Chapter thirty-six: Simon’s jealous
หลังจากคืนที่แสนน่าอายของแพทริเซียผ่านพ้นไป ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ทำเหมือนว่ามีอะไรที่ผิดแปลกเกิดขึ้น แต่กว่าเขาจะทำใจมองหน้าไซม่อนโดยไม่หลบได้ก็ใช้เวลาอยู่สองสามวันเลยทีเดียว เขาจดจำรายละเอียดในคืนนั้นได้ไม่มากนักเพราะสติเขาก็เกือบจะเลือนหายไปพร้อมกับความกระสันที่ทำให้ตัวสั่นเหมือนเป็ลูกนกที่ตะเกียกตะกายหาที่พึ่งยังไงอย่างนั้น สิ่งที่แพทริเซียจำได้เพียงอย่างเดียวคือการที่เขาร้องขอไซม่อนอย่างไม่อายปากและสิ่งที่เขาขอไปมันก็ไม่ได้ไม่มีสติสักทีเดียว
เพราะครั้งแรกของเขาก็อยากให้เป็ไซม่อนเท่านั้น
แต่ก็น่าแปลกใจที่อีกฝ่ายทำเพียงแค่ช่วยให้เขาปลดปล่อยเพียงเท่านั้น หยาดน้ำที่เปรอะเปื้อนทั้งหน้าท้อง ฝ่ามือ และริมฝีปากของไซม่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้เขาหมดสติไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่เมื่อเขาสำรวจในตอนเช้าก็ไม่พบว่าอีกฝ่ายจะได้ทำอะไรเกินเลยกับเขาเหมือนอย่างที่ควรจะเกิดขึ้นเลยสักนิด ร่องรอยที่ปรากฏบนตัวก็มีเพียงแค่รอยกุหลาบสีแดงจาง ๆ เท่านั้น ไม่มีรอยกัดตามสัญชาตญาณที่เขาได้คิดไว้ สิ่งที่เขาพบก็มีเพียงแค่ร่างกายที่ถูกทำความสะอาด ชุดนอนที่ถูกใส่ให้อย่างบรรจงพร้อมผ้านวมผืนหนาที่ปกคลุมร่างกายเขาไว้ และอย่างสุดท้ายก็คือยาระงับฮีทที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไซม่อนไปหามาได้ยังไง เพราะไม่ว่าจะบอกให้คนไปขอยาจากคุณหมอประจำบ้านมาให้เขาหรือเป็เ้าตัวไปขอเอง ทุกอย่างมันก็ดูมากเกินไปกว่าที่เขาควรจะได้รับด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้นเขาจึงประทับใจทุกอย่างที่ไซม่อนได้ทำให้และรู้สึกขอบคุณที่ช่วยเขาไว้ แต่ถึงยังไงสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นมันน่าอายทุกอย่างจนเมื่อไหร่ที่ได้นึกถึงก็ทำให้ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาทันที และไม่ว่าเขาจะพยายามทำตัวให้ปกติแค่ไหนแต่พอได้สบตากับั์ตาคมคู่นั้นก็ทำให้เขาแทบจะลืมความพยายามทั้งหมดของตัวเองทันที
ก็ไซม่อนในคืนนั้นไม่เหมือนกับไซม่อนที่เขาเคยได้รู้จักเลยสักนิดเลยนี่
และถึงแม้เขาจะพยายามลองเชิงหลอกถามอีกฝ่ายมากแค่ไหน สุดท้ายคำตอบของอีกฝ่ายก็มีแค่การย้ำบอกเขาว่านั่นเป็ครั้งแรกจริง ๆ แล้วคำตอบก็ยิ่งทำให้แพทริเซียรู้สึกอยากหยิกตัวเองแรง ๆ สักครั้งที่ถามออกไปจนตัวเองเก็บอาการเขินอายไว้ไม่อยู่ เขารู้อยู่หรอกว่าอัลฟ่ามักจะมีสัญชาตญาณความเป็ผู้นำอยู่ลึก ๆ แต่ใครจะไปรู้กันล่ะว่าอัลฟ่าหน้าซามอยด์ที่มักจะทำหน้าตาใสซื่อใส่เขาแถมไม่เคยได้ไปเจอโลกภายนอกอย่างไซม่อนจะเชี่ยวชาญเื่บนเตียงได้จนเขาหมดแรงขนาดนั้น
สายลมเย็นเฉียบที่พัดเข้ามาจากนอกหน้าต่างทำให้คุณครูฝึกสอนอย่างแพทต้องกระชับเสื้อคลุมตัวใหญ่เข้าหากันเพื่อบรรเทาความหนาวที่กำลังทำให้ปลายนิ้วของเขาเริ่มซีดลงทีละนิด โอเมก้าตัวเล็กเอื้อมดึงประตูหน้าต่างบานใหญ่ที่ถูกเปิดไว้ในห้องเรียนเข้าหากัน ดวงตากลมโตเหม่อมองท้องฟ้าสีหม่นด้วยความสงสัย ความจริงแล้วใน่นี้เอดมันตันมักจะมีหิมะตกลงมาแต่ดูเหมือนว่าในปีนี้หิมะนั้นจะมาช้าผิดปกติกับที่เคยเป็ ทั้งที่นี่ก็ผ่านวันปีใหม่มาหลายวันแล้วแต่กลับไร้วี่แววของหิมะซะอย่างนั้น
ทั้งที่เขาอยากอยู่ดูหิมะแรกกับไซม่อนขนาดนี้น่ะนะ
แพทริเซียไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่จะเป็เดือนสุดท้ายของการได้อยู่ในคฤหาสน์ควินท์เรลแล้วจริง ๆ ดวงตากลมโตเหม่อมองปฏิทินตั้งโต๊ะที่ถูกขีดฆ่าไปทีละวันอย่างน่าใจหาย เหลือเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์เท่านั้นในการที่ไซม่อนจะได้เตรียมตัวขึ้นเป็ทายาทของควินท์เรล และเวลาเ่าั้ก็อาจจะเป็เวลาเพียงไม่กี่วันที่จะทำให้เขาได้อยู่กับคนตรงหน้าในตอนนี้ เงาของอัลฟ่าหนุ่มที่สะท้อนบนกระจกบานใหญ่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกชื้นใจขึ้นเลยสักนิด ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเขาเปลี่ยนไปหรือทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเราสองคนจะต้องถูกแยกกันเข้าแล้วจริง ๆ แต่ความรู้สึกที่เหมือนจะต้องห่างกันเข้าไปทุกทีของแพทน่ะสิที่มันแย่ เขาไม่อาจควบคุมความรู้สึกเ่าั้ได้และก็มีหลายครั้งที่เผลอแสดงออกเพราะเก็บซ่อนมันไว้ไม่มิดและอีกฝ่ายก็สังเกตเห็นจนได้ จนสุดท้ายก็เป็เขานั่นแหละที่ยอมเอ่ยปากระบายความรู้สึกทั้งหมดออกมา
และไซม่อนก็รับฟังทุกอย่างทั้งหมดโดยที่ไม่ได้มองว่ามันเป็เื่ไร้สาระสักนิด
แต่เพราะไซม่อนที่ดูลับ ๆ ล่อ ๆ ในการแอบมาหาเขาอยู่ทุกคืนเพราะเ้าตัวบอกว่าไม่อยากให้รู้สึกว่าเราสองคนห่างกันจึงทำให้แพทริเซียได้รู้ว่าไซม่อนเองก็ถูกลงโทษไม่ต่างจากเขาเลยสักนิด เพียงแต่อีกฝ่ายต้องไปนั่งพูดคุยกับคุณลอร่าในทุกวันตอนเช้าและตอนเย็นตามที่ท่านกำหนดเวลาไว้และห้ามออกมาจากห้องนอกจากเวลาเรียนและทานอาหารเท่านั้น มันดูเหมือนจะไม่ได้นักหนาสำหรับคนอื่นแต่สำหรับคนที่ได้เห็นไซม่อนเดินเล่นและออกไปนอนเล่นใต้ต้นไม้ในสวนอยู่เป็ประจำนั้นมันเหมือนกับการที่ขังให้เขาอยู่ในกรงที่เล็กไปยิ่งกว่าเดิม และเ้าตัวก็ยังไม่ได้รู้เหตุผลของการที่ตัวเองถูกซ่อนไว้ในคฤหาสน์สักที นั่นมันทำให้แพทริเซียยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ แต่สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงแค่การกอดปลอบโยนไซม่อนในทุก ๆ คืนเพียงแค่นั้นแหละ
เสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นทำให้โอเมก้าตัวขาวที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่หลุดจากภวังค์ทันที การปรากฏกายของคุณลอร่าในห้องเรียนขนาดกว้างนั้นไม่ใช่ภาพที่เขาและไซม่อนคุ้นเคยเลยสักนิด อัลฟ่าหนุ่มที่กำลังซ้อมอยู่หน้ากระจกหยุดชะงักทันทีที่ได้เห็นคุณย่าของตัวเอง ไซม่อนรีบรุดเข้ามาก้มหัวเคารพหญิงสูงวัยก่อนจะยกแขนแกร่งของเขาให้คุณลอร่าได้จับ แววตาที่เป็ประกายของคุณหญิงบ้านควินท์เรลหันมาสบเข้ากับเขาพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ทำให้เขาชื้นใจขึ้นทันที ไซม่อนเปลี่ยนไปจากวันแรกจริง ๆ จากที่เคยทำตัวเป็เด็กและวางตัวไม่เป็จนแพทริเซียแทบจะไม่อยากเชื่อเลยด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้านั้นจะเป็ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของควินท์เรล แต่ในตอนนี้ราศีความเป็ทายาทช่างเด่นชัดและการวางตัวทุกอย่างก็ช่างเพียบพร้อมต่างจากวันแรกที่เคยได้เห็นโดยสิ้นเชิง
มีเพียงความอ่อนโยนและตายิ้มของเขานั่นแหละที่ยังเหมือนเดิมอยู่
คุณหญิงของบ้านทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่ก่อนจะพยักพเยิดหน้าให้เป็เชิงอนุญาตให้พวกเขานั่งลงใกล้ ๆ กัน เหงื่อที่ค่อย ๆ ซึมออกมาชื้นมือของเขาทำให้แพทริเซียต้องถูมือของตัวเองที่กางเกงด้วยความตื่นเต้น ความจริงแล้วเขาก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าทำไมวันนี้คุณหญิงลอร่าถึงมาที่ห้องเรียน เพราะท่านเองก็ได้เอ่ยเจตนาในวันที่พวกเขาถูกจับได้แล้วละว่าจะมาดูพัฒนาการด้านการเรียนของไซม่อน และสิ่งนี้สำหรับการแสดงก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็การซ้อมใหญ่เลยก็ได้ แล้วนั่นก็ทำให้เขาอดตื่นเต้นไม่ได้เลยสักนิด แล้วในตอนที่แพทริเซียหันไปลอบมองไซม่อนที่กำลังพูดคุยกับคุณย่าของตัวเองก็ทำให้เขาเกือบจะหลุดขำออกมาเพราะรอยยิ้มแหยและอาการตื่นเต้นที่เขาปกปิดไว้ไม่มิด
“หลานพร้อมหรือยัง?”
“พ พร้อมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบเสียงสั่น
“ทำไมดูไม่มั่นใจอย่างนั้น?”
“ผม.. ไม่รู้ว่าจะทำมันออกมาได้ดีหรือเปล่า”
“คุณมอร์แกนว่ายังไงล่ะ? หลานของฉันทำได้ดีหรือเปล่า?” หญิงสูงวัยหันกลับมาเอ่ยถามพร้อมมองแพทริเซียด้วยรอยยิ้ม
“ดีครับ คุณไซม่อนทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เลยครับ”
เขาตอบพร้อมส่งรอยยิ้มหวานกลับไปให้คนที่กำลังยกมือขึ้นกอดอกพร้อมกับสลับมองหน้าเขาและหลานชายตัวเองอยู่อย่างนั้น
“มั่นใจในตัวเองได้แล้วไซม่อน อีกไม่นานหลานก็จะได้เป็ผู้สืบทอดตระกูลอย่างเต็มตัวเหมือนกับพ่อของหลานแล้วนะ”
คุณลอร่ายกมือขึ้นวางที่ศีรษะของหลานชายตัวเองด้วยความภูมิใจ มีวูบนึงที่แพทริเซียเห็นดวงตาของหญิงสูงวัยเคลือบด้วยน้ำสีใสที่เขาเองก็ไม่อาจเข้าใจความรู้สึกได้เลยสักนิด แพทริเซียจึงทำได้เพียงหลุบตามองต่ำหวังให้คุณหญิงได้ใช้เวลากับหลานชายของตัวเองสักหน่อยโดยที่ไม่มีคนนอกอย่างเขามองให้อึดอัด เขามักจะได้เห็นคุณหญิงในมุมมองที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขามมาตลอด แต่ถ้าหากคิดดูดี ๆ อีกครั้ง การที่ผู้หญิงคนนึงผ่านอะไรมาเยอะแยะและยังต้องแบกรับความหวังของตระกูลมานานนับหลายปีมันก็อาจจะเป็่เวลาที่ยากลำบากจริง ๆ นั่นแหละ ในตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไมถึงเป็ไซม่อนที่จะได้รับ่ต่อในการเป็ผู้สืบทายาทเพราะคุณมาร์คัสเองก็เป็อีกคนที่ดูจะเพียบพร้อมกับตำแหน่งนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอยากจะถามสอดรู้สอดเห็นอะไรแบบนี้กับไซม่อนนักหรอก จึงทำได้เพียงแค่สงสัยเงียบ ๆ และพยายามจะทำความเข้าใจว่าอย่างน้อยก็ต้องมีเหตุผลที่ต้องเป็ไซม่อนเพียงแค่นั้นแหละ
“คุณย่าจะดูผมซ้อมเลยไหมครับ?” ไซม่อนถามขึ้น
“ย่าไม่ดูหรอก”
“ย่าไม่อยากดูผมเหรอ?”
“ย่าแค่จะมาบอกว่าย่าจะต้องไปกรีนเลค”
“ทำไมล่ะครับ?”
“ย่าจะต้องไปเอาของสำคัญมาใช้ในพิธีแต่งตั้งผู้สืบทอดทายาทให้หลานไงล่ะ”
“แล้วคุณย่าต้องไปเองเลยเหรอครับ?”
“ใช่จ้ะ มีแค่ย่าเท่านั้นที่จะไปเอามันมาได้ ย่าจะเดินทางไปกรีนเลคสัปดาห์หน้าและจะใช้เวลาไปกลับเพียงแค่เจ็ดวันแค่นั้น ในระหว่างนั้นหลานก็เตรียมตัวให้พร้อม”
“ครับ”
“อย่าลืมใส่แหวนประจำตระกูลด้วย เข้าใจไหม? แหวนต้องใช้ในวันพิธีด้วยนะ ย่าไปก่อนล่ะ” คุณลอร่าชี้ไปที่นิ้วที่ว่างเปล่าของไซม่อนก่อนจะลุกออกไปจากห้อง ทิ้งให้ไซม่อนนั่งนิ่งไปทั้งที่ยังไม่ได้บอกลาคุณย่าของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ทำได้เพียงนั่งมองหน้ากันด้วยความงุนงงเพียงเท่านั้น ทั้งที่ในตอนแรกคิดว่าจะต้องซ้อมให้คุณลอร่าดูแท้ ๆ แต่อย่างน้อยก็อาจจะดีสำหรับไซม่อนก็ได้ล่ะมั้ง อัลฟ่าหนุ่มที่เคยพูดเจื้อยแจ้วก่อนหน้ากลับนิ่งไปจนแพทต้องขมวดคิ้วมอง
“เป็อะไรหรือเปล่าไซม่อน?”
“แย่แล้วคุณ”
“อะไรแย่แล้ว”
“แหวน”
“อย่าบอกนะว่าหาย”
ไซม่อนส่ายหน้าปฏิเสธเป็คำตอบ และนั่นทำให้แพทริเซียยิ่งขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่
“แล้วแหวนอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“บ้าน”
“ฮะ?”
“แหวนอยู่กับดาวบนยอดต้นคริสมาสต์ที่บ้านคุณ”
แพทริเซียอ้าปากค้างด้วยความใก่อนเลื่อนมือกุมขมับด้วยความเหนื่อยใจ ถึงในใจเขาอยากจะดุคนตรงหน้าแค่ไหนก็เถอะ แต่สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมายาว ๆ แค่นั้น
แต่ก็นั่นแหละนะ สุดท้ายไซม่อนก็คือไซม่อนอยู่วันยันค่ำนั่นแหละ
อยากรู้จริง ๆ ว่าเขามาเป็ครูฝึกสอนหรือพี่เลี้ยงกันแน่
พระเ้าโปรดเมตตาให้ไม่เกิดอะไรขึ้นกับพวกลูกอีกด้วยเถอะ
– Simon’s theory -
ไม่กี่วันหลังจากนั้นคุณลอร่าก็ได้ออกเดินทางไปกรีนเลคพร้อมกับคุณมาร์คัส ในตอนแรกแพทริเซียก็กะว่าจะใช้จังหวะนี้เพื่อออกไปเอาแหวนประจำตระกูลให้ไซม่อนนั่นแหละ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดให้จบประโยค ใบหน้าง้ำงอพร้อมกับแขนอุ่นที่สวมเข้ามากอดและใบหน้าที่ซุกลงที่ข้างคอขาวอย่างออดอ้อนก็ทำให้เขาแพ้อีกครั้งจนได้ ถึงแม้ว่าเขาจะย้ำไซม่อนเกี่ยวกับเื่การลงโทษและวันพิธีที่ใกล้จะมาถึงแล้วไปกี่รอบก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจคนที่อยากออกนอกคฤหาสน์นักหนาได้เลย แม้เขาจะให้เจซช่วยพูดก็ดูจะไม่ได้ผลเลยสักนิด สุดท้ายก็เป็แพทริเซียนั่นแหละที่ทำข้อตกลงกับไซม่อนว่าจะไม่มีการค้างที่บ้านเขาเกิดขึ้นอีก ทุกอย่างจะต้องเป็ไปอย่างรวดเร็วแม้พวกเขาจะไม่ต้องรีบกลับกันขนาดนั้นก็ได้ แต่เพื่อความปลอดภัยของไซม่อนจึงจำเป็ต้องเกิดข้อตกลงแบบนั้นขึ้นมา แล้วมีหรือที่คนที่ไม่มีสิทธิ์จะเถียงอย่างไซม่อนจะไม่ยอมได้ ไซม่อนจำใจยอมพร้อมใบหน้าบูดบึ้งเพราะอีกฝ่ายนั้นอยากไปค้างที่บ้านของเขาใจจะขาด และในที่สุดแผนการหลบหนีก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เขากับไซม่อนและผู้ร่วมเดินทางคนเดิมอย่างเจซแอบหนีออกมาจากคฤหาสน์ควินท์เรลหลังจากนั้นเพียงแค่สองวันเท่านั้น
อากาศที่เย็นจัดมากกว่าในตอนที่พวกเราได้ออกมาครั้งแรกทำให้พวกเราต้องแต่งตัวมิดชิดกันซะจนแทบจะไม่เห็นใบหน้าเลยด้วยซ้ำ รถยนต์คันหรูของบ้านแมคคอยด์เคลื่อนไปตามท้องถนนอย่างไม่รีบร้อนนัก อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องกลัวว่าคุณลอร่าหรือคุณมาร์คัสจะรออยู่ที่คฤหาสน์เหมือนอย่างวันนั้นละนะ
“วันนี้มีเทศกาลหนังฤดูหนาวด้วยนี่” อัลฟ่าดวงตาสองสีพูดขึ้นพลางปัดหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นลงอย่างไม่ใส่ใจ แต่สิ่งที่เขาพูดออกมากลับทำให้คนตัวโตที่กำลังนั่งจ้องนอกหน้าต่างอยู่ที่เบาะหลังหูผึ่งตาเป็ประกายราวกับเด็กที่กำลังตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าจะได้ไปเที่ยว
“ปกติเราไปทุกปีเลยนะ แต่ไปในฐานะสตาฟ” แพทริเซียเอ่ยตอบ
“มันมีอะไรบ้างเหรอ?”
รอยยิ้มหวานปรากฏบนใบหน้าของโอเมก้าตัวขาวทันทีที่เ้าของเสียงทุ้มแสร้งเอ่ยถามขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้หันกลับมามองเขาและเจซที่กำลังสนทนากันอยู่เลยสักนิด ทั้งที่อีกฝ่ายเองก็ดูสนใจขนาดนั้นแต่พอทำเหมือนว่าไม่สนใจแล้วมันก็ดูน่ารักจนเขาอดยิ้มไม่ได้นั่นแหละ
“เปิดหนังในจอใหญ่ที่เอดมันตันปาร์คให้ดูฟรี มีทั้งหนังที่ฉายทั่วโลกแล้วก็หนังที่เป็ของเอกภาพยนตร์ของมหาวิทยาลัยเอดมันตันทำเอง มีที่นั่งก่อไฟแคมปิงให้ รอบ ๆ นั้นก็คงมีพวกนักศึกษากับคนทั่วไปมาขายอาหารนั่นแหละมั้ง บางบูธก็มีกิจกรรมให้ทำด้วย สนุกดี”
แพทริเซียอธิบายพลางลอบมองคนที่กำลังหูผึ่งตั้งใจฟังเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง หากไซม่อนหันกลับมามองสักนิด เขาก็คงเห็นว่ามีคนกำลังเอ็นดูเขาอยู่มากแค่ไหน แต่ติดที่อีกฝ่ายเอาแต่ทำตัวเหมือนไม่สนใจนี่สิ
ถ้าอย่างนั้นก็ขอแกล้งสักหน่อยแล้วกัน
“แต่ดูเหมือนไซม่อนไม่ค่อยอยากไปเลย”
“..”
“งั้นเรารีบแวะไปเอาแหวนที่บ้านแล้วกลับคฤหาสน์เถอะเจซ” โอเมก้าตัวขาวเอ่ยเสียงเรียบนิ่งแต่ยังคงยักคิ้วหลิ่วตาให้เจซที่ชำเลืองมอง อัลฟ่าตาสองสีหัวเราะในลำคอพร้อมพยักหน้ารับเบา ๆ เป็อันรู้กัน
“ตามใจพวกนายนั่นแหละ”
แต่คนที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างไซม่อนนี่สิ ปฏิกิริยาของอัลฟ่าหน้าซามอยด์ก็ทำให้เขาที่ลอบมองอยู่เป็ระยะกับเจซที่คอยแอบมองผ่านกระจกมองหลังแทบจะหลุดขำออกมาพร้อมกัน ใบหน้าที่ง้ำงอเป็เอกลักษณ์ของเ้าตัวมาพร้อมกับการนั่งเอาคางเกยตรงขอบหน้าต่างรถ แทบไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดว่าตัวเองงอนหรือน้อยใจเลยด้วยซ้ำเพราะการแสดงออกผ่านท่าทางและสีหน้าของไซม่อนนั้นชัดเจนจนแพทกับเจซต้องรีบหันหน้าไปอีกทางก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมาให้คนขี้งอนได้งอนมากกว่าเดิม
การเดินทางจากคฤหาสน์ควินท์เรลมาถึงคอตตอนเทลในครั้งนี้ใช้เวลาไม่นานนัก เพราะถนนที่ค่อนข้างโล่งและการสัญจรในวันหยุดของชาวเมืองเอดมันตันนั้นก็ไม่เคยจะติดขัดให้หงุดหงิดใจเลยสักครั้ง สองข้างทางยังมีคนที่ใช้การเดินและจักรยานแทนรถยนต์อยู่เป็เื่ปกติ เอาเข้าจริงแล้ว เขาก็แอบคิดถึงชีวิตที่เคยสงบสุขนอกคฤหาสน์ควินท์เรลอยู่เหมือนกัน อยากทำอะไรก็ได้ทำตามใจโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาห้ามไหม หรืออยากจะออกไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ นั่งรถไปต่างเมืองในวันหยุดบ้าง อย่างน้อยก็ดีกว่าการที่ถูกขังในคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่แต่กลับรู้สึกเหมือนในกรงแบบนั้น
ขนาดเขายังรู้สึกแบบนี้
แล้วไซม่อนที่อยู่ในนั้นมาตลอดชีวิตล่ะ
เพียงแค่คิดแพทริเซียก็ถอนหายใจยาวออกมาทันที เพราะอย่างนั้นเขาเลยยังยอมอยู่ที่คฤหาสน์ควินท์เรลแม้จะเป็วันที่เขาสามารถกลับบ้านได้ ถึงแม้ว่าจะอึดอัดแค่ไหน แต่อย่างน้อยแค่ให้ไซม่อนได้มีคนที่อยู่ด้วยโดยที่ไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางคฤหาสน์หลังใหญ่แบบนั้นมันก็เพียงพอสำหรับเขาแล้วละ
ทันทีที่รถจอดหน้าบ้านมอร์แกน แพทริเซียก็รีบลงจากรถเข้าไปในบ้านทันที และแน่นอนว่าไซม่อนที่กำลังงอนอยู่ยังโชคดีหน่อยที่คุณพ่อและคุณแม่ของเขายังไม่กลับจากทริปไปเที่ยวั้แ่ก่อนคริสมาสต์ ไม่อย่างนั้นมีหวังต้นคริสมาสต์ที่ถูกตั้งอยู่ที่กลางบ้านจะต้องถูกเก็บและเส้นด้ายสีทองที่ร้อยแหวนประดับมรกตที่เป็สง่านั้นอาจจะหายไปในถุงขยะสักถุงของบ้านเขาก็ได้ คนตัวเล็กยิ้มอย่างโล่งใจก่อนจะเอื้อมมือขึ้นไปคว้าเส้นด้ายสีทองที่ถูกคล้องอยู่กับดาวบนยอดคริสมาสต์มาไว้ในมือก่อนจะออกมาจากบ้านหลังเล็กของตัวเองและก้าวขึ้นไปบนรถของบ้านแมคคอยด์อย่างรวดเร็ว
โดยที่แทบจะไม่ได้มองสักนิดว่ามีใครกำลังแอบมองอยู่บ้างหรือเปล่า
“นี่แหวนของคุณ” แพทริเซียเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นแหวนให้คนที่ยังทำหน้าง้ำงออยู่
“..”
“ไซม่อน”
“เราฝากไว้ก่อน”
“จะฝากไว้ยังไงกันเล่า”
“ก็ถึงคฤหาสน์ค่อยคืนไง” ไซม่อนหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งก่อนจะหยิบแหวนที่วางอยู่บนฝ่ามือสวมเข้าที่นิ้วกลางของแพทริเซียอย่างรวดเร็วและกลับไปนั่งหันหลังให้เขาเหมือนเดิม ทิ้งให้โอเมก้าตัวขาวที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเอาแต่นั่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกกับการกระทำของอีกฝ่าย
“เถียงกันเสร็จหรือยัง? จะได้กลับสักที” เจซเอ่ยถามขึ้น
“กลับก็กลับ”
สิ้นเสียงทุ้มของไซม่อน รถยนต์คันหรูก็ถูกสตาร์ทกลับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมออกตัวไปสู่ถนนใหญ่ที่ไม่ได้มุ่งไปทางกลับคฤหาสน์ควินท์เรลแต่อย่างใด จากคอตตอนเทลถึงเอดมันตันปาร์คนั้นใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ และในตอนรถถูกจอดในที่จอดรถขนาดใหญ่ของเอดมันตันปาร์คนั้น อัลฟ่าหนุ่มที่นั่งเงียบมาตลอดทั้งทางก็ทำหน้างุนงงมองซ้ายขวาผ่านกระจกเรียกเสียงหัวเราะให้เขากับเจซได้ทันที เจซและแพทริเซียไม่ได้พูดพร่ำทำเพลงอะไรนอกจากเดินลงจากรถและปล่อยให้ไซม่อนที่นั่งงงอยู่บนรถพักใหญ่รีบวิ่งตามลงมาเมื่อเข้าใจในสถานการณ์แล้ว
สวนสาธารณะกว้างใหญ่ที่มักจะเป็ศูนย์รวมของชาวเมืองเอดมันตันถูกเติมเต็มไปด้วยจอผ้าใบขนาดใหญ่ที่กำลังฉายหนังเื่โปรดของแพทริเซียอยู่ แคมป์ไฟเล็ก ๆ ที่อยู่บริเวณข้างหน้าพร้อมที่นั่งให้ใช้บรรเทาความหนาวนั้นช่างเป็เอกลักษณ์ของงานเทศกาลหนังฤดูหนาวเหลือเกิน แพทริเซียเอื้อมคว้ามืออัลฟ่าตัวโตที่กำลังดูตื่นเต้นกับสิ่งรอบตัวให้ไปนั่งที่แคมป์ไฟไม่ไกลจากบูธขายของนัก แล้วก็เป็เจซนั่นแหละที่อาสาเดินไปซื้อของทานเล่นให้พวกเขาและปล่อยให้พวกเขานั่งรอกันโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิด
หนังบนจอขนาดใหญ่ถูกดำเนินไปโดยที่มีเขาและไซม่อนกำลังตั้งใจดูอยู่อย่างไม่ละสายตา แล้วจู่ ๆ ััหนักที่ไหล่ข้างขวาก็ต้องทำให้เขาหันกลับไปมองเพราะคิดว่าคงเป็เจซที่ไปซื้อของอยู่นานสองนาน
แต่เมื่อเขาหันหลังกลับไปมอง
คนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังกลับไม่ใช่เจซ
“สวัสดีครับคุณมอร์แกน”
แต่กลับเป็ ลุค อีแวนส์
รอยยิ้มแสนเ้าเล่ห์ของเขาปรากฏขึ้นทันทีที่เห็นแพทริเซียหันกลับไปมองด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แล้วอัลฟ่าผิวสีน้ำผึ้งก็ถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามและมองข้ามสายตาของคนที่นั่งข้างแพทริเซียไปราวกับมองไม่เห็นเขาเลยสักนิด และในตอนนั้นนั่นแหละที่แพทริเซียได้เห็นสีหน้าไม่พอใจของไซม่อนเป็ครั้งแรก
ไม่เหมือนลูกหมาที่เขาคุ้นเคยเลยแฮะ
“ใคร” ไซม่อนกดเสียงต่ำถามเขาด้วยความไม่พอใจ
“แล้วคุณเป็ใครล่ะ?”
ลุคเอ่ยถามขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำถามจากอัลฟ่าที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน กลิ่นของไม้สนที่เขาคุ้นเคยและกลิ่นที่เหมือนกับป่าหลังฝนตกกำลังตีกันผสมปนเปจนแพทริเซียต้องยกมือขึ้นปิดจมูก มันเป็ธรรมชาติของอัลฟ่าที่มักจะส่งกลิ่นออกมาข่มกันในตอนที่ไม่พอใจ
แต่ตอนนี้แพทริเซียไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมไซม่อนถึงดูไม่พอใจขนาดนั้น
ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่เคยพบเจอกับลุค อีแวนส์มาก่อน
“ว่าไง คุณเป็ใครถึงมาถามว่าผมเป็ใคร” ลุคถามย้ำพร้อมแสยะยิ้มมุมปาก
สถานการณ์ตรงหน้าแพทริเซียนั้นดูไม่ดีเท่าไหร่นัก แล้วยิ่งเป็คนของอีแวนส์ที่กำลังมาถามคุกคามไซม่อนแบบนี้มันอาจจะยิ่งทำให้ทุกอย่างยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ แต่ในขณะที่ฝ่ามือเล็กกำลังจะเอื้อมไปแตะมือของไซม่อนเพื่อจะพาหลบหนีจากลุค แพทริเซียก็ต้องชะงักกับประโยคที่ไซม่อนได้เอ่ยขึ้นมา
“เป็ใครมันไม่สำคัญหรอก”
“..”
“มันสำคัญที่คุณมาแตะคนของผมทำไมครับ อย่ามายุ่งกับคนของคนอื่นถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตสิ”
– Simon’s theory -