ทั้งเหยาเชียนเชียนและเป่ยเหลียนโม่ต่างก็ยืนกรานในความคิดของตัวเอง แต่ก็เกรงว่าอีกฝ่ายอาจจับเบาะแสบางอย่างได้เพราะหนักแน่นมากเกินไป เหยาเชียนเชียนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วแย้มยิ้ม
“มิสู้ทิ้งแมวตัวนี้ไว้ที่นี่ เมื่ออาเหยียนกลับมาแล้วก็จะมองเห็นได้ทันที หากท่านอ๋องมีเื่้าคุยกับหม่อมฉัน เช่นนั้นเราไปที่อื่นกันเถิดเพคะ"
ชิงผิงอ๋องพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ได้สิ”
ทั้งคู่อยากจะเดินจูงมือกันออกไปข้างนอกเหลือเกิน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถนำลูกแมวไปด้วยได้ แต่ในยามที่ชิงผิงอ๋องกำลังจะเดินออกไปก็ยังหยิบเอาเป็ดย่างที่อยู่บนโต๊ะติดมือออกไปด้วย
ลูกแมวมองตามด้วยความงุนงง
เขายังกินไม่หมดเลยนะ!
เหยาเชียนเชียนหันกลับไปมองประตูที่ปิดสนิทอย่างเงียบๆ และผ่อนลมหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
ดูจากท่าทางของชิงผิงอ๋องเมื่อครู่ เหมือนว่าเขาจะไม่รู้เื่ร่างแมวของอาเหยียน เช่นนั้นก็แสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเขาไม่รู้ถึงความลับข้อนี้ของอาเหยียนน่ะสิ?
“เปิ่นหวังจำได้ว่าเคยกำชับไว้แล้วว่าไม่้าให้ผู้ใดรั้งอยู่ที่เรือนของอาเหยียนนาน”
เหยาเชียนเชียนยกมือขึ้นอย่างรู้สึกผิด “หม่อมฉันเป็คนบอกให้อิงเอ๋อร์รอหม่อมฉันอยู่ที่นี่เองเพคะ เพียงแค่มีบางอย่างอยากให้นางดูสักหน่อย”
สิ่งใดกันที่ต้องให้ดูที่เรือนของอาเหยียน ชิงผิงอ๋องยื่นมือออกไปอย่างใจเย็น เขาเองก็อยากดูด้วยเช่นกัน
เหยาเชียนเชียนคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายไม่ออก นางเพียงแค่หยิบกระดาษวาดรูปออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะอธิบายเบาๆ ว่าทำสิ่งนี้ไว้สำหรับเ้าแมวดำ และมีชุดสำหรับทั้งสี่ฤดู
“ที่จริงก็ไม่จำเป็ต้องสวมใส่” เมื่อเห็นว่าชิงผิงอ๋องหน้าตึง เหยาเชียนเชียนก็คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้ผู้อื่นคำนึงถึงสัตว์เลี้ยงของเขามากเกินไป ดังนั้นจึงรีบอธิบายว่า
“แค่วาดเล่นๆ เท่านั้นเองเพคะ หากเสี่ยวไกวไกวไม่ยินดีที่จะสวมใส่มันจริงๆ หม่อมฉันก็จะไม่บังคับมันเป็อันขาดเพคะ”
ชิงผิงอ๋องมองชุดตัวเล็กที่มีรูปแบบแตกต่างกันออกไปตรงหน้า เรียวคิ้วโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่ายามที่เขาสวมชุดพวกนี้มันจะออกมาเป็อย่างไร
“ท่านอ๋อง” เหยาเชียนเชียนดึงกระดาษวาดรูปออกมาจากมือของเขาอย่างระมัดระวัง นางยิ้มอย่างไร้เดียงสาและไม่มีพิษภัย “ยังไม่ได้ถามท่านอ๋องเลย พระองค์เสด็จมาหาหม่อมฉันมีเื่อันใดหรือเพคะ?”
ชิงผิงอ๋องดึงมือกลับไปไพล่หลังอย่างใจเย็น ที่จริงแล้วเขาไม่ได้มาหาเหยาเชียนเชียน เขาเพียงแค่อยากจะไปปรึกษาอาเหยียนเื่น้องสาวเท่านั้น แต่เนื่องจากอีกฝ่ายถามมาเช่นนี้แล้ว หากไม่พูดอะไรเลยก็ดูเหมือนจะไร้เหตุผลไปเสียหน่อย
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันอภิเษกสมรสของพี่สามและคุณหนูตระกูลอัครมหาเสนาบดีแล้ว หวังเฟยจะไปกับเปิ่นหวังหรือไม่?”
เหยาเชียนเชียนชะงักไปชั่วครู่ งานเช่นนี้ก็ต้องไปร่วมครึกครื้นหรือ?
ชิงผิงอ๋องคงทราบเหตุผลของการแต่งงานครั้งนี้ดีอยู่แล้ว หากพวกเขาไปกันทั้งคู่เกรงว่าจะไม่ได้เป็การแสดงความยินดี แต่จะเป็การสร้างปัญหาเพิ่มเสียมากกว่า
ทว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เหยาเชียนเชียนไม่รู้ก็คือ เป่ยเหลียนโม่ไม่ได้ตั้งใจจะไปร่วมงาน แต่ตามหลักธรรมเนียมและระเบียบปฏิบัติ พวกเขาควรไปร่วมแสดงความยินดี เมื่อครั้งที่นางแต่งเข้าจวนชิงผิงอ๋องก็มีการเชิญท่านอ๋องคนอื่นมาเข้าร่วมเช่นกัน
“ท่านอ๋องต้องไปร่วมงานจริงๆ หรือเพคะ หากท่านอ๋องต้องไปร่วมงาน เช่นนั้นหม่อมฉันก็ควรติดตามไปด้วย”
กล่าวเช่นนี้ไม่น่าผิดพลาด เหยาเชียนเชียนซาบซึ้งใจกับตัวเองที่สามารถขัดเกลาฝีมือการสนทนากับเทพแห่งความตายได้แล้ว
เป่ยเหลียนโม่ยกยิ้มมุมปาก แม้จะไม่ทราบว่าแสงสว่างในดวงตาของนางเกิดขึ้นจากเหตุใด แต่เขาก็ไม่เห็นเค้าความอาวรณ์และความทุกข์ใดๆ อยู่ในนั้น เช่นนั้นจะมีเหตุผลใดที่จะไม่พานางไปด้วย
เป่ยเซวียนเฉิงแต่งงานกับคนอื่นแล้ว ไม่ว่าในใจนางจะยังมีพี่สามของเขาอยู่หรือไม่ก็ถึงเวลาที่ต้องปล่อยวางโดยสมบูรณ์ได้แล้ว
“เช่นนั้นก็ไปกับเปิ่นหวังเถิด ผู้คนจะได้ไม่ต้องหาเื่จับผิดด้วย”
เหยาเชียนเชียนพยักหน้า ยามนี้นางตกเป็ขี้ปากผู้อื่นและสามารถถูกนำไปพูดถึงเมื่อไรก็ได้ แม้ว่าจะไม่ได้ถูกด่าทอเป็ส่วนมากดังเช่นก่อนหน้านี้แล้ว แต่ระวังไม่ให้ผู้คนพบข้อบกพร่องแล้วนำไปพูดต่อย่อมดีกว่า
เื่นี้จึงตกลงตามนี้ ทว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เหยาเชียนเชียนไม่พอใจอย่างยิ่ง
เนื่องจากนางเห็นพ่อบ้านเตรียมของขวัญสำหรับแสดงความยินดีในวันนั้น เห็นได้ชัดว่าชิงผิงอ๋องมีสิ่งของชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากมายขนาดนั้น แล้วเหตุใดสิ่งของที่เขามอบให้นางจึงล้วนแต่เป็สมบัติ! ที่ชิ้นใหญ่! ขึ้นเรื่อยๆ!
เขาจงใจจริงๆ ด้วย!
วันพิธีอภิเษกสมรส ชิงผิงอ๋องนำสมบัติที่ทำให้เหยาเชียนเชียนเ็ปใจเหล่านี้ไปร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงด้วยกัน
แม้ว่าเื่นี้จะทำให้ภายนอกเกิดความวุ่นวายอลหม่านเพียงใด ทว่าความหรูหราของพิธีอภิเษกสมรสระหว่างองค์ชายและบุตรสาวของเฉิงเซี่ยงที่จัดขึ้นภายในวังหลวงย่อมไม่น้อยอย่างแน่นอน
“นี่คือธรรมเนียมการสู่ขอเช่อเฟยจริงๆ หรือ?”
เหยาเชียนเชียนมีสีหน้าเรียบเฉยทว่าในใจกลับรู้สึกตื่นตะลึง นี่มันไม่หรูหราสวยงามเกินไปหน่อยหรือ คราแรกที่เ้าของร่างเดิมแต่งเข้าจวนอ๋องก็ไม่รู้ว่าจะยิ่งใหญ่สง่างามขนาดนี้หรือไม่
แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเ้าของร่างเดิมเลยก็ตาม แต่นางก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมากะทันหัน เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้เห็นและไม่ได้ััสักครั้ง
“เนื่องจากการอภิเษกนี้ถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างเร่งด่วน ดังนั้นงานจึงค่อนข้างเรียบง่าย” ชิงผิงอ๋องอธิบาย “แต่ในท้ายที่สุดนางก็เป็เพียงเช่อเฟย หรูหราเกินไปจะขัดต่อระเบียบ ที่เป็เช่นยามนี้ก็ไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสม”
นี่มันดีเกินไปแล้วหรือไม่ เหยาเชียนเชียนลอบกำหมัด ความยากจนได้จำกัดจินตนาการของนางไว้ ทว่านางไม่สามารถแสดงท่าทางตื่นตะลึงราวกับไม่เคยเห็นโลกมาก่อนอย่างชัดเจนเกินไปได้
โดยเฉพาะกับท่านอ๋องที่อยู่ข้างๆ นางผู้นี้ เขามีท่าทางราวกับว่า ‘แค่นี้ก็ซอมซ่อเกินไปแล้ว ข้าต้องลดตัวลงมาถึงจะฝืนใจนั่งอยู่ที่นี่ได้’ นั้นช่างน่าโมโหเสียจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เมื่อดนตรีในพิธีบรรเลงขึ้น งานอภิเษกสมรสจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการ ฮ่องเต้อ้างว่ามีอาการประชวร ดังนั้นจึงมีเพียงอวี๋ผินและผินเฟยท่านอื่นอีกสองสามคนนั่งอยู่บนบัลลังก์ เหยาเชียนเชียนดูไม่ออกว่าพวกนางยินดีจริงๆ หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็ยิ้มแย้มได้ตามความเหมาะสม
สายตาอันยากจะเพิกเฉยได้จ้องมองมาและเหยาเชียนเชียนก็ถูกบังคับให้มองกลับไป เป็เป่ยเซวียนเฉิงตามคาด
อีกฝ่ายมองมาที่นางด้วยสายตาวาววาบ ราวกับงานอภิเษกสมรสในวันนี้เขารู้สึกคับข้องใจเหลือเกิน หรือไม่ก็หวังเป็อย่างยิ่งว่านางจะยืนขึ้นมาในเวลานี้และะโว่า ‘หม่อมฉันไม่เห็นด้วยกับงานอภิเษกสมรสครั้งนี้’
“ดูพี่สามสิ มีความสุขเสียจนไม่รู้ว่าควรจะมองไปทางใดแล้ว”
มือข้างหนึ่งของชิงผิงอ๋องโอบเอวนางเข้ามา มุมปากประดับรอยยิ้มเย้ยหยัน เขากักนางไว้ในอ้อมแขนอย่างแ่าด้วยท่าทางที่ยากจะปฏิเสธ และเผชิญกับสายตาของเป่ยเซวียนเฉิงอย่างไม่เกรงกลัว
เหยาเชียนเชียนเหยียดหลังตรง ใน่เวลาสำคัญนี้ เป่ยเซวียนเฉิงจะก่อเื่ไม่ได้เป็อันขาด ไม่เช่นนั้นจะต้องเกิดการปะทะฝีปากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็แน่
“สีหน้าของพี่สามในวันนี้ดูสดใสกว่าทุกวัน เห็นได้ว่างานมงคลนี้ทำให้พี่สามมีความสุขจนถึงก้นบึ้งของหัวใจอย่างแท้จริง”
ชิงผิงอ๋องยังคงพูดบั่นทอนอย่างเต็มที่ พวกเขาอยู่ห่างกันเล็กน้อย เหยาเชียนเชียนไม่รู้ว่าเป่ยเซวียนเฉิงได้ยินหรือไม่ ทว่ากลิ่นดินปืนที่ตลบอบอวล [1] อยู่ในอากาศนั้นช่างชัดเจนเหลือเกิน
“อีอี ยามนี้เฉิงเอ๋อร์มีเ้าเป็เช่อเฟยเพียงผู้เดียว วันหน้าเ้าจะต้องปรนนิบัติเขาอย่างเต็มที่ และผลิดอกออกใบ [2] ให้ราชวงศ์โดยเร็วที่สุด”
ซ่งอีอีคุกเข่าลงด้วยความช่วยเหลือจากแม่นม หลังจากน้อมรับคำสอนแล้วจึงยกน้ำชาถวายพร้อมกับค้อมคำนับ
สุดท้ายแล้วนางก็เป็ได้เพียงเช่อเฟย อีกทั้งยังไม่ใช่เช่อเฟยของชิงผิงอ๋อง นางต้องแต่งงานกับชายที่นางไม่ได้รักเลยแม้แต่น้อย
ภายนอกของผ้าคลุมศีรษะเ้าสาวจะต้องมีเงาเลือนรางใดสักเงาหนึ่งเป็ของชิงผิงอ๋องอย่างแน่นอน เขามาหานางแล้ว มาเพื่อดูนางแต่งงานกับผู้อื่น ในใจของเขาจะมีความรู้สึกเสียใจหรืออาวรณ์บ้างหรือไม่?
เช่นเดียวกันกับองค์ชายสามในยามนั้น ทั้งที่รู้ดีว่าเหยาเชียนเชียนต้องแต่งเข้าจวนชิงผิงอ๋อง เขาไม่สามารถขัดขวางได้ แต่ก็ยังคงยากจะตัดใจจากไมตรีนั้น
“ชิมนี่สิ” เป่ยเหลียนโม่ป้อนอาหารให้คนข้างกายอย่างกระตือรือร้น “นี่เป็อาหารจานเด็ดของห้องเครื่องหลวง ข้างนอกไม่สามารถหารับประทานได้ง่ายๆ”
แม้เหยาเชียนเชียนจะรู้สึกว่าพิธียังไม่เสร็จสิ้นและคงไม่เหมาะหากจะเริ่มรับประทานอาหารในงานเลี้ยง แต่นางก็รอมานานพอสมควรแล้ว ประกอบกับไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องมาั้แ่เช้าจึงทำให้ท้องของนางร้องโครกครากด้วยความหิว
“ท่านอ๋อง นี่คือเนื้ออะไรหรือ?”
“เนื้อกวางน่ะ หากหวังเฟยชอบ เปิ่นหวังจะให้คนส่งไปให้ที่จวนเพิ่มมากหน่อยก็ได้”
ลูกหลานขุนนางที่นั่งอยู่ข้างๆ มุมปากกระตุกอย่างห้ามไม่ได้ พวกเขาคิดว่าทั้งคู่มาเพื่อรับประทานอาหารในงานเลี้ยงโดยแท้ อีกด้านหนึ่งยังคงทำพิธีกันอยู่ ส่วนด้านนี้หากไม่มีผู้อื่นก็คงรับประทานอาหารไปแล้ว
เมื่อพิธีเสร็จสิ้น ซ่งอีอีก็ถูกแม่นมพากลับไปยังตำหนักสนม เหลือเพียงเป่ยเซวียนเฉิงอยู่ต้อนรับแเื่ในวันนี้ และแน่นอนว่าเขาต้องเห็นโต๊ะนั้นซึ่งกำลังรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุขท่ามกลางผู้คน
“สุรานี้หวานเล็กน้อย รับประทานคู่กับอาหารจานนี้รสชาติกำลังดีเลย หวังเฟยลองชิมสิ”
มือหนึ่งของเหยาเชียนเชียนถือตะเกียบ อีกมือหนึ่งกำลังบรรจงปอกเปลือก อีกทั้งยังต้องโน้มตัวเข้าไปชิมสุราที่เป่ยเหลียนโม่ยื่นให้ ยุ่งเหยิงยิ่งนัก
“เชียนเชียน ไม่คิดเลยว่าเ้าจะมาร่วมงานด้วย”
เป่ยเซวียนเฉิงก้าวเข้ามาอย่างเนิบช้า เขาเห็นท่าทางสนิทสนมของทั้งคู่ ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรมากกว่านั้น เป่ยเหลียนโม่ที่อยู่ข้างๆ ก็ลุกขึ้นพร้อมยกจอกสุราขึ้นมา
“วันนี้เป็วันมงคลของพี่สาม เปิ่นหวังและหวังเฟยย่อมต้องมาร่วมแสดงความยินดี สุราจอกนี้เพื่ออวยพรให้พี่สามมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และเพื่อแสดงความยินดีที่พี่สามได้อภิเษกสมรสกับหญิงงาม”
เหยาเชียนเชียนที่อยู่ข้างๆ ลุกขึ้นอย่างว่าง่ายพร้อมยกจอกสุราขึ้นด้วยท่าทางราวกับสามีภรรยาที่เป็อันหนึ่งอันเดียวกัน
เป่ยเซวียนเฉิงเงยหน้าขึ้นดื่มสุราจอกนั้นจนหมด เมื่อมองเพียงผิวเผินทุกคนต่างคิดว่าสุราจอกนั้นจะต้องมีรสชาติขมฝาดอย่างถึงที่สุด จึงต่างพากันทอดถอนใจ ช่างเป็เวรกรรมโดยแท้
ทั้งที่เป็หนึ่งในบุคคลสำคัญที่ถูกทุกคนคาดเดา ทว่าเหยาเชียนเชียนกลับไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น อาจเป็เพราะมีเป่ยเหลียนโม่อยู่ด้วย ดังนั้นนางจึงรู้สึกสงบอย่างยิ่งกับการเผชิญหน้ากับองค์ชายสามในครั้งนี้
เมื่อคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว เขากับซ่งอีอีก็ถือว่าเหมาะสมกันดี ทั้งวงศ์ตระกูล ฐานะ และรูปร่างหน้าตาก็ล้วนใกล้เคียงกัน หากสามารถเลิกพุ่งเป้ามาที่นางและเป่ยเหลียนโม่ได้ั้แ่เวลานี้ เช่นนั้นชีวิตครอบครัวของพวกเขาก็จะมีความสุขขึ้นมาได้
“เชียนเชียน ดอกเบญจมาศในวันนี้เ้าชอบหรือไม่” เป่ยเซวียนเฉิงกล่าวพลางยิ้มบาง “เ้าบอกว่าเ้าชอบความบริสุทธิ์และความสูงส่งของดอกเบญจมาศที่สุด และหากต้องแต่งงาน ในงานก็ต้องประดับด้วยดอกเบญจมาศ”
เขาถือโอกาสเด็ดดอกไม้ในแจกันออกมาหนึ่งดอก กลีบดอกไม้ที่ปลิวว่อนไปทั่วนั้นช่างสวยงาม และไม่รู้ว่าเป็กลีบของดอกไม้พันธุ์ใด แม้ว่าจะแปลกประหลาดไปบ้าง แต่ก็ผลิบานได้อย่างสวยงามและถือว่าเหมาะสมกับบรรยากาศเฉลิมฉลองนี้
ในยามนี้ดอกเบญจมาศยังคงเป็ดอกไม้ที่เรียบง่ายและบริสุทธิ์ แม้กระทั่งยามที่อยู่ในพิธีศพ ในงานนั้นก็ล้วนมีเพียงดอกเบญจมาศสีขาว เฉกเช่นเดียวกับดอกไม้สดสวยซึ่งทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาอย่างในวันนี้
เหยาเชียนเชียนดึงหน้ายิ้มแห้ง แม้ว่านางจะเข้าใจเหตุผลทั้งหมด ทว่าก็มีข้อบกพร่องมากเกินไปจริงๆ
เ้าของร่างเดิมชอบดอกเบญจมาศเป็เื่ที่สามารถเข้าใจได้ ดอกเบญจมาศเป็หนึ่งในสี่บุรุษแห่งมวลบุปผา [3] ผู้คนมากมายล้วนชื่นชอบลักษณะของมัน ทว่าในงานแต่งงานซึ่งเต็มไปด้วยดอกเบญจมาศ ไม่ว่าอย่างไรก็ดูประหลาดไม่น้อย
อีกอย่างคือนางไม่ใช่เ้าสาว หรือว่านี่จะเป็การบอกซ่งอีอีอย่างชัดเจนว่างานแต่งงานครั้งนี้ซ่งอีอีเป็เพียงผู้มาร่วมงานเท่านั้น ที่จริงแล้วเปลี่ยนตัวเป็ผู้ใดก็เหมือนกันอย่างนั้นหรือ?
“เหตุใดเปิ่นหวังถึงไม่รู้ว่ามาก่อนเลยว่าหวังเฟยชอบดอกเบญจมาศ” ชิงผิงอ๋องขมวดคิ้วพลางเหลือบตามองและกล่าวด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “ในสวนของหวังเฟยเต็มไปด้วยดอกไห่ถัง เปิ่นหวังชอบ หวังเฟยก็ชอบเช่นกัน ไม่ใช่ว่าพี่สามจำผิดไปหรือ อีกทั้งยังจำผิดมาหลายปี”
เป่ยเซวียนเฉิงยกมุมปากขึ้น สายตาสงบนิ่ง “เชียนเชียนชอบสิ่งใด ผู้อื่นจะรู้ได้อย่างไรเล่า”
ผู้อื่นอย่างนั้นหรือ เป่ยเหลียนโม่ถือโอกาสเกี่ยวเหยาเชียนเชียนเข้าสู่อ้อมแขนในรวดเดียว พลางก้มหน้าลงกระซิบจนแทบจะชิดใบหูของนาง
“หวังเฟยบอกไปสิว่าเ้าชอบดอกไม้ชนิดใดมากกว่ากัน”
เชิงอรรถ
[1] กลิ่นดินปืนที่ตลบอบอวล ใช้เปรียบเทียบถึงความขัดแย้งหรือทะเลาะกันรุนแรง
[2] ผลิดอกออกใบ ใช้อุปมาว่า ขยายพันธุ์ (ให้กำเนิด) ลูกหลานราวกับต้นไม้ที่เติบโต
[3] สี่บุรุษแห่งมวลบุปผา ได้แก่ ดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ไผ่ และดอกเบญจมาศ
