหมักให้สือหลี่เซียงของพวกเรา?” เหนียนเสียงหลินตกตะลึงเล็กน้อย สกุลหูที่ขายสูตรลูกชิ้นปลา กลับไม่คิดจะขายสูตรอาหารหมัก ควรค่าให้คนไตร่ตรองอย่างละเอียดเล็กน้อย
“ท่านอาเหนียน ท่านย่าข้าหมายความเช่นนี้ ท่านก็ได้ลองชิมอาหารหมักบ้านข้าดูแล้ว รสชาตินี้ดีหรือไม่และควรมีตลาดขายได้หรือไม่ ในใจท่านย่อมรู้ดี ดังนั้นตามหลักที่ได้ให้สิทธิพิเศษ ความหมายของบ้านข้าคือ อาหารหมักของสกุลหูเสนอให้เพียงสือหลี่เซียง อยู่ที่พวกท่านแล้วว่าจะยินดีร่วมมือกันกับบ้านข้าหรือไม่เ้าคะ” เจินจูแสดงจุดประสงค์นี้ออกมาชัดเจนทันที
ให้สิทธิพิเศษ? เป็คำนี้อีกแล้ว เหนียนเสียงหลินอดมองเด็กสาวรูปร่างเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มตรงหน้าไม่ได้ ั์ตาสงบสว่างไสวใสสะอาดมีความเ้าเล่ห์สายหนึ่ง เหนียนเสียงหลินเป็คนมีเหตุมีผลผู้หนึ่ง สกุลหูสามารถรับปากว่าจะเสนออาหารหมักให้เพียงร้านของเขา การร่วมมือกันเช่นนี้ก็นับว่าไม่เลว
เหนียนเสียงหลินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงยิ้มออกมา “ได้ แต่คุยกันแล้วเล่า จำหน่ายให้เพียงสือหลี่เซียงของข้าเท่านั้นนะ”
“ย่อมเป็เช่นนั้นเ้าค่ะ แต่คำพูดที่เคยกล่าวไปก่อนหน้า หากว่าถูกทำเลียนแบบก็ไม่สามารถโทษบ้านข้าได้นะเ้าคะ” เจินจูยังคงประกาศแจ้ง บางเื่ต้องตัดไฟั้แ่ต้นลม ถึงเริ่มแรกรสชาติจะต่างกันหน่อย แต่คลำหาผ่านปีเหนื่อยเดือน [2] ในสักวันรสชาติต้องมีใกล้เคียงแน่
“แน่นอน” เหนียนเสียงหลินเข้าใจดี สายอาชีพโรงเตี๊ยมร้านอาหารนี้ เลียนแบบอาหารใหม่กันและกันเป็เื่ปกตินัก ต้องดูว่ารสชาติที่ทำออกมานั้นต้นตำหรับหรือไม่
เจินจูพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เหนียนเสียงหลินผู้นี้ทำอะไรแล้วมีสัจจะอีกทั้งชำนาญในด้านพลิกแพลง การร่วมมือกันกับเขาช่างสบายอกสบายใจได้นัก เหลือเพียงราคาแล้ว เมื่อพิจารณาถึงอาหารหมักที่ตากแห้งแล้วหดตัวลง เนื้อหนึ่งชั่งหลังตากแห้งจะเหลือเพียงประมาณเจ็ดเหลียง เช่นนี้ต้นทุนเนื้อหมูก็ต้องสูงหน่อย แล้วยังเพิ่มเครื่องเทศอื่นๆ อีกก็ราคาไม่ถูกเลย รวมกับค่าแรงงานของทุกคนในสกุลหูอีก อย่างไรก็ไม่สามารถขายราคาถูกเกินไปได้
ดังนั้นราคาที่เจินจูให้หวังซื่อปล่อยออกไปคือเนื้อตากแห้งชั่งละ 28 เหวิน กุนเชียงชั่งละ 30 เหวิน
แน่นอน หากราคาเนื้อสูงขึ้น ยังต้องคิดนอกเหนือจากนั้นอีก
เหนียนเสียงหลินคำนวณเงียบๆ เล็กน้อย รู้สึกว่าราคาพอรับได้ เนื้อหนึ่งชั่งทำเป็สินค้าสำเร็จรูปได้น้ำหนักแค่เจ็ดเหลียง สิ้นเปลืองไม่น้อย ราคาที่ค่อนข้างแพงสามารถเข้าใจได้ ถึงอย่างไรสกุลหูก็หาเงินเช่นกัน อีกทั้งดูเหมือนว่าสกุลหูทำอาหารการกินใหม่ๆ ได้ไม่น้อยเลย สานสัมพันธ์กับบ้านพวกเขาไว้ มีประโยชน์ต่อการร่วมมือกันระยะยาวในวันข้างหน้า ให้กำไรพวกเขาหน่อยต่อไปจึงจะสามารถร่วมมือกันได้ดียิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจได้ในทันที การร่วมมือกันของทั้งสองฝ่ายเป็ผลสำเร็จ
ยังคงเขียนสัญญาสองฉบับเช่นเดิม แต่ละฝ่ายถือคนละหนึ่งฉบับ เจินจูดูอย่างละเอียดหนึ่งรอบและให้เ้าของร้านจางอ่านอีกหนึ่งรอบ หลังจากนั้นจึงให้หูฉางหลินกดพิมพ์นิ้วมือลงไป้า
เนื้อตากแห้งได้ทั้งนึ่งได้ทั้งผัด กุนเชียงก็ใช้วิธีนึ่งสุกฝานแผ่นบางเป็หลัก แน่นอนว่ายังสามารถใช้ผัดกับข้าวได้ด้วยเช่นกัน จะจัดให้เข้าคู่กันอย่างไรก็ให้เหล่าคนครัวใหญ่ของสือหลี่เซียงเลือกเอาเองได้เลย
เชิงอรรถ
[1] เฉ่าเหมย คือ สตรอว์เบอร์รี
[2] ผ่านปีเหนื่อยเดือน หมายถึง เวลาที่ผ่านไปนาน หรืออาจจะแปลว่าชั่วนาตาปีก็ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้