“ตูม!” ร่างของจ้านอู๋มิ่งและอาหนานพุ่งเข้าปะทะกันเสียงดังสนั่น
สีหน้าเจิงฉู่ไฉแปรเปลี่ยนจนไม่น่าดูอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่ากระบวนท่ากระบี่ของอาหนานจะไม่สามารถปลิดชีวิตจ้านอู๋มิ่งได้ ทว่ากลับถูกจ้านอู๋มิ่งใช้พลังกดดันจนร่วงหล่นลงพื้นพร้อมกัน ดูจากรูปการณ์ทั้งหมดคล้ายดั่งอาหนานครองความได้เปรียบอยู่ แต่กลับถูกร่างทรงพลังของจ้านอู๋มิ่งทำให้ตื่นตระหนกแล้ว เมื่อสูญเสียฤทธิ์เดชของกระบี่ไป พลังการสังหารของจ้านอู๋มิ่งสูงส่งไร้ผู้ทัดเทียม และอาหนานก็เฉกเช่นพยัคฆ์ที่สูญเสียเขี้ยวเล็บไปแล้ว จ้านอู๋มิ่งและอาหนานตกลงมาพร้อมกัน ต่อสู้หักหาญปะทะกันต่อด้วยกายเนื้อ มิใช่ทักษะของเพลงกระบี่อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นสีหน้าเจิงฉู่ไฉก็แปรเปลี่ยนแล้วเช่นกัน
“ตูม…” ร่างของอาหนานที่เพิ่งร่วงลงถูกจ้านอู๋มิ่งเตะลอยกระเด็นออกไป บนร่างจ้านอู๋มิ่งเองมีมีดสั้นปักอยู่เล่มหนึ่ง โลหิตสดๆ พวยพุ่งออกมา จ้านอู๋มิ่งยืนขึ้นด้วยร่างกายที่ได้รับาเ็ จี้จุดหลายจุดรอบาแเพื่อห้ามโลหิต เขาคิดไม่ถึงว่าบนร่างอาหนานยังมีมีดสั้นอยู่อีกเล่มหนึ่ง ทั้งสองคนต่อสู้กันระยะประชิด อาหนานแทงมีดสั้นออกมาอย่างแยบยล จ้านอู๋มิ่งไม่สามารถหลบพ้น แต่ขณะที่โดนทำร้ายด้วยมีดสั้น เท้าของจ้านอู๋มิ่งก็เตะใส่ร่างอาหนานอย่างจังเช่นเดียวกัน
อาหนานถอยออกมาพร้อมกับกระอักเื มีเศษชิ้นส่วนภายในปะปนในเืเป็ฟองฝอย เท้าของจ้านอู๋มิ่งที่เตะใส่ร่างตนหนักหน่วงและรุนแรงยิ่งนัก เกราะพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของเขาไร้ผลโดยสิ้นเชิง ที่โชคดีก็คือเขากับจ้านอู๋มิ่งต่างก็าเ็กันทั้งคู่ เพราะเขาไม่ได้ต่อสู้กันด้วยกายเนื้อกับจ้านอู๋มิ่งล้วนๆ
จ้านอู๋มิ่งค่อยๆ ดึงมีดสั้นที่แทงอยู่บนร่างออกช้าๆ ดวงตาฉายแววสังหารเยือกเย็นขึ้นวูบ เขารู้สึกโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ เขาถึงกับได้รับาเ็ ดูเหมือนเขาจะประเมินบรรดาวีรบุรุษในใต้หล้าต่ำเกินไปจริงๆ มีอัจฉริยะมากมายที่มีคุณสมบัติย้อนทวนฝืนฟ้า มีทักษะการต่อสู้ที่แปลกพิสดารยิ่งกว่า ทำให้การป้องกันยากลำบาก
เยี่ยนซานตั้งเงียบสงัด ทุกคนรู้สึกถึงรังสีที่ทำให้อึดอัดหายใจมิออกถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากร่างของจ้านอู๋มิ่ง นั่นคือเจตนาฆ่าและเป็ความกระหายเือันบ้าคลั่งชนิดหนึ่ง ดุจดั่งปีศาจร้ายที่หมอบซุ่มอยู่ท่ามกลางูเาซากศพและทะเลเื สุดแสนอำมหิตยิ่งนัก
ฝูงชนมองดูมีดสั้นถูกขยำเป็ก้อนเหล็กในมือของจ้านอู๋มิ่งด้วยความสยดสยอง าแตรงหน้าอกกำลังสมานขึ้นอย่างรวดเร็ว รอยแผลที่แขนก็หายดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัดเช่นกัน…ความสามารถในการฟื้นฟูอาการาเ็ที่ทรงพลังยิ่งกว่าสัตว์อสูรชนิดนี้ต่างทำให้ทุกคนรู้สึกใจนอิจฉาริษยา
“ร้ายกาจจริงๆ!” จ้านอู๋มิ่งเลียเืจากมุมปาก ค่อยๆ ย่างเท้าคุกคามเข้าใกล้อาหนาน ดุจดั่งูเามหาบรรพตลูกหนึ่ง พร้อมสภาวะพลังกดดันทุกสิ่ง ทั่วทั้งเวทีต่อสู้คล้ายดั่งกำลังสั่นะเื
สีหน้าของอาหนานแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง กายเนื้อของจ้านอู๋มิ่งแข็งแกร่งเกินความคาดหมายของเขามาก เดิมทีเขาคิดว่าด้วยเพลงกระบี่นั้น จ้านอู๋มิ่งไม่เสียชีวิตก็ต้องพิการ แต่ว่ากลับต้องผิดหวังแล้ว จ้านอู๋มิ่งได้รับาเ็แล้วแต่ไม่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ทว่าตนเองกลับถูกอานุภาพของท่าเตะเท้าหนึ่งนั้น ได้รับาเ็ภายในแล้ว หากจ้านอู๋มิ่งโจมตีซ้ำเข้ามาอีก เขาก็ไม่รู้จะต้านทานเช่นไรแล้ว อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนหายใจ รำพึงกับตนเอง “ดูเหมือนว่าข้าจำเป็ต้องใช้ทางเลือกสุดท้ายแล้ว มิฉะนั้นเกรงว่าจะต้องพบจุดจบที่นี่ในวันนี้” คิดพลางในดวงตาของเขาฉายแววความบ้าคลั่งขึ้นวูบหนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตัวตรง ทันใดนั้น สภาวะพลังที่เปล่งออกจากร่างกายเทียบเคียงกับสภาวะพลังของจ้านอู๋มิ่ง ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าแม้แต่น้อย
………………………………………………………………
โชคชะตาของสำนักนิกายหนึ่งมาจากดวงชะตาของสมาชิกทุกคนในสำนัก หากชะตาชีวิตของทุกคนแข็งแกร่งสูงส่ง โชคชะตาของสำนักก็จะได้รับการยกระดับให้ดีขึ้นได้เช่นกัน นอกจากนี้โชคชะตาของสำนักนิกายภายใต้พลังศรัทธาและความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นในหัวใจของเหล่าผู้คน ก็สามารถผลักดันโชคชะตาของสำนักนิกายให้ดียิ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด ตลอดจนบรรลุถึงระดับขั้นสมบูรณ์
การคัดเลือกศิษย์ครั้งใหญ่ของสำนักนิกายในเยี่ยนซานตั้งนับได้ว่าเป็งานยิ่งใหญ่ของแผ่นดินนี้ ทำให้อำนาจและอิทธิพลของสำนักนิกายที่มีต่อใต้หล้ายกระดับสูงขึ้น เหมือนเช่นงานชุมนุมการแสวงบุญครั้งใหญ่ ผลกระทบต่อโชคชะตาของสำนักนิกายนั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้ หลายคนหลงลืมไปแล้วว่างานใหญ่เช่นนี้เริ่มต้นจัดให้มีขึ้นั้แ่ปีใด จัดมาทั้งหมดกี่ครั้งแล้ว แต่มิเคยมีผู้ใดท้าทายอำนาจของสำนักนิกายในระหว่างการคัดเลือกใหญ่มาก่อน
ยกเว้นจ้านอู๋มิ่งคนเดียวที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ ชายหนุ่มอ่อนแอผู้หนึ่ง ตบหน้าสำนักกระบี่ิญญาหนักๆ ไปฉาดหนึ่ง บางทีั้แ่เริ่มต้น สำนักกระบี่ิญญาเพียง้าอาศัยคนผู้นี้แสดงอำนาจบารมี หรือ้าทำให้สำนักบริบาลเดรัจฉาน ซึ่งเป็ศัตรูเก่าต้องอับอายขายหน้าสักครั้ง กลับคาดคิดไม่ถึงว่าจ้านอู๋มิ่งจะสร้างความอัปยศอดสูให้สำนักกระบี่ิญญาอย่างรุนแรง
มีบ้างที่เห็นว่าจ้านอู๋มิ่งยังเยาว์วัย อ่อนหัดไร้ประสบการณ์ ก็มีบางคนเช่นกันที่บอกว่าจ้านอู๋มิ่งยังเยาว์จึงคึกคะนอง เห็นเป็เื่สนุกไร้สาระ ตลอดจนมีผู้คาดเดาว่าจ้านอู๋มิ่งไร้ความกลัว เพราะมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งอยู่เื้ั มิฉะนั้นคงไม่กล้าหยิ่งผยองถึงเพียงนี้
แต่จ้านอู๋มิ่งกลับรู้ดีว่าสำนักกระบี่ิญญาคือหินรองฝ่าเท้าก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งในเส้นทางการเติบโตของตน ในชาติภพก่อน เขาไร้กำลัง ทำอะไรไม่ได้ สูญเสียเวลาเปล่าๆ ไปนับสิบปี แต่ชีวิตนี้เขาจะไม่หลีกหนีอีกต่อไป การบ่มเพาะชะตาชีวิตย้อนทวนฝืนลิขิตฟ้าก็คือการ่ชิงชะตาชีวิตกับฟ้า โชคชะตาฟ้าดินอยู่ในดวงชะตาของสรรพสิ่งมีชีวิตและสรรพสิ่งทั้งมวล ตนสะกดข่มโชคชะตาของสำนักนิกาย ท่ามกลางความมืดมิด โชคชะตาของสำนักนิกายก็จะมาเสริมเพิ่มพูนให้แก่ตนเอง ฟ้าดิน้าความสมดุล ชะตาชีวิตก็เช่นเดียวกัน นี่ก็คือเหตุผลที่แต่ละสำนักนิกายใหญ่ชื่นชอบคัดเลือกอัจฉริยะเข้าเป็ศิษย์สำนักตน เพราะคนเช่นนี้กำเนิดมาไม่ธรรมดา ในขณะที่โชคชะตาตนเองเปี่ยมความอุดมสมบูรณ์ ก็จะสามารถ่ชิงโชคชะตาจากผู้อื่นมาเสริมให้ตนเองได้ง่ายยิ่งกว่า เมื่อเป็เช่นนี้โชคชะตาของสำนักนิกายก็จะรุ่งเรืองก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
ยามนี้นอกจากสำนักกระบี่ิญญาแล้ว สายตาของทุกสำนักนิกายใหญ่ที่มองจ้านอู๋มิ่งล้วนเปลี่ยนไปแล้ว การแสดงออกบนเวทีของจ้านอู๋มิ่งครั้งนี้ ทำให้เหล่าบรรดาตัวประหลาดเฒ่าของนิกายเหล่านี้ได้เห็นโชคชะตาของสำนักบริบาลเดรัจฉานมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว จิตใจของผู้คนค่อยๆ เปลี่ยนจากสำนักกระบี่ิญญามาเป็สำนักบริบาลเดรัจฉาน จำนวนอัจฉริยะที่รอสมัครเข้าสำนักเพิ่มมากขึ้นเป็เท่าทวี นี่ก็เป็สัญญาณแห่งความเจริญรุ่งเรืองของโชคชะตาชนิดหนึ่งเช่นกัน
สีหน้าเลวี่ยเหวินซิวดูลึกซึ้งเคร่งขรึม ความชื่นชมที่มีต่อจ้านอู๋มิ่งกลับมีแต่เพิ่มขึ้น ไม่มีลดลง ความคิดของยอดฝีมือในสำนักบริบาลเดรัจฉานที่มีต่อจ้านอู๋มิ่งก็เปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน ต่างพากันประเมินใหม่ ล้วนยืนอยู่ข้างเลวี่ยเหวินซิว หากมีเื่ราวใดเกิดขึ้น มีความเป็ไปได้อย่างมากที่จะพัฒนาสู่การปะทะกันระหว่างสำนักกระบี่ิญญาและสำนักบริบาลเดรัจฉาน
การต่อสู้พัวพันของอาหนานยากลำบากตามคำเล่าลือจริงๆ จ้านอู๋มิ่งไม่ได้ครองความได้เปรียบแต่อย่างใด ดูจากภายนอกจ้านอู๋มิ่งยิ่งเสียเปรียบมากขึ้น ดังนั้นสีหน้าเลวี่ยเหวินซิวจึงเคร่งเครียด เนื่องจากเขาทราบว่าอาหนานมีกระบวนท่าสังหารที่ร้ายกาจยิ่งกว่านี้ ในฐานะตัวแทนศิษย์สายหลักของสำนักกระบี่ิญญา ทุกคนล้วนเป็สมบัติวิเศษของสำนัก เป็ไปไม่ได้ที่จะไม่มีลูกไม้อื่นอีก
จ้านอู๋มิ่งรู้สึกได้ถึงสภาวะพลังของอาหนานที่เพิ่มสูงขึ้น ความรู้สึกถึงอันตรายเกิดขึ้นจากภายในใจ เขามั่นใจว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ดูธรรมดาเช่นภายนอกอย่างแน่นอน การประมือสองครั้งนี้ดูเหมือนเรียบง่าย แต่แฝงเร้นอันตรายไร้สิ้นสุด ทั้งตนเองและอาหนานล้วนเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่ากระบวนท่าสังหารที่แท้จริงไม่จำเป็ต้องมีลวดลายให้มากความ กระบวนท่าธรรมดาที่สุดจึงมักอันตรายมากที่สุด ตนประมือกับอาหนานล้วนเฉียดผ่านความตายมาพร้อมๆ กัน หาก้าชนะอาหนาน กายเนื้อของจ้านอู๋มิ่งยามนี้ยังไม่เพียงพอ ดังนั้นจ้านอู๋มิ่งจึงหยิบกระบองยาวสีดำสนิทออกมาท่อนหนึ่ง
กระบองนี้ได้มาจากเรือนนอนของสัตว์อสูรราชันวานร ยามนั้นจ้านอู๋มิ่งขยับกระบองเทิดฟ้านี้อย่างยากลำบาก น้ำหนักของกระบองกลับมากถึงหนึ่งหมื่นชั่ง หลังจากได้รับสมบัตินี้เก็บไว้ในแหวนจักรวาล ก็ฝึกฝนทำความคุ้นเคยกับมันตลอดมามิได้ขาด เพ่งสมาธิประทับจิตสำนึกของตนลงไปในกระบองเหล็ก เขาพบว่ามีสัญลักษณ์และรูปแบบยันต์มากมายนับมิถ้วนในกระบองนี้ สร้างเป็รูปแบบค่ายกลขึ้นชั้นแล้วชั้นเล่าและห่อหุ้มแกนกระบองไว้ตรงกลาง ด้วยพลังความสามารถของเขาในปัจจุบัน ยังไม่สามารถที่จะเจาะผ่านรูปแบบค่ายกลล่วงลึกไปถึงแกนใน จนสามารถควบคุมกระบองนี้ได้อย่างสมบูรณ์
โชคดีที่เขาหมั่นฝึกปรือจนเชี่ยวชาญรูปแบบแรกแล้ว หลังจากความพยายามมากมายหลายครั้ง เมื่อเป็เช่นนี้ น้ำหนักของกระบองพออยู่ในมือเขาก็เหมือนกับถือกระบองทั่วไปท่อนหนึ่ง แน่นอน สิ่งนี้เปรียบได้กับการควบคุมเพียงแค่ขั้นต้น หากฟาดลงบนร่างของผู้อื่น เฉพาะน้ำหนักของกระบองเพียงอย่างเดียวก็หนักถึงเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชั่งเก้าตำลึงแล้ว
วัสดุของกระบองนี้คือแก่นโลหะของสะเก็ดดาว ในชาติภพก่อนเขา้าแสวงหาวัสดุประเภทนี้ ค้นหาจนทั่วทุกแห่งหนก็ยังไม่พบ ตำนานเล่าขานโลหะนี้เป็แหล่งกำเนิดของแร่เหล็กแห่งแกนดารา เป็วัสดุที่แข็งแกร่งที่สุดที่เกิดขึ้นภายใต้การกดทับของดวงดาวทั้งดวง ต่อให้มีขนาดเพียงเล็บมือชิ้นหนึ่ง ก็มีน้ำหนักร่วมร้อยชั่งแล้ว กระบองที่อยู่ในมือของเขาอย่างน้อยก็ใช้แก่นโลหะดวงดาราขนาดเท่ากำปั้นใหญ่แล้ว ส่วนวัสดุอื่นๆ มีสิ่งใดบ้าง เขาเองก็มิอาจทราบได้ ดังนั้นกระบองเทิดฟ้านี้มิใช่อาวุธจิติญญาทั่วไปอย่างแน่นอน เกรงว่าระดับขอบเขตของมันจะเหนือกว่าระดับอาวุธใดๆ ในใต้หล้านี้ไปแล้ว
“กระบองนี้ชื่อว่ากระบองเทิดฟ้า” จ้านอู๋มิ่งชี้ไปที่กระบอง ยาวเก้าฟุตเก้านิ้ว ขนาดหยาบเท่าปากถ้วยน้ำชา เปลือกนอกดำสนิท ไร้ประกายใดๆ เหมือนเสาขึ้นสนิมท่อนหนึ่ง แต่ไม่มีผู้ใดหัวเราะเยาะเขา เนื่องจากยามที่จ้านอู๋มิ่งยื่นกระบองนี้ออกมา สำนึกจิติญญาแห่งการต่อสู้อันดุเดือดเข้มข้นแผ่ออกมาจากกระบองนี้ราวกับมีสัตว์ร้ายตัวหนึ่งตื่นขึ้นจากกระบองเทิดฟ้า เป็สัตว์ร้ายยุคา
“เ้าเป็คู่ต่อสู้คนแรกที่ทำให้ข้าใช้กระบองเทิดฟ้า!” จ้านอู๋มิ่งยิ้มอย่างเฉยชา มีประกายอหังการเหนือใต้หล้าชนิดหนึ่ง
อาหนานเพียงเบ้ปากเล็กน้อยคราหนึ่ง คล้ายดั่งกำลังหัวเราะ แต่รอยยิ้มกลับไม่น่าดูยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก จ้านอู๋มิ่งมองออก นี่นับเป็สิ่งที่แน่ใจได้อย่างหนึ่ง ในสายตาของอาหนาน ตนก็เป็คู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวและควรค่าแก่การนับถือผู้หนึ่ง
“ข้ายังมีกระบวนท่าหนึ่ง ยังมิเคยใช้มาก่อน!” อาหนานเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปากคราหนึ่ง พูดอย่างคลุมเครือคำหนึ่ง ทุกครั้งที่ก้าวเท้าคราหนึ่งร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นรอบหนึ่ง ยามที่อาหนานก้าวถึงก้าวที่เจ็ดนั้น ร่างถึงกับแปรเปลี่ยนเป็ครึ่งคนครึ่งวานรที่เหมือนเจดีย์เหล็กไปแล้ว ร่างใหญ่สูงร่วมสิบฟุตนั้นดันจนเสื้อผ้าบนตัวขาดเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย กล้ามเนื้อที่ปูดโปนขึ้นเหมือนเนินเขาเล็กๆ ผมสีแดงเพลิงที่พลิ้วไหวราวกับเปลวไฟกำลังแผดเผา แผ่รัศมีสุดแสนดุร้ายสายหนึ่งออกมาจากร่างแปลงของอาหนาน
“พลังชีพจรสายเืบรรพบุรุษ!” มีคนส่งเสียงอุทานขึ้นเบาๆ
เลวี่ยเหวินซิวทั้งใและประหลาดใจเช่นกัน ในข้อมูลของพวกเขาไม่ได้เขียนถึงเื่ที่อาหนานมีพลังชีพจรสายเืบรรพบุรุษ และยังเป็พลังชีพจรสายเืบรรพบุรุษค่างคิงคองมหาปฐีอีกด้วย นี่ไม่ใช่สิ่งที่คำว่าอัจฉริยะจะสามารถอธิบายได้แล้ว บุคคลผู้นี้ก็คือสมบัติล้ำค่าของใต้หล้าเลยทีเดียว
หากบุคคลใดมีพลังชีพจรสายเืบรรพบุรุษแล้ว ศักยภาพพลังแฝงการบ่มเพาะทางพลังจิติญญาของเขาก็จะไร้ขีดจำกัด คนที่มีพลังชีพจรสายเืบรรพบุรุษชนิดนี้หายากยิ่งนัก นอกจากนี้พลังชีพจรสายเืบรรพบุรุษยังมีแบ่งแยกเป็เจือจางและเข้มข้นอีกด้วย ยามนี้อาหนานได้บรรลุถึงสามส่วนของอานุภาพแห่งชีพจรสายเืบรรพบุรุษแล้ว
ตำนานเล่าขาน ในส่วนลึกที่สุดของป่าสัตว์อสูร มีสัตว์อสูรค่างดุร้าย ในใต้หล้าไร้ผู้ทัดเทียมตัวหนึ่ง กอปรด้วยพลังชีพจรสายเืบรรพบุรุษค่างคิงคองมหาปฐี สามารถแปลงร่างเป็มนุษย์ได้เนิ่นนานแล้ว พลังแสนดุร้ายของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์นกอินทรีฟ้า เพียงแต่ไม่ค่อยได้ออกมาจากป่าสัตว์อสูร และก็คือหนึ่งในตัวแทนสัตว์อสูรที่บรรลุข้อตกลงการอยู่ร่วมกันกับบรรดาตัวประหลาดเฒ่ามิกี่คนในแผ่นดินนี้ที่มิค่อยได้ปรากฏตัว คิดไม่ถึงว่าท่ามกลางมนุษย์ธรรมดา ก็ยังมีคนที่มีพลังชีพจรสายเืบรรพบุรุษค่างคิงคองมหาปฐีอีกด้วย ผู้คนถึงกับเริ่มพากันสงสัยแล้วว่าอาหนานใช่เป็ทายาททางสายเืของสัตว์อสูรค่างวานรหลังจากแปลงร่างเป็มนุษย์แล้วหรือไม่
จ้านอู๋มิ่งเองก็เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา มีคนประเภทหนึ่งที่เกิดมาเพื่อการต่อสู้ข้ามรุ่น เกิดมาโดยธรรมชาติก็มีความได้เปรียบเหนือคนทั่วไปอยู่แล้ว นั่นก็คือชีพจรสายเือันประเสริฐนั่นเอง ตำนานเล่าว่าค่างคิงคองมหาปฐีเป็สัตว์เทวะ พลังมหาศาลของมันสามารถลากดึงูเาถมมหาสมุทรเลยทีเดียว เป็หนึ่งในบรรดาสัตว์ผู้พิทักษ์แห่งประตูแดนเทพเซียน และมีคนกล่าวเช่นกันว่าเริ่มแรกมนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิงค่างในยุคสมัยโบราณ บางคนอาจมีคุณลักษณะพิเศษ กอปรด้วยชีพจรสายเืบรรพบุรุษลิงค่าง แต่คนที่มีพลังชีพจรสายเืบรรพบุรุษค่างคิงคองมหาปฐีเหมือนเช่นอาหนานเรียกได้ว่าหาไม่ได้แม้หนึ่งในหมื่น
“ตายเสียเถอะ!” อาหนานที่กลายร่างเป็ครึ่งคนครึ่งสัตว์ สูญเสียสติปัญญาและสงบเยือกเย็นในตอนแรกไปแล้ว กลายเป็คนบ้าคลั่งขึ้นมา
“ฮ่า ฮ่า…” พลันจ้านอู๋มิ่งหัวเราะลั่นขึ้นมา ในจิตใจเกิดความภาคภูมิใจขึ้นทันใด กู่เสียงยาวคราหนึ่งกล่าวว่า “ดูซิว่าชีพจรสายเืบรรพบุรุษของเ้าร้ายกาจ หรือว่ากระบองของข้าร้ายกาจกว่า!” เขาไม่หลบหลีกอีกต่อไป สองมือจับกระบองยกขึ้นฟาดใส่โดยตรงทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้