หลังบอกลาหวาเอ่อร์ โม่จ้านได้รู้ถึงภารกิจสำเร็จการศึกษาของเก๋อจือระหว่างเดินทาง --- ต้องใช้วิชาเวทล่าอินทรีสายฟ้าหนึ่งตัวด้วยฝีมือของตนเอง ทั้งยังต้องถอนขนหางออกมาเป็หลักฐาน
อินทรีสายฟ้าคือสัตว์ปีศาจประเภทนกชนิดหนึ่งที่มินับว่าหายาก เกิดมาพร้อมกับพร์ด้านพลังเวทธาตุสายฟ้า นิสัยดุร้ายแต่ทว่าสติปัญญามิสูงนัก อีกทั้งยังค่อนข้างตะกละทีเดียว มักสร้างรังไว้ในถ้ำ โดยปกติเหล่านักล่าเพียงวางเหยื่อล่อก็สามารถจับพวกมันได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม หากอนุญาตให้ใช้เพียงพลังเวท ระดับความยากก็จะเพิ่มมากขึ้น จำต้องมีความเร็ว ความแข็งแกร่งและความแม่นยำของพลังเวทในระดับที่สูงมาก นอกจากนั้นสีและลวดลายบนตัวอินทรีสายฟ้าหนึ่งตัวจะเหมือนกันหมด ทว่าหากเป็คนละตัวกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นับเป็การตัดหนทางการทุจริต สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ ยามเมื่อขนของอินทรีสายฟ้าร่วงหนึ่งครั้งก็จะไม่มีทางงอกขึ้นมาใหม่ ดังนั้นจึงเป็เครื่องประดับที่พบเห็นได้บ่อยในห้องของผู้ที่มีงานอดิเรกชอบสะสมสิ่งของ
“ปีนั้นจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่หม่าจี๋ย่าบังเอิญพบกับคลื่นพายุที่เข้าปกคลุมแผ่นดินใหญ่อย่างกะทันหัน ทำให้ภารกิจนี้กินเวลาไปเป็ปีกว่าจะจบการศึกษา”
เก๋อจือเช็ดคทาสั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าน้ำเสียงกลับเจือด้วยความคับแค้นใจ
“หรือจะบอกว่ามิเพียงแต่ดูความสามารถที่แท้จริง หากแต่ยังต้องดูโชคชะตาด้วย”
โม่จ้านมองคทาเลี่ยมอัญมณีในมือของเก๋อจือด้วยความสนใจใคร่รู้
“เช่นนั้น ภารกิจจบการศึกษาของผู้อื่นก็เป็เช่นเดียวกันหรือไม่?”
“ไม่ มิเหมือนกัน เพียงแต่มิต่างกันเท่าใดนัก ล้วนแต่เป็การจับสัตว์ปีศาจ เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุแย่งชิง สัตว์ปีศาจที่ถูกล่าจะใช้วิธีสุ่มจับสลาก หลังจากกำหนดแล้วจะไร้หนทางเปลี่ยน นอกจากนั้นหากเป็การรวมกลุ่มของนักเรียนในสถานศึกษายังต้องไปลงทะเบียนที่สถานศึกษา”
โม่จ้านกุมปลายคางของตน มุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังมือของเก๋อจือ ตนมิใช่นักเรียนดังนั้นจึงมิต้องลงทะเบียน หลังจากลงทะเบียนทหารรับจ้างเสร็จก็สามารถเริ่มปฏิบัติภารกิจได้ทันที
“คทาเวทนั่น ข้าขอดูสักหน่อยได้หรือไม่?”
เก๋อจือเหลือบมองโม่จ้านด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนโยนคทาไปฝั่งตรงข้าม รถม้าช่างสั่นคลอนได้จังหวะพอดี โม่จ้านที่ศูนย์ถ่วงไม่มั่นคงเกือบจะรับเอาไว้มิทัน ร่างทั้งร่างถึงกับเอนล้มอยู่ในรถม้าก่อนจะถอนหายใจพลางหยัดกายขึ้นมา
“ข้าว่า คทาเวทนี่ราคาถูกมากใช่หรือไม่? ยามปกติเห็นเ้าเอาแต่โยนไปโยนมามินึกปวดใจสักนิด มิกลัวอัญมณีจะหลุดออกมาหรืออย่างไร?”
โม่จ้านแยกเขี้ยวยิงฟันลุกขึ้นนั่งที่เดิมพลางลูบด้ามคทาเคลือบเงา
“นั่นเป็ไม้มิใช่แก้วเสียหน่อย มีหรือจะแตกหักง่ายถึงเพียงนั้น หากอัญมณีร่ายมนตร์กระแทกเพียงเล็กน้อยก็หลุดออกมา เกรงว่าเหล่าจอมเวทคงต้องไปถกที่สมาคมพ่อค้าสักหน่อยแล้ว”
เก๋อจืออ้าปากหาว จากนั้นเริ่มพิงผนังรถม้า ปิดเปลือกตาพักผ่อน
“คทาเวทมีทั้งราคาถูกราคาแพง คทาของเด็กฝึกวิชาเวทหนึ่งด้ามราคาประมาณหนึ่งร้อยเหรียญทอง คทาด้ามนี้ของข้าคือไม้คาทาวปาจากซอกเขา ราคาประมาณแปดร้อยเหรียญทอง เป็สัญลักษณ์ของจอมเวทระดับกลาง หินร่ายมนตร์ธาตุลมขั้นสองก็เพิ่มไปอีกสองร้อยเหรียญทอง”
“….เป็เช่นนี้เอง”
โม่จ้านเผยสีหน้ากระจ่างแจ้ง เพียงดูจากราคาเ้านี่ก็รู้แล้วว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางมีกำลังทรัพย์มากพอจะไปลูบขากางเกงของจอมเวทเป็แน่ เงินที่ตนหาได้จากภารกิจมินับว่าน้อย ทว่าก็พอซื้อคทานี้ได้เพียงด้ามเดียวเท่านั้น
“คทาที่ผู้ฝึกเวทกับปรมาจารย์ใช้มีสิ่งใดที่แตกต่างกันหรือ?”
“ด้วยวัสดุที่ด้อยเกินไป ผู้ฝึกเวททำได้เพียงใช้คทาเพื่อััการไหลเวียนธาตุของพลังเวทเท่านั้น มิอาจร่ายคาถาใส่ผู้ใด ทั้งตัวผู้ร่ายเวทจะไม่รู้สึกถึงอันตรายของพลังสะท้อนกลับ ยิ่งเป็คทาขั้นสูงมากเท่าใด การไหลเวียนของพลังธาตุก็จะยิ่งราบรื่น ยิ่งพลานุภาพของผู้ร่ายเวทมีมากเพียงใด ทว่าหากควบคุมได้มิดีพลังนั้นก็จะสะท้อนกลับมาทำร้ายตนเอง”
เมื่อเห็นโม่จ้านตั้งใจ ‘ฟังการบรรยาย’ อย่างเอาจริงเอาจังตลอด เก๋อจือกลับรู้สึกใคร่รู้อยู่บ้าง
“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็บทเรียนพื้นฐานในปีแรกของโรงเรียนเวทมนตร์ เ้าใช้เวทมนตร์มิเป็ ฟังไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด?”
“ความรู้มากมิหนักกาย หากวันใดวันหนึ่งเกิดมีพร์ด้านพลังเวทขึ้นมาข้าอาจจะได้ใช้”
โม่จ้านทำหน้าใสซื่อก่อนจะกลับสู่สภาพเอาจริงเอาจังกับการเอ่ยวาจาเหลวไหลเช่นเดิม
“อ้อ…เหอะๆ อาจจะกระมัง” ทันใดนั้นเก๋อจือพลันรู้สึกว่าการจับกลุ่มกับโม่จ้านเป็เื่ผิดพลาด คล้ายกับสมองของอีกฝ่ายจะมิค่อยปกตินัก
โม่จ้านใช้ความรู้ความเข้าใจทั้งหมดที่มีไปกับคทาสั้นด้ามนี้ กระนั้นกลับยังศึกษามิพบสิ่งใด เดิมทีคิดอยากเอ่ยถามเก๋อจือ ทว่าด้วยขึ้นชื่อว่าเป็ ‘ผู้ที่ทางการชี้ขาดว่าไร้ประโยชน์ด้านเวทมนตร์ จึงมิสะดวกจะเอ่ยถามออกไป ทำได้เพียงคืนมันให้กับเ้าของ
…….
เมืองแห่งนักดาบพเนจรคือที่ตั้งของสำนักงานใหญ่แห่งกิลด์นักดาบพเนจร หรือก็คือจุดหมายในการเดินทางของพวกโม่จ้าน
ภายในคฤหาสน์ของเ้าเมืองในยามนี้ องครักษ์ผู้หนึ่งกำลังรายงานสถานการณ์แก่เ้าเมืองชรา
“มีรายงานขอรับท่านเ้าเมือง ด้านหน้าประตูมีอัศวินไม่ยินดีเผยนามผู้หนึ่งเรียนว่าอยากพบท่านขอรับ”
“มาจากเมืองอื่นงั้นหรือ?… หากมีเื่ใดจะรายงาน ให้เขายื่นเื่ผ่านฝ่ายรับรองเป็พอ”
น้ำเสียงฟังดูแก่ชราเจือความมึนงงอยู่บ้าง ทว่าคล้ายกับในหัวจะไร้ซึ่งความทรงจำใดให้นึกย้อนองครักษ์ขานรับหนึ่งเสียง ตนเพิ่งจะพยักหน้าเตรียมออกไปกลับถูกคำพูดของท่านเ้าเมืองรั้งเอาไว้เสียก่อน
“…ประเดี๋ยวก่อน อัศวินผู้นั้นมีนามว่าอย่างไร รูปร่างลักษณะเป็อย่างไร?”
“เขาปกปิดใบหน้า ดูท่าทางแล้วน่าสงสัยขอรับ…”
องครักษ์หนุ่มเกาศีรษะ พยายามหวนนึกถึงลักษณะท่าทางของอัศวินเมื่อครู่
“…ั์ตาของเขามีสีทองอ่อน ผมสีน้ำตาลอ่อนค่อนข้างยาวและหยักศกเล็กน้อย รูปร่างมิเตี้ย เอ่อ ท่านเ้าเมือง ท่านเป็อันใดไปขอรับ?”
องครักษ์มองเ้าเมืองด้วยสายตางงงวยอยู่บ้าง พบว่าสีหน้าของท่านเ้าเมืองฉายแววซับซ้อน คล้ายจะยิ้มหากแต่ยังเปี่ยมด้วยความเศร้าใจ
“นึกมิถึงว่าจะมาเร็วถึงเพียงนี้…ยังคิดว่าเขาจะไปเข้าร่วมปฏิบัติการกวาดล้างเผ่าปีศาจที่หลงเหลืออยู่เสียด้วยซ้ำ”
“…ปฏิบัติการกวาดล้าง? อัศวินท่านนั้นคือคนของสันตะสำนักหรือขอรับ?”
องครักษ์งุนงงหนักกว่าเดิมเสียแล้ว มิคาดว่าเ้าเมืองของตนจะมีความเกี่ยวข้องกับสันตะสำนักของอาณาจักรไหลเต๋อ
“ข้ากับเขาเพียงมี ‘วาสนาได้พบหน้า’ เท่านั้น….”
เ้าเมืองเผยรอยยิ้มขมขื่น เอ่ยลากเสียงคำว่า ‘วาสนาได้พบหน้า’ ด้วยน้ำเสียงแฝงความหมายลึกซึ้ง
ยามนั้นาเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ตนที่ยังเป็อัศวินได้ช่วยเหลือเด็กน้อยั์ตาสีทองและผมหยักศกสีน้ำตาลเอาไว้ผู้หนึ่งในสนามรบ หลังตนส่งเด็กคนนั้นไปยังกองหนุนแนวหลังก็มิได้เอาใจเป็พิเศษอันใด สำหรับอัศวิน เื่เช่นนี้คล้ายจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งเสียจนชินชา— ยามเกิดาจะมีเด็กกำพร้าเป็จำนวนมาก หากบังเอิญพบเจอระหว่างอยู่ในา ตนก็จะยื่นมือช่วยเหลือพวกเขาโดยปฏิบัติตามคุณธรรมของอัศวิน เด็กคนนั้นก็เป็เพียงหนึ่งในบรรดาเด็กเ่าั้เท่านั้น
จากนั้นมินานอาณาจักรไหลเต๋อที่เลื่อมใสในเทพแห่งแสงก็มารับตัวเด็กกลุ่มหนึ่งไปตามระเบียบ ภายในใจของตนรู้ดี แม้จะอ้างว่าช่วยเหลือคน ทว่าคนเดินดินต่างก็รู้ถึงจุดประสงค์ของสันตะสำนัก — พวกเขาล้วนแต่เลือกเด็กที่มีความสัมพรรคภาพ[1]กับธาตุแสงเท่านั้น
ก่อนจะจากไป เด็กน้อยั์ตาสีทองวาจาน้อยนิดคนนั้นมาหาตนและเอ่ยถามตนหนึ่งประโยค
“หากภายหน้าข้ารอนแรมอยู่ข้างนอก ท่านจะรับเลี้ยงข้าหรือไม่?”
แม้ตนค่อนข้างสงสัย ทว่ายังคงพยักหน้ารับ เด็กน้อยั์ตาสีทองดวงตาเป็ประกายครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปมืดสลัวอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“ขอบพระคุณท่าน หวังว่าถึงยามนั้นท่านจะยังจำข้าได้”
ยามนั้นตนมิเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย ทว่าภายหลังตนได้ยินคำเล่าลือประการหนึ่งมาจากผู้อื่น เด็กที่ถูกสันตะสำนักรับไปเลี้ยง โดยส่วนมากจะเสียชีวิตั้แ่ยังเด็ก มีเด็กเหลือรอดแค่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น นอกจากนั้นส่วนน้อยที่ยังหลงเหลืออยู่ ล้วนแต่เป็ผู้ที่มีความสามารถในการใช้พลังเวทแห่งแสงโดยไม่มีข้อยกเว้น
ตนมิเข้าใจวิชาเวท กระนั้นเมื่อดูจากท่าทางมิแย้มพรายความลับแม้แต่น้อยของเหล่าจอมเวทในค่ายทหารก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอันใดขึ้น แม้ว่าตนจะสงสารบรรดาเด็กที่หายสาบสูญไปอย่างมาก ทว่าอย่างไรก็เป็เื่ที่เกี่ยวโยงถึงอาณาจักร ตนเป็เพียงอัศวินเล็กๆ แม้มีใจแต่ก็ไร้ซึ่งกำลังเช่นกัน
หวังว่าเด็กน้อยั์ตาสีทองผู้นั้นจะปลอดภัยด้วยเถิด…เกรงว่าคำสัญญาของตนจะเป็จริงมิได้เสียแล้ว เพราะหากความสามารถที่มีอยู่ของอีกฝ่ายถูกเปิดเผยออกมา กลายเป็หนึ่งในกลุ่มบาทหลวงหรือกองอัศวินแห่งพระวิหาร เช่นนั้นก็คงมิต้องให้ตน ‘รับเลี้ยง’ แล้วกระมัง
หลังจากนั้นก็เป็มิกี่ปีที่ราวกับฝันร้าย เพราะา ตนสูญเสียภรรยาทั้งยังสูญเสียบุตร เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่จวนจะแตกสลาย องค์จักรพรรดิของจักรวรรดิอันปู้เอ่อร์จึงทิ้งเขาไว้ที่นี่เพื่อเป็เ้าเมือง มิใช่เพียงเพราะตนมีความสามารถพิเศษ ทว่ายังอยากให้ตนได้รักษาเยียวยาจิตใจเช่นกัน
กระทั่งเมื่อไม่กี่เดือนก่อน บุคคลลึกลับผู้หนึ่งอ้างนามของกองอัศวินแห่งพระวิหารส่งจดหมายมาหนึ่งฉบับ กล่าวว่าสันตะสำนักจะส่งอัศวินแห่งพระวิหารผู้หนึ่งมา ‘เผยแผ่ความปรารถนาดีของเทพแห่งแสง’ ท่ามกลางความประหลาดใจ ตนตกอยู่ภายใต้สภาวะงุนงงโดยสิ้นเชิง— ด้วยเพราะเมืองแห่งนักดาบพเนจรคือถนนสายสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างสองอาณาจักร อาณาจักรไหลเต๋อมักส่งหัวหน้าบาทหลวงมา ‘รักษาอาการาเ็โดยมิคิดค่าใช้จ่าย’ อยู่บ่อยครั้งและฉวยโอกาสเผยแผ่คำสอนไปด้วย ตนก็หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งมาโดยตลอด
ทว่ากลับนึกมิถึงว่าครั้งนี้จะส่งอัศวินแห่งพระวิหารมาหนึ่งคน ทั้งยังส่งจดหมายมาอย่างเป็ทางการ แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ใดกันแน่ ?
ทุกสิ่งล้วนน่าสงสัย เพียงแต่เมื่อตนได้ฟังสิ่งที่องครักษ์บรรยายมา ม่านหมอกพลันมลายหายไปจนสิ้น
ั์ตาสีทองและผมหยักศกสีน้ำตาลเพียงพอจะปลุกความทรงจำอันเลือนรางเ่าั้ของตนให้กระจ่างภายในเสี้ยววินาทีแล้ว
เชิงอรรถ
[1] ความสัมพรรคภาพ 亲和力 คือ แรงเกาะติดหรือความเข้ากัน