เล่มที่ 3 บทที่ 67
ในครัวเล็ก มู่หรงฉิงสอนชุนรุ่ยและชิวเหอทำขนมอบไส้ผลไม้โดยไม่หวงความรู้แม้แต่น้อย ทางด้านปี้เอ๋อร์นั้นทำหน้าที่ของตนเองและคอยสังเกตจากมุมหนึ่งอย่างระมัดระวัง
“เ้าสามารถเพิ่มสับปะรดลงไปได้เล็กน้อย สับปะรดในฤดูกาลนี้กินแล้วจะสดชื่นมาก” ในจังหวะที่มู่หรงฉิงกำลังอธิบายถึงการทำขนมอบไส้สับปะรดกับชุนรุ่ย อยู่ๆ ปี้เอ๋อร์ก็สาวเท้าเข้ามาหา “คุณหนูใหญ่ มาแล้ว”
“โอ้? มาช้ากว่าที่ข้าคิดไว้มาก” กล่าวด้วยรอยยิ้มเ็า ก่อนจะสั่งกำชับชุนรุ่ยและชิวเหอให้ไปที่เตาเพื่อดูไฟ ทางด้านมู่หรงฉิงและปี้เอ๋อร์ยังคงทำขนมอบกันต่อไป
ยังไม่ทันได้นวดขนมปังจนเสร็จ จังหวะนั้นกลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วเข้ามา ตามด้วยเสียงของชุ่ยเอ๋อร์ซึ่งดังขึ้นพร้อมๆ กัน “ฮูหยินน้อย แม่รองเฉินมาหาฮูหยินน้อย”
“แม่รองเฉินหรือ?” ราวกับว่านางไม่คาดคิดว่าแม่รองเฉินจะมาหาอย่างไรอย่างนั้น มู่หรงฉิงรีบวางงานในมือพลางหันไปล้างมือ จากนั้นปี้เอ๋อร์จึงคอยช่วยประคองนางออกจากครัวเล็ก
ทันทีที่มู่หรงฉิงออกจากครัวก็เห็นแม่รองเฉินยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดินในชุดเสื้อสีเขียว
่เที่ยงแดดแรงมาก แสงแดดสาดส่องลงบนกระโปรงของแม่รองเฉินทำให้เห็นเป็ชั้นของคลื่นน้ำสีเงินขณะสายลมพัด ระลอกคลื่นบนกระโปรงดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาซึ่งดูดีมากจริงๆ
แม่รองเฉินเกล้าผมทรงก้อนเมฆโดยเสียบปิ่นปักผมลายดอกบ๊วยสีทองบนกลุ่มผม แกนดอกบ๊วยทำจากหินแร่ผลึกซึ่งส่องประกายระยิบระยับตามการเคลื่อนไหว ที่สำคัญแสงนั่นดึงดูดสายตาเป็อย่างมาก
ใบหน้าขาวเนียนละเอียดอ่อน ไร้ร่องรอยแห่งกาลเวลา อาจเป็เพราะนางยังไม่เคยมีบุตร รูปร่างทรวดทรงองค์เอวจึงยังดูงดงาม ยามชม้ายชายตาก็ปรากฏรอยยิ้มทรงเสน่ห์น่าสะดุดตา
“แดดแรงถึงเพียงนี้ แม่รองเฉินมาที่นี่ได้อย่างไร?” เมื่อแม่รองเฉินกะพริบตาและหันมามอง มู่หรงฉิงก็รีบสาวเท้าเดินไปหาทันที
จังหวะที่มู่หรงฉิงเข้ามาใกล้ แม่รองเฉินก็จับมือของมู่หรงฉิงด้วยท่าทางเป็ห่วง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความรักและความเห็นอกเห็นใจ "ข้าได้ยินมาว่า เมื่อคืนเ้าเป็ลมหมดสติอีกแล้ว ข้าย่อมเป็ห่วงเ้า? ได้ยินมาว่าเมื่อเช้า เ้าก็นอนหลับหมดสติจึงกลัวว่าจะเป็การรบกวนเวลาพักผ่อนของเ้า ข้าจึงไม่ได้มาหา"
ระหว่างพูด นางดึงมู่หรงฉิงไปที่ศาลาในสวนหลังเรือน
ทั้งคู่นั่งในศาลา ปี้เอ๋อร์ค้อมตัวคำนับก่อนจะสั่งให้คนยกผลไม้เข้ามาที่นี่
หลังจากผลไม้จานใหญ่สองสามจานถูกวางลงบนโต๊ะพร้อมน้ำชา มู่หรงฉิงถึงได้พูดอย่างเนิบช้าว่า “รบกวนแม่รองให้ต้องวิตกกังวลแล้ว นั่นเป็เพราะโกรธจนเป็ลมไปชั่วเวลาหนึ่ง ทว่าตอนนี้ก็ไม่เป็ไรแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าแม่รองเฉินจะเป็ห่วงฉิงเอ๋อร์เช่นนี้ ฉิงเอ๋อร์เคยคิดว่า ฉิงเอ๋อร์อยู่ในจวนแห่งนี้ก็เป็ได้แค่คนว่างงาน ไม่มีความสามารถสมตามชื่อเสียงก็เท่านั้น..."
“เ้าเด็กโง่ เ้าพูดอะไรโง่ๆ หรือ” แม่รองเฉินแสร้งทำเป็พูดตำหนิพลางจับมือของมู่หรงฉิง “ทำไมเ้าถึงได้คิดเช่นนั้นล่ะ? ฮูหยินและฮูหยินผู้เฒ่าทั้งรักและเป็ห่วงเ้าเช่นเดียวกัน เพียงแต่ในเวลานี้ยังคงโกรธอยู่ก็เท่านั้น รอเวลาผ่านไปสักสองสามวันย่อมไม่เป็ไรแล้ว”
“อืม ฉิงเอ๋อร์ทราบแล้ว” ยิ้มอย่างไม่เต็มใจก่อนทอดสายตามองดูใบบัวในสระน้ำ ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเ็ป “ไม่ใช่เพราะฉิงเอ๋อร์ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ยวี้เอ๋อร์ติดตามฉิงเอ๋อร์เป็เวลานานกว่าสิบปี ย่อมไม่มีใครรู้จักนางที่เป็คนจิตใจดีและไร้เดียงสาไปมากกว่าฉิงเอ๋อร์อีกแล้ว บางทีอาจเป็ความโง่เขลา แต่ข้าไม่เชื่อว่าในโลกนี้จะมีคนชั่วจริงๆ นางอยู่เคียงข้างข้าทุกวัน และถึงแม้นางจะพูดจาไร้สาระ ทำให้ผู้คนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อยู่เสมอ ถึงกระนั้นนางก็ทำให้ข้าวางใจได้มากที่สุด ในบรรดาบ่าวและแม่นม คนที่ใส่ใจข้าและสนิทสนมกับข้ามากที่สุดก็คือยวี้เอ๋อร์"
จบประโยคนั้น แม่รองเฉินถึงกับถอนหายใจราวกับนางกำลังระงับความเ็ปในหัวใจของตนเองอย่างไรอย่างนั้น
แม่รองเฉินตบมือของมู่หรงฉิงเบาๆ พร้อมถอนหายใจอีกคำรบ แต่สายตาของนางกลับชำเลืองมองไปทางปี้เอ๋อร์ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังมู่หรงฉิง
ครั้นเห็นว่าใบหน้าที่น่ามองของปี้เอ๋อร์เปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ ทั้งที่เ้าตัวลดสายตาลงแล้วทว่าแม่รองเฉินคล้ายจะเห็นความเกลียดชังในสายตาของปี้เอ๋อร์ได้อย่างชัดเจน
ยิ้มในใจและถอนหายใจอีกหน "รวมๆ แล้ว บ่าวคนสนิทที่เคียงข้างก็มีจำนวนไม่มาก แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือคุณชายรองกลับลงมือทำเช่นนั้น และจ้าวจื่อซินก็เช่นเดียวกัน คนถูกเฆี่ยนาเ็แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังใช้เท้าบดขยี้ฝ่ามือ โธ่... ลำบากยวี้เอ๋อร์เ้าเด็กคนนั้นแล้วจริงๆ... "
คำพูดของแม่รองเฉินเหมือนจะััถึงความโกรธระคนกลัดกลุ้มใจของมู่หรงฉิงได้ เห็นมือขาวเนียนของนางสั่นเล็กน้อยราวกับว่านางกำลังพยายามระงับความโกรธของตนเองก็มิปาน
“เด็กดี อย่าคิดมากเช่นนั้นเลย เมื่อหลายอึดใจก่อนข้าไปหาเ้าเด็กยวี้เอ๋อร์คนนั้นมาแล้ว นางดูเป็คนน่ารักไม่น้อย นอกจากนั้นข้าได้ไปหาหมอประจำจวนและรับยามาบางส่วนแล้ว ถึงแม้ว่าหมอประจำจวนไม่สามารถให้ยาแก่ยวี้เอ๋อร์ได้ แต่ยานั่นข้าเป็คนนำไปให้ เขาเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเลี่ยงการรักษา” หลังจากพูดเช่นนั้น ก็หันไปมองทางหลิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “อ้อ ครู่ก่อนเก็บปิ่นปักผมไข่มุกรูปดอกไม้ที่ตกอยู่ในห้องเก็บฟืนได้ ให้ฮูหยินน้อยดูสิว่า เป็ปิ่นปักผมที่ฮูหยินน้อยทำตกไว้หรือไม่?"
หลิงเอ๋อร์ตอบรับ จากนั้นหยิบปิ่นปักผมออกมาจากแขนเสื้อของนาง รูปลักษณ์ของปิ่นปักผมไข่มุกอันนั้นเรียบง่ายธรรมดาเป็อย่างมากเนื่องด้วยมันทำจากไข่มุกสีชมพูเก้าเม็ดเท่านั้น
เมื่อเห็นปิ่นปักผม มู่หรงฉิงก็ยกมือขึ้นแตะบนศีรษะของตนเองโดยสัญชาตญาณ "หยี ข้าไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าทำปิ่นปักผมหล่นหาย"
มู่หรงฉิงออกอาการงุนงงราวกับไม่รู้อะไรเลย แต่ทันทีที่ปี้เอ๋อร์เห็นปิ่นปักผมไข่มุกรูปดอกไม้อันนั้น สีหน้าของนางกลับปรากฏความสงสัย จากนั้นนางเหลือบสายตาไปทางห้องเก็บฟืนและดวงตาของนางก็มีประกายแห่งความตื่นตระหนก
แม่รองเฉินหยิบปิ่นปักผมส่งคืนไปยังมือของมู่หรงฉิง ทว่าสายตากลับสังเกตสีหน้าและอากัปกิริยาของทั้งสองคน “อาจจะทำตกเมื่อวานกระมัง? ถ้าทำตกลงบนหญ้าแห้งและไม่ได้มองอย่างระมัดระวัง คงเป็เื่ยากจริงๆ ที่จะพบมันได้”
“ไม่น่าจะทำตกได้ ในเวลาที่หมอมาตรวจชีพจรของข้าเมื่อคืน มันก็ยังอยู่บนศีรษะจากนั้นข้าได้ขอให้ปี้เอ๋อร์ดูแลรับใช้ข้าอาบน้ำหลังจากที่หมอประจำจวนออกไปแล้ว ตอนนั้นข้าถึงได้ถอดปิ่นปักผมออก” มู่หรงฉิงเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น แต่ั์ตาของนางกลับมีแสงเย็นเล็กน้อย
หลังจากปักปิ่นไว้บนศีรษะดังเดิมแล้ว มู่หรงฉิงก็อ้างว่าตนไม่สบาย แม่รองเฉินย่อมไม่สะดวกที่จะอยู่คุยเป็เวลานานจึงลุกขึ้นและขอตัวลา
คล้อยหลังแม่รองเฉิน มู่หรงฉิงก็ลุกขึ้นหันไปมองปี้เอ๋อร์อย่างเ็า “เป็ฝีมือของเ้าใช่หรือไม่? ยาพิษในแตงโมเป็ฝีมือของเ้าด้วยหรือไม่?”
ครั้นปี้เอ๋อร์ได้ยินคำถามของมู่หรงฉิง นางจึงคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความใทันที "คุณหนูใหญ่ โปรดตรวจสอบให้กระจ่าง บ่าวภักดีต่อคุณหนูใหญ่ บ่าวไม่คิดคดอย่างเด็ดขาด และบ่าวก็ไม่เคยคิดที่จะทรยศคุณหนูใหญ่แม้แต่เศษเสี้ยว"
--------------------------
เฉินเทียนหยูรีบกลับไปที่เรือนม่อเหอด้วยความว่องไว แม้กระทั่งหยาดเหงื่อก็ไม่คิดจะเช็ด เขาก้าวเท้าเข้าไปในเรือนพร้อมแผดเสียงะโดังลั่น "น้องหญิงของว่างเสร็จหรือยัง? ข้าอยากกินมาก"
ส่งเสียงถามพลางวิ่งเข้าไปในห้องครัวเล็ก แต่เขากลับไม่เห็นว่ามีคน ชายหนุ่มเกาศีรษะก่อนหันหลังกลับและเดินออกจากห้องครัวเล็ก จากนั้นสาวเท้าเดินไปที่ห้อง
เมื่อเดินผ่านประตูด้านหน้าของเรือนหลัก เขาได้เห็นปี้เอ๋อร์คุกเข่าอยู่ในลานเรือน นางกัดริมฝีปากแน่น มีเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงจากบนหน้าผาก ตกกระทบกับพื้นดินร้อนระอุก่อนจะระเหยไปในทันใด
บ่าวคนนี้ น้องหญิงรักมากไม่ใช่หรือ? แต่ทำไมถึงได้คุกเข่าอยู่ที่นี่?
แม้ว่าเขาจะงุนงง ถึงกระนั้นเขาก็ยังนึกถึงแต่ของว่างอยู่ดี เขาจึงวิ่งเข้าไปในห้องโดยไม่คิดจะเก็บความสงสัยนั้นมาใส่ใจ
จ้าวจื่อซินเดินตามมาทีหลังได้เห็นปี้เอ๋อร์คุกเข่าอยู่เช่นกัน ภาพนั้นทำให้เขาเลิกคิ้วขึ้น เ้านายและสาวใช้สองคนกำลังเล่นกลอะไรอยู่? ความคิดของผู้หญิงคนนั้นไม่ธรรมดาเสียด้วยสิ
“น้องหญิง ข้าคิดถึงเ้าแล้ว” ทันทีที่เฉินเทียนหยูเข้าไปในห้องก็เห็นมู่หรงฉิงนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ เขาปรี่เข้าไปกอดนางแน่น ใช้มือทั้งสองของเขาโอบรอบเอวของเด็กสาว ใบหน้าอันหล่อเหลาซึ่งชุ่มเหงื่อแนบชิดกับร่างกายของนาง
มู่หรงฉิงพูดไม่ออก คิดถึงข้าหรือ? เ้ายังไม่ได้เห็นของว่าง เ้าคิดถึงของว่างมากกว่ากระมัง?
ไม่นึกเลยว่า เ้าเฉินเทียนหยูผู้โง่เขลาจะสามารถพูดอ้อมค้อมได้
นางหัวเราะเบาๆ พลางผลักเฉินเทียนหยูออกไป ก่อนจะพูดกับชุนรุ่ยที่อยู่ด้านข้างว่า "เ้าไปเอาน้ำมา เช็ดเหงื่อให้คุณชายรองที"
“รับทราบ” ชุนรุ่ยคำนับและก้าวเท้าเดิน ทว่าหลังจากเดินไปไม่ถึงสองก้าว นางก็เห็นจ้าวจื่อซินเดินสวนเข้ามาจึงก้มศีรษะลงคำนับ ไม่เพียงแต่ไม่พูดเท่านั้นแม้กระทั่งสายตาก็น่ากระทืบ
จ้าวจื่อซินพูดพึมพำในใจพลางชายตามองชิวเหอ เขาเห็นชิวเหอยืนก้มหน้าลดสายตาอยู่ข้างหลังมู่หรงฉิง ทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้ เพิกเฉยต่อสายตาของตนโดยสิ้นเชิง
เฮอะ! น่าสนใจ นี่แค่เพิ่งเปลี่ยนเ้านายไม่นาน พวกนางก็ทิ้งเ้านายเก่าไปเสียแล้วหรือ?
ชุนรุ่ยนำน้ำเข้ามาแต่มู่หรงฉิงไม่ได้ใช้งานคนอื่น นางบิดผ้าเช็ดหน้าด้วยตัวเอง ก่อนจะเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของเฉินเทียนหยู "วันนี้แดดแรงมาก ออกไปข้างนอกก็ควรถือร่มไปด้วย ไม่เช่นนั้นิัจะถูกแดดเผา แล้วก็เจ็บด้วย"
เสียงของมู่หรงฉิงนุ่มนวลและอ่อนโยน เมื่อได้ฟังเสียงของนาง เฉินเทียนหยูจึงมีความสุขอย่างสุดจะพรรณนา
น้องหญิงปฏิบัติต่อเขาเป็อย่างดี นางทั้งดีทั้งหอม นอกจากนั้นน้องหญิงยังทำของว่างได้เก่งมากด้วย ทั้งยังใจดีกับเขา น้องหญิงเป็น้องหญิงที่ดีที่สุดในโลกแล้ว
เฉินเทียนหยูพูดพึมพำเช่นนั้นในใจ มิหนำซ้ำยังไม่ได้คิดอะไรนอกจากปรี่เข้าไปแนบริมฝีปากประทับลงบนริมฝีปากของมู่หรงฉิง ซึ่งการกระทำนั้นทำให้ใบหน้าและใบหูของมู่หรงฉิงแดงก่ำทันที เพียงแต่เฉินเทียนหยูกลับมองนางด้วยดวงตาใสสะอาดและแค่หรี่ตายิ้มมองผู้เป็ภรรยา "ตรงนี้ของน้องหญิงนุ่มมาก ข้าชอบมาก"
ชิงยวี่เพิ่งก้าวเท้าพรวดพราดเข้ามา และทันได้เห็นฉากอันเร่าร้อนทั้งยังได้ฟังเื่ราวความรักอันน่าประทับใจ ฝีเท้าของเขาถึงหยุดชะงักอยู่ชั่วครู่หนึ่งโดยไม่รู้ว่าตนควรจะเดินหน้าต่อไปหรือก้าวถอยออกไปดี?
“ถ้าเ้า้าเข้ามาก็เข้ามาเถอะ แต่ถ้าจะออกไปก็เชิญ ไม่เข้ามาและไม่ออกไป เ้า้าทำอะไรของเ้า?” จ้าวจื่อซินเห็นเฉินเทียนหยูโอบกอดมู่หรงฉิงและจูบเด็กสาวอย่างเปิดเผย เขาพลอยรู้สึกเหมือนมีไฟลุกโชนอยู่ในใจ ครั้นเห็นชิงยวี่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่บริเวณประตูจึงถามด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “ยังมีอะไรอีกที่ทำไม่ได้หรือ?”
“เ้า... เ้านาย... เ้านายของเ้านาย…” คำพูดอึกอักคล้ายลิ้นพันกันถูกเปล่งออกมา ทว่าสีหน้าของชิงยวี่ต้องตะลึงงันทันทีหลังจากเห็นมู่หรงฉิงแสร้งทำเป็สงบและมองมาทางเขา ชายหนุ่มรีบพูดว่า “ฮูหยินน้อย ปี้เอ๋อร์เป็ลมแล้ว”
“อืม พาเข้ามาเถอะ” ก่อนหน้ายังคาดเดาคำตอบของมู่หรงฉิง แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็ประโยคที่เ็าเช่นนั้น
ชิงยวี่เลื่อนสายตาไปมองจ้าวจื่อซิน เ้านาย... พวกเ้านายกำลังเล่นอะไรกันอีกหรือ?
จ้าวจื่อซินมองตอบกลับ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้ากำลังหงุดหงิดอยู่ เ้าอย่ามารบกวนข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะกระทืบเ้า
ชิงยวี่... ข้าไม่ควรจะมาที่นี่... ข้าไม่ควรจะมาที่นี่...
ชิงยวี่จึงไปอุ้มปี้เอ๋อร์ที่เป็ลมเข้ามาในห้องโถง ฝั่งชิวเหอก็ไม่ได้รีรอให้มู่หรงฉิงต้องเปิดปากสั่ง นางกับชุนรุ่ยเร่งเดินไปปิดประตูและหน้าต่างทันควัน
เฉินเทียนหยูไม่รู้สาเหตุ ได้แต่มองการเคลื่อนไหวของทั้งคู่ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพวกนางต้องปิดประตูและหน้าต่างทั้งที่ยังเป็กลางวันแสกๆ? แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นปี้เอ๋อร์ซึ่งเป็ลมหมดสติลุกพรวดขึ้นยืนทันที
“อ๊ะ... ศพกระตุก” ชิงยวี่ะโด้วยเท้าข้างหนึ่ง ทำท่าคล้ายเตรียมพร้อมที่จะจัดการกับปี้เอ๋อร์ซึ่งกลายเป็ 'ศพกระตุก' ได้ทุกเมื่อ
ฟากฝ่ายชุนรุ่ยกับชิวเหอซึ่งปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อย เห็นปี้เอ๋อร์ลุกขึ้น พวกนางจึงปรี่ไปข้างหน้าเพื่อช่วยเอาชุดหมอนซึ่งพันอยู่บนเข่าภายใต้กางเกงของปี้เอ๋อร์ออก ในเวลาเดียวกันก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำบิดหมาด เช็ดใบหน้าของปี้เอ๋อร์
“พี่ปี้เอ๋อร์วางใจได้ ยาของข้ารับรองได้ว่าผิวของพี่จะไม่ไหม้แม้จะถูกแดดเผา” เห็นปี้เอ๋อร์จัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ชิวเหอก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม้ว่าจะมีหมอนรองเข่าทำให้ไม่ส่งผลร้ายต่อขา แต่คุกเข่าเป็เวลานานเช่นนั้น ร้อนจริงๆ"
“ไปเอาแตงโมเย็นๆ มานี่เถอะ” มู่หรงฉิงดึงเฉินเทียนหยูให้ลุกขึ้นเดินไปนั่งลงที่โต๊ะ
ชุนรุ่ยพูดว่า 'อืม' ก่อนจะเข้าไปในห้องชั้นในกับชิวเหอ จากนั้นจึงนำหงส์เพลิงเย็นและจานของว่างเจ็ดแปดจานออกมา
ทันทีที่เห็นของว่าง ดวงตาของเฉินเทียนหยูก็เป็ประกาย เขารีบเอื้อมมือออกไปหยิบขนมอบสีเหลืองอ่อนหนึ่งชิ้น ขณะกำลังส่งมันเข้าปากเขากลับชะงักมือกะทันหัน พริบตาต่อมาขนมอบชิ้นนั้นก็ถูกส่งไปที่ริมฝีปากของมู่หรงฉิง
“น้องหญิง กิน”
มู่หรงฉิงมองเฉินเทียนหยูด้วยความประหลาดใจ แววตาของเขาฉายชัดถึงความอยากทานมาก แต่ไม่นึกเลยว่า เขากลับไม่ทานขนมอบที่หยิบขึ้นมา แต่ยื่นส่งให้นางทานก่อน
“น้องหญิงทำขนมเยอะถึงเพียงนี้ จะต้องเหนื่อยมากเป็แน่ น้องหญิงกินก่อน” กลืนน้ำลายเข้าไปหนึ่งอึก และทุกคนต่างก็ฟังออกว่าคำพูดเ่าั้มีความจริงจัง โดยไม่มีอาการเสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด
ชุนรุ่ยและชิวเหอมองเฉินเทียนหยูด้วยความประหลาดใจ พวกนางไม่นึกไม่ฝันว่าคนโง่งมคนนี้จะปฏิบัติต่อฮูหยินน้อย ดูเหมือนว่าข่าวลือจะไม่น่าเชื่อถือ ชิงยวี่ยังบอกกว่าคุณชายสองเกือบจะฆ่าฮูหยินน้อยหลายหนแต่จากสถานการณ์ มันจะเป็ไปได้อย่างไร? พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่าชิงยวี่จงใจพูดให้ผู้อื่นใ