หลังจากทานข้าวเย็นกันเสร็จ คนในครอบครัวก็เริ่มถกเถียงกันว่าควรจะแก้ไขเื่นี้อย่างไร ป้าใหญ่้าให้บ้านเต๋อซิงชดใช้ค่าเสียหาย ไม่เช่นนั้นคงยากที่จะมองหน้ากันต่อไปได้
กู้เจิงก็เห็นด้วย แต่ผู้าุโคนอื่นๆ ไม่ได้ถามความเห็นของนาง กู้เจิงเลยนั่งฟังเงียบๆ
“ญาติของบ้านเต๋อซิงคนนั้นเป็เ้าหน้าที่บัญชีในจวนกงเจวี๋ยไหนกัน? เขาทำเป็โอหังอวดดีมาหลายปีแล้ว ชาวบ้านก็โดนพวกเขาทำท่าจองหองใส่” พ่อเฒ่าเสิ่นถามขึ้นมา
“ข้าก็กำลังอยากจะถามอยู่เหมือนกัน” ลุงสามพูดเสริมขึ้นมา
ป้ารองหยิบถั่วลันเตากับเมล็ดแตงโมออกมาวางไว้บนโต๊ะเพื่อให้ทุกคนแกะกินกัน
กู้เจิงชอบกินเมล็ดแตงโมมาก นางเห็นเสิ่นเยี่ยนมัวแต่ดื่มชา จึงแกะเมล็ดแตงโมแล้วยื่นให้เขา ยามเขามองมานางก็ส่งยิ้มหวานให้
“ตระกูลเซี่ยกงเจวี๋ย” ลุงใหญ่กล่าว
“เซี่ยกงเจวี๋ย? จวนแม่ทัพใหญ่เซี่ยอวิ้นเทพาแห่งต้าเยว่ของเรางั้นหรือ?” ลุงรองถาม
“ใช่แล้ว จะเป็ใครได้อีก บ้านเต๋อซิงเลยจองหองพองขนได้ขนาดนี้” ลุงใหญ่พูดอย่างโมโห
ถั่วลันเตาในมือนายหญิงเสิ่นหล่นลงบนโต๊ะ นางรีบหยิบขึ้นมาแกะเปลือกอย่างเป็ปกติ เพียงแต่เปลือกนั้นแกะยังไงก็แกะไม่ออก ใบหน้าของนางซีดเผือดลง ทุกคนพูดคุยกันโดยไม่ทันได้สังเกตนาง มีเพียงเสิ่นเยี่ยนที่ลอบมองมารดาตัวเองเงียบๆ ยามได้ยินคำว่าเซี่ยอวิ้น
ที่เรียกกันว่า ‘หนึ่งคนบรรลุเซียน ไก่สุนัขลอยขึ้น์*’ คงเป็เช่นนี้กระมัง แค่มีญาติที่ได้ดิบได้ดี ก็กล้าเอาชื่อเสียงของเขามาโอ้อวดถือดี กู้เจิงรู้สึกว่านิสัยของคนเช่นนี้ไม่น่าคบหาเอาเลย
(*หมายถึง หากใครคนใดคนหนึ่งได้ดิบได้ดี ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็จะพลอยได้รับผลดีไปด้วย)
กู้เจิงปล่อยให้พวกผู้ใหญ่เถียงกันไป นางนั่งมองหิมะที่ตกหนักนอกหน้าต่าง กำลังคิดจะชวนชุนหงออกไปปั้นตุ๊กตาหิมะเล่นกัน ก็ได้ยินป้าใหญ่พูดกับเสิ่นเยี่ยนว่า “อาเยี่ยน เ้ากับอาเจิงกลับไปก่อนเถอะ เอาน้ำแกงไก่ไปฝากเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ในร้านข้าด้วย ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นได้กินข้าวหรือยัง”
เสิ่นเยี่ยนตกลง เขารับตะกร้าไม้ไผ่ที่ป้าใหญ่ส่งมาให้
“พี่สะใภ้ใหญ่ เสี่ยวเหมาเอ๋อร์เขาเป็ยังไงบ้าง?” จู่ๆ ป้าสามก็ถามขึ้นอย่างห่วงใย
ป้าใหญ่ถอนหายใจ “ก็ไม่ดีสักเท่าไหร่หรอก แต่เขาทำงานอยู่กับข้าอย่างน้อยก็ไม่อดตาย เขาชอบอ่านหนังสือที่อาเยี่ยนมอบให้อย่างมาก และยังชอบเรียนรู้มาก”
ป้าสามกับลุงสามมองหน้ากัน ก่อนที่ลุงสามจะเอ่ยกับทุกคนว่า “ข้ากับภรรยาปรึกษากันแล้ว คิดว่าจะยอมรับข้อเสนอของผู้นำตระกูล รับเสี่ยวเหมาเอ๋อร์มาเป็บุตรบุญธรรม”
ทุกคนในตระกูลเสิ่นอึ้งไปตามๆ กัน เพราะก่อนหน้านี้ไม่ว่าอย่างไรป้าสามก็คัดค้านในเื่นี้มาโดยตลอด
กู้เจิงก็ประหลาดใจเช่นกัน แต่นางคิดว่าป้าสามคงจะปล่อยวางเื่ในอดีตได้แล้ว เลยคิดจะรับเลี้ยงเสี่ยวเหมาเอ๋อร์
ทุกคนในตระกูลเสิ่นต่างดีใจมากโดยเฉพาะป้าใหญ่ จนแม้แต่ความขุ่นเคืองเื่เป็ดกับไก่ที่ตายก็ถูกลืมไปชั่วขณะหนึ่ง นางหันมาบอกเสิ่นเยี่ยนกับกู้เจิงว่า “ตอนพวกเ้าเอาน้ำแกงไก่ไปให้เขา ก็บอกข่าวดีนี้กับเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ด้วยนะ”
“ท่านป้าใหญ่วางใจเถอะเ้าค่ะ ข้าต้องบอกแน่นอน” กู้เจิงยิ้ม นางเองก็ดีใจกับเสี่ยวเหมาเอ๋อร์เช่นกัน
กู้เจิงกับเสิ่นเยี่ยนพากันเดินไปที่ร้านของป้าใหญ่ เพื่อไปบอกข่าวดีแก่เสี่ยวเหมาเอ๋อร์
“เสี่ยวเหมาเอ๋อร์จะต้องมีความสุขมากแน่ๆ” กู้เจิงเงยหน้ามองเค้าหน้าอันเ็าและประณีตของสามี มือของเขาข้างหนึ่งถือร่มกำบังหิมะให้นาง ส่วนอีกมือก็ถือตะกร้าไม้ไผ่
“เมื่อไม่กี่วันก่อนเสี่ยวเหมาเอ๋อร์มาหาข้าที่ค่ายทหาร แต่ข้าไม่ได้ไปที่ค่าย เขาก็เลยฝากให้หลี่หนานมาบอกข้า” เสิ่นเยี่ยนเห็นเกล็ดหิมะตกบนไหล่ของภรรยา เขาจึงส่งตะกร้าไม้ไผ่ให้ชุนหงถือ ก่อนจะยื่นมือไปปัดเกล็ดหิมะบนไหล่ของภรรยาออก
กู้เจิงกะพริบตารอฟังคำพูดถัดไป “เขาไปหาท่านทำไมหรือเ้าคะ?”
“เขาท่องหนังสือที่ข้าให้เขาได้หมดแล้ว”
กู้เจิงเบิ่งตาใ
“เ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนที่พวกเราเอาทรายไปให้ท่านป้ารอง ข้ารับปากเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ว่าอย่างไร?”
คำพูดของเสิ่นเยี่ยนทำให้กู้เจิงถึงนึกขึ้นได้ เขาเคยรับปากเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ไว้ว่า หากท่องหนังสือได้ทั้งหมด ก็จะให้เด็กคนนั้นเข้าร่วมค่ายทหาร นางถามด้วยความตื่นเต้นว่า “เช่นนั้นท่านจะให้เขาเข้าร่วมค่ายทหารหรือเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้ารับ “ในเมื่อข้าสัญญาแล้ว ย่อมต้องเป็ไปตามนั้น”
“แล้วท่านป้าสามเล่าจะว่ายังไง?”
“อยู่ที่การเลือกของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์เอง”
เื่ใหญ่แบบนี้จะให้เด็กเลือกเองงั้นหรือ? นี่มันอาจจะเกินตัวเขาไปหน่อย กู้เจิงคิดว่าอายุอย่างเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ เขาน่าจะเลือกครอบครัวมากกว่า
ร้านอยู่ตรงเบื้องหน้า เมื่อเดินมาถึงหน้าร้าน ชุนหงก็เข้าไปเคาะประตู ไม่นานก็มีแสงไฟรอดออกมาจากภายในร้าน เสียงระแวดระวังของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ดังขึ้น “ใครน่ะ?”
“เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ ข้าเอง คุณหนูกับท่านบุตรเขยของข้าเอาน้ำแกงไก่มาให้เ้า ยังร้อนๆ อยู่เลย” ชุนหงเอ่ยตอบ
ประตูเปิดออก
ไม่ได้เจอกันเดือนเดียว ดูเหมือนเด็กคนนี้จะยิ่งเงียบขรึมมากขึ้น แต่เมื่อเขาเห็นเสิ่นเยี่ยน ดวงตาก็เปล่งประกาย “พี่เสิ่นเยี่ยน?”
ทั้งสามคนเดินเข้าไปในร้าน หลังจากประตูร้านปิดลง ชุนหงก็หยิบน้ำแกงไก่ที่ยังร้อนออกมาวางไว้ให้เสี่ยวเหมาเอ๋อร์
“ข้ากินข้าวเย็นแล้วขอรับ” เสี่ยวเหมาเอ๋อร์บอก ทว่าดวงตากลับจ้องน้ำแกงไก่ตลอดเวลา
กู้เจิงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “น้ำแกงไก่กินตอนร้อนๆ ถึงจะอร่อย ต่อให้เ้ากินข้าวเย็นแล้ว ก็ลองชิมน้ำแกงสักหน่อยเถอะ”
“กินเถอะ รอจนเ้ากินเสร็จก็จะบอกเื่ที่เ้าจะเป็ทหาร” เสิ่นเยี่ยนกล่าวเสียงเรียบ
พอได้ยินเสิ่นยี่ยนพูดถึงทหาร เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ก็รีบนั่งลงหยิบตะเกียบและเริ่มกินน้ำแกงไก่
กู้เจิงฉวยโอกาสนี้สำรวจเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ เขาดูอ้วนกว่าครั้งก่อนเล็กน้อย สภาพจิตใจก็เหมือนจะดีขึ้นมาก ดูท่าป้าใหญ่จะรักเด็กคนนี้จากใจจริง
“กินเสร็จแล้วขอรับ” เสี่ยวเหมาเออ่ร์วางตะเกียบลง เขาคิดจะเช็ดปากด้วยแขนเสื้อตามปกติ
กู้เจิงเห็นดังนั้น จึงจับแขนที่ยกหมายจะเช็ดปาก นางหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาเช็ดปากให้เขา เสี่ยวเหมาเออ่ร์มีท่าทางเขินอายเล็กน้อย นางจึงยิ้มให้บางๆ
“หลี่หนานบอกสิ่งที่เ้าพูดฝากไว้กับข้าหมดแล้ว ในเมื่อข้าสัญญากับเ้าว่าตราบใดที่เ้าท่องหนังสือที่ข้าให้ได้แล้วก็จะให้เ้าเข้าร่วมค่ายทหาร ข้าก็ย่อมไม่คืนคำ” น้ำเสียงเ็าของเสิ่นเยี่ยนอ่อนลงหลายส่วนเมื่อเขาพูดคุยกับเด็ก
เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ดีใจอย่างมาก
“แต่เ้ายังมีอีกหนึ่งทางเลือก” เสิ่นเยี่ยนกล่าวขึ้นเรียบๆ “ลุงสามกับป้าสามของข้า้ารับเ้าเป็บุตรบุญธรรม”
เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ตกตะลึง “ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่้าข้าหรอกหรือขอรับ?”
“ใช่ ก่อนหน้านี้ท่านป้าสามคิดว่าตนเองจะมีลูกได้” เสิ่นเยี่ยนเอ่ยต่อ “แต่ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าทั้งชีวิตนี้นางไม่สามารถมีลูกได้ จึงคิดจะรับเ้า”
พูดแบบนั้นกับเด็กได้อย่างไรกัน? กู้เจิงไม่คิดว่าเขาจะพูดตรงๆ แบบนี้ ถึงแม้จะเป็ความจริง แต่เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ฟังแล้วจะรู้สึกยังไง?
เสี่ยวเหมาเอ๋อร์เม้มปากแน่น สองมือเล็กกำเข้าหากัน
“เ้าเคยเจอท่านลุงสามกับท่านป้าสามมาก่อน พวกเขาเป็คนดี หากเ้ายอมรับพวกเขาในฐานะพ่อแม่ พวกเขาจะต้องเห็นเ้าเป็ดั่งลูกแท้ๆ แน่นอน และจะส่งเสียค้ำจุนเ้าให้เติบโตเป็ผู้ใหญ่ที่ดี” เสิ่นเยี่ยนหวังว่าเด็กคนนี้จะกลับไปมีชีวิตสดใสดังเดิมได้
เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ไม่พูดไม่จา เขาเอาแต่มองพื้น
“หนึ่งคือค่ายทหาร อีกหนึ่งคือบ้าน เ้าเลือกเอาเอง”
“ข้าไม่มีบ้านแล้ว” เมื่อได้ยินคำว่าบ้าน เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ก็สะอึกสะอื้น “หลังจากที่พ่อแม่ตาย ข้าก็ไม่มีบ้านอีกแล้ว ท่านลุงสามกับท่านป้าสามก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ เพราะไม่มีลูกของตัวเองถึงได้มาเลือกข้า ความเมตตาเช่นนี้ข้าไม่้าขอรับ”
กู้เจิงสลดใจ
“ถ้าพวกเขาใจดีขนาดนั้น ทำไมไม่รับเลี้ยงข้าั้แ่แรก?” เสี่ยวเหมาเอ๋อร์เงยหน้ามองเสิ่นเยี่ยน เขาสะอื้นไห้พลางเอ่ยต่อไปอีกว่า “ที่ตอนนี้จะรับเลี้ยงข้า ก็แค่เพราะหมดหนทาง ข้าไม่้าความเมตตาแบบนี้ขอรับ”
“เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ อย่างแรกเ้าต้องเติบโตก่อน” เสิ่นเยี่ยนพูดเสียงเรียบ
กู้เจิงมองสามี คำพูดนี้นางฟังดูแล้วออกจะโหดร้ายอยู่บ้าง
“ข้าโตได้ด้วยตัวเองขอรับ”
เสิ่นเยี่ยนดึงเสี่ยวเหมาเอ๋อร์มาตรงหน้า “ที่ข้าบอกว่าเติบโต คือสามารถไปเรียนได้อย่างมีความสุขในทุกวัน เวลามีความสุขก็มีเพื่อนให้ร่วมแบ่งปัน เวลาเศร้าก็มีคนคอยปลอบใจอยู่ข้างๆ แต่ไม่ใช่โตมาคนเดียวในเงามืด”
“ข้ายังจะโตขึ้นอย่างมีความสุขได้อยู่หรือขอรับ?” เสี่ยวเหมาเอ๋อร์หลั่งน้ำตา “พวกเขาจะปฏิบัติต่อข้าด้วยใจจริงเหมือนพ่อแม่ของข้าใช่ไหมขอรับ?”
“เ้าโตขึ้นอย่างมีความสุขได้ ขอเพียงเ้าเปิดใจ” เสิ่นเยี่ยนพูดอย่างมั่นใจ
เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็เงยหน้าเช็ดน้ำตา มองเสิ่นเยี่ยนอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “พี่เสิ่นเยี่ยน ข้ากลัวว่าพอพวกเขาเลี้ยงดูข้าแล้วจะไม่ชอบข้า ข้าจึงตัดสินใจจะเป็ทหารขอรับ”