“ไม่มีอะไร ฉันยกโทษให้นายแล้ว” เจาเยี่ยกล่าว
“จริงเหรอ? งั้นหลังจากนี้นายห้ามเมินเฉยไม่เปิดประตูให้ฉันอีกนะแล้วก็เวลาฉันถามอะไรนายก็ต้องตอบด้วยไม่ใช่ปล่อยให้ฉันพูดอยู่คนเดียวนานค่อนวัน” กู้หลานอันท่าทางน่าเกรงขามขึ้นมาทันใด
“ประตูนั่นมีชนวนกั้นเสียง” เจาเยี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วทิ้งคำพูดไว้จากนั้นก็เดินออกไปทางซ้ายมือ กู้หลานอันกะพริบตาอยู่ครู่หนึ่งถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองแล้วเดินตามไปและถามเจาเยี่ยอย่างประหลาดใจว่า “นายหมายความว่าคำพูดที่ฉันพูดอยู่ข้างนอกห้อง นายที่อยู่ข้างในห้องไม่ได้ยินเลยเหรอ? ”
“งั้นเมื่อคืนที่ฉันยืนพูดความรู้สึกอยู่หน้าห้องครึ่งค่อนวันนั่นคือการพูดกับตัวเองงั้นเหรอ? ”
“ไม่อย่างงั้นจะให้เป็ยังไงล่ะ? ” เจาเยี่ยถามกลับ
“น่าขายหน้าจริงๆ เจาเยี่ยนายคงไม่เห็นใช่ไหม? ถึงเห็นก็ต้องทำเหมือนไม่เห็นนะ” กู้หลานอันถามเองตอบเอง “แต่ถึงจะขายหน้าแต่ก็ดีแล้วอย่างน้อยก็ได้รู้ว่า เมื่อวานนายไม่ได้จะเพิกเฉยฉันและไม่ตอบฉันเลย”
“เฮ้ๆๆ เจาเยี่ย ในเมื่อนายพูดว่าจะรับผิดชอบต่อฉัน งั้นก็ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุดแค่ปากพูดว่ายกโทษให้แล้วแบบนี้ไม่ได้นายต้องไปกินข้าวกับฉันมื้อหนึ่งเพื่อพิสูจน์ว่านายยกโทษให้ฉันอย่างหมดจดแล้วจริงๆ ” จู่ๆ กู้หลานอันก็กลับคำเอาดื้อๆ
“กินข้าว? ” เจาเยี่ยหยุดเดินแล้วมองเขาั้แ่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง “ไปกับนายด้วยสภาพแบบนี้เหรอ? ”
“ฉันจะรีบไปเปลี่ยน นายไปรออยู่ที่ห้องแต่งตัวของนาย 5 นาทีนะ” กู้หลานอันพูดจบก็วิ่งออกไปอย่างรีบร้อนในขณะที่วิ่งก็ไม่ลืมที่จะถามย้ำกับเขาว่า “อย่าลืมรอฉันด้วยนะ”
เจาเยี่ยยิ้มเบาๆ ขณะมองดูเขายกกระโปรงวิ่งออกไปอย่างรีบร้อนจากด้านหลังเอื้อมมือออกมากุมหน้าผากแล้วพูดว่า “กู้หลานอันฉันจะทำยังไงกับนายดี? เมื่อคืนฉันเพิ่งตัดสินใจอย่างชัดเจนว่าจะสร้างกำแพงระหว่างนายกับฉันขึ้นมาแต่ว่านายดันชอบปีนกำแพงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับนายกลับกลายเป็ว่ากำแพงนี้จะมีหรือไม่มีก็ได้นายสามารถทำให้ฉันวางแนวป้องกันทั้งหมดลงและปล่อยให้นายเดินเข้ามาในใจของฉันได้อย่างง่ายดายและฉันก็ดูเหมือนว่าจะค่อยๆ ทำบัตรผ่านให้นายอยู่ ทนดูไม่ได้เวลาที่นายโดนรังแกทนดูไม่ได้เวลาที่นายปล่อยไก่ คุ้นชินกับความวุ่นวายใจของนายคุ้นชินกับความมั่นคงของนาย และเริ่มอาลัยอาวรณ์ถึงความดีของนาย”
“กู้หลานอัน ฉันสามารถเชื่อใจนายได้ใช่ไหม? ฉันสามารถปกป้องนายตามใจตัวเองได้ใช่ไหม? ”
หลังจากถ่ายทำฉาก่เช้าเสร็จ จางเจียอี้ขอให้ผู้ช่วยฯให้ฝ่ายธุรการที่อยู่แนวหลังเก็บกวาดสถานที่จากนั้นก็ประกาศฉากที่จะถ่ายทำใน่บ่ายแล้วก็ออกไปหวังหมาที่เฝ้าดูอยู่เห็นเช่นนี้ เขารีบพุ่งตรงไปรับข้าวกล่องยังสถานที่ที่เขาแจกข้าวกล่องฟรีหลังจากได้มาเขาก็เปิดกล่องดูหน้าตาอาหาร เขารู้สึกเบื่อหน่ายและโยนมันทิ้งลงพื้นเดินไปด้านข้างแล้วโทรศัพท์หาเ้านาย
“ฮัลโหล ลูกพี่ กินข้าวรึยังครับ? ” หวังหมาถามอย่างเป็พิธีปลายสายอีกฝั่งกลับหงุดหงิด “หยุดพูดไร้สาระ เป็ไงเช้านี้ได้อะไรมาบ้าง? ”
“ได้ ได้มาเยอะพอดูเลย!ผมถ่ายภาพของกู้หลานอันกับสวีย่าตอนอยู่ด้วยกันและดูกำลังคุยกันอย่างคลุมเครือได้และก็ถ่ายภาพในกองถ่ายของกู้หลานอันตอนเป็ตัวแสดงแทนแล้วจูบกับเจาเยี่ย” หวังหมามองซ้ายมองขวาแล้วพูด
“อะไรนะ? จริงเหรอ? เอามาให้ฉันเร็ว!” ปลายสายตื่นเต้นอย่างผิดปกติ
“รอเดี๋ยว ผมให้ลูกพี่ก็ได้แต่ว่าพี่รับปากว่าถ้ามีข้อมูลจะให้เงินสองหมื่นบาทกับผม เมื่อไหร่จะเข้าบัญชีล่าสุดผมจนถึงขนาดเงินซื้อข้าวกินยังไม่มีเลย” หวังหมาที่กำลังแคะเล็บกล่าว
“จะรีบโอนให้ รอฉันเดี๋ยวเดียว! ” ปลายสายพูดจบก็เงียบหลังจากนั้นไม่กี่นาทีก็พูดขึ้นมาว่า “นายดูวีแชท”
หวังหมาเปิดดู เห็นการแจ้งเตือนยอดเงินสองหมื่นบาทเข้าบัญชีจากนั้นเขาก็เลือกรูปภาพแล้วกดส่งออก
หลังจากได้รับภาพถ่ายจากหวังหมา หลี่เจียใช้มือตบรถเข็นและยิ้มอย่างบิดเบี้ยว “กู้หลานอันเพิ่งเริ่มถ่ายทำแกก็ปล่อยให้ฉันเจอจุดอ่อนของแกแล้วช่างเป็นิมิตหมายที่ดีจริงๆ แกคอยดูนะ คอยดูว่าฉันจะค่อยๆ ผลักแกลงสู่ขุมนรกยังไง” หลังจากหัวเราะ เขาก็กดเบอร์ของนักข่าวที่เป็ปรปักษ์กับบริษัทที่เขาไปรู้จักตอนสมัยเขาทำงานเป็นักข่าว “ฮัลโหลเสียวหย่าฉันมีข้อมูลเด็ดๆ มาให้นาย”
“ข้อมูลเด็ด ข้อมูลเด็ดอะไร? ” ปลายสายอีกฝั่งถามอย่างตื่นเต้น
“มันเกี่ยวกับข่าวซุบซิบของกู้หลานอันและสวีย่า” หลี่เจียกล่าว
“เื่นี้เองเหรอ? ” ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงสบประมาท “่เช้ามีคนเปิดโปงแล้วนี่”
“เปิดโปงแล้ว? เนื้อหาเป็ยังไง?” หลี่เจียขมวดคิ้ว
“ก็สวีย่าคืนเสื้อให้กู้หลานอันไงยังมีเนื้อหาอะไรอีก” เสียวหย่ากล่าว
“ที่ฉันถ่ายภาพไว้ได้ไม่ใช่เื่นี้ ที่ฉันถ่ายได้น่ะเป็ของจริง” หลี่เจียกล่าวพลางมองไปที่ภาพถ่ายที่ถ่ายจากมุมที่ดูเหมือนสวีย่าพิงอยู่ในอ้อมแขนของกู้หลานอัน
“ของจริง? ” เสียวหย่ารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว “นายพูดจริงรึเปล่า? ”
“จริงสิ” หลี่เจียกล่าว
“จะซื้อข้อมูลนี้ต้องจ่ายเท่าไหร่? ” เสียวหย่าไล่ถาม
“ยังไม่ต้อง หลังจากนายได้ค่าคอมมิชชั่นพวกเราค่อยมาแบ่งกันนายเจ็ดส่วนฉันสามส่วนก็พอ” หลี่เจียกล่าว
“งั้นก็ได้ ขอบคุณพี่มากเลย”
“ไม่ต้องขอบคุณ ฉันวางก่อน หลังจากนี้คงได้ร่วมงานกันบ่อยขึ้น” หลี่เจียพูดจบก็วางสายหันศีรษะกลับไปมองผู้ดูแลที่กำลังเช็ดโต๊ะเก้าอี้แล้วพูดว่า “ขับรถพาฉันไปที่สำนักงานใหญ่ของตี้อวี๋”
เมื่อมาถึงตี้อวี๋เขารู้สึกหงุดหงิดที่ถูกเข็นไปที่แผนกต้อนรับภายใต้สายตาที่ระแวดระวังของผู้รักษาความปลอดภัยแล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “โทรศัพท์หาประธานหลินของพวกคุณบอกว่าหลี่เจียมีเื่เื่หนึ่งที่จะทำให้เขารู้สึกสนใจมาบอกเขา”
เมื่อเห็นสภาพเขาแบบนี้ พนักงานต้อนรับขมวดคิ้วชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งแล้วพูดด้วยอากัปกิริยาที่ไม่ดีว่า “ต้องขอโทษด้วย ประธานหลินไม่อยู่”
“นายยังไม่ได้โทรศัพท์หาเขาเลยจะรู้ได้ยังไงว่าอยู่หรือไม่อยู่? นายคิดจะมองข้ามฉันเหรอ? รีบโทรไม่งั้นเดี๋ยวเกิดเป็เื่ใหญ่ขึ้นมานายได้รับผิดชอบแน่” หลี่เจียะโด่าเขาอย่างโกรธเคือง
พนักงานต้อนรับเป็คนที่ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่าแต่กลัวคนที่แข็งแรงกว่าเมื่อเห็นลักษณะท่าทางของหลี่เจียที่เป็แบบนี้เขาก็รีบล้วงโทรศัพท์ออกมาโทรหาหลินเซวียน
“กี่โมงแล้ว? ” เมื่อจัดการงานสุดท้ายเสร็จแล้วหลินเซวียนมือยันศีรษะถามเลขาฯ ที่ยืนตัวตรงอยู่อีกด้าน
“รายงานประธานหลิน ตอนนี้เป็เวลา 12.00 น.แล้วค่ะ” เลขาฯ ตอบ
“12.00 น. แล้วเหรอ ทีมงานละครน่าจะกำลังพักกันอยู่ผมเมินเฉยต่อเจาเยี่ยเป็เวลานานขนาดนี้แล้ว ถ้าตอนนี้ผมโทรศัพท์ไปชวนเขากินข้าวเขาน่าจะต้องรู้สึกซาบซึ้งใจแน่เลยว่าไหม? ” หลินเซวียนถามเลขาฯ
“ใช่ค่ะ ประธานหลิน คุณสุดยอดขนาดนี้คนที่ถูกคุณเชิญกินข้าวจะต้องรู้สึกเป็เกียรติอย่างทวีคูณแน่นอนเลยค่ะ” เลขาฯ พูดเอาใจด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“จริงเหรอ? ” หลินเซวียนถามกลับหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ข้างคอมพิวเตอร์แล้วกดเบอร์ของเจาเยี่ย
ผ่านไปครู่เดียวก็มีคนรับสาย หลินเซวียนพูดด้วยใบหน้าเ็าและไม่พอใจว่า “เจาเยี่ย ยุ่งอยู่รึเปล่า? ”
“ไม่ยุ่งแล้ว” น้ำเสียงเ็านิดๆ ของเจาเยี่ยเมื่อลอดผ่านสายโทรศัพท์มาเหมือนอุณหภูมิดูลดลงอีกเล็กน้อย “มีอะไรรึเปล่า? ”
“กลางวันนี้ฉันอยากให้นายมากินข้าวเช้าเป็เพื่อนฉันที่นี่” หลินเซวียนใช้น้ำเสียงออกคำสั่ง
“ไม่ล่ะ กลางวันเริ่มถ่ายทำเร็ว ฉันไม่มีเวลาไปทางโน้นฉันกะว่าจะหาอะไรง่ายๆ ใกล้ๆ แถวนี้กินสักหน่อยก็พอ นายกินคนเดียวเถอะ” เจาเยี่ยพูด
“แบบนี้นี่เอง งั้นก็ได้ อย่าลืมหาร้านที่ดีๆ หน่อยละกัน” หลินเซวียนพูดเสียงนุ่ม กดวางสายและพักอยู่สักครู่เขาก็กดโทรออกอีกเบอร์หนึ่ง
“ฮัลโหล ประธานหลิน” เสียงของเหวินเซินเท่อเพิ่งลอดออกมาจากสายโทรศัพท์หลินเซวียนก็ทนรอไม่ไหวรีบถามเขาว่า “เหวินเซินเท่อตอนนี้เจาเยี่ยทำอะไรอยู่? ”
“กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า” เหวินเซินเท่อตอบ
“งั้นอาหารเที่ยงของเขาวางแผนไว้ยังไงนายถามเขารึยัง?” หลินเซวียนไล่ถาม
“ถามแล้ว เขาบอกว่านัดกับกู้หลานอันไว้แล้ว”
“อะไรนะ? ” หลินเซวียนกำหมัดแน่น
“ทำไมเหรอ? ” เหวินเซินเท่อถามอย่างแปลกใจหลินเซวียนไม่ได้ตอบแล้วก็วางสายไป ทันใดนั้น โทรศัพท์ก็ถูกเขวี้ยงไปที่พื้นปากพูดอย่างเหี้ยมโหดว่า “เจาเยี่ยนายเลวมากไม่คิดเลยว่าจะกล้าโกหกฉัน” พูดจบลุกขึ้นหยิบเสื้อจากบนเก้าอี้กำลังจะออกไป เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
