เวลานี้ เย่เฟิง หลงหว่านเอ๋อร์ และหนานฟางออกจากเกาะและกลับมาถึงริมชายฝั่งในตอนแรกแล้ว เย่เฟิงใช้ทักษะอำพรางตาสร้างอาณาเขตให้ทุกคนซ่อนอยู่ด้านหลังหินขนาดใหญ่ไม่ไกลจากหมู่บ้านชาวประมง พวกเขาสังเกตเห็นว่าคนในยุทธจักรจำนวนไม่น้อยตามหาใครสักคนทั่วชายหาด แน่นอนว่าต้องกำลังตามหาพวกเขาสามคนอย่างไม่ต้องสงสัย
โชคยังดีที่เย่เฟิงใช้ทักษะอำพรางตาทำให้คนเ่าั้มองผ่านพวกเขาไป อีกทั้งยังซ่อนอยู่ด้านหลังหินขนาดใหญ่ ทำให้แม้แต่คนของสำนักความมั่นคงแห่งชาติก็ใช้เครื่องมือตรวจสอบร่องรอยของพวกเขาไม่พบ
“พวกเธอรออยู่ที่นี่ก่อนนะ ฉันจะไปดูาาปะการังที่อยู่ใกล้ๆ นี้หน่อย” เย่เฟิงหันไปบอกคนทั้งคู่
“ตกลง” หนานฟางพยักหน้า ตอนนี้เขาเริ่มเชื่อฟังคำพูดของเย่เฟิงอย่างเคร่งครัด
“ฉันจะไปกับนายด้วย” ทว่าหลงหว่านเอ๋อร์กลับไม่สบายใจ เธอพูดขึ้นด้วยความกังวล
ตอนแรกเย่เฟิงไม่อยากพาเธอไปด้วยเพราะเกรงว่าหากต้องเจออันตรายอาจทำให้ตัวเองลำบากมากขึ้น ทว่าเมื่อลองคิดอย่างถี่ถ้วน หลงหว่านเอ๋อร์คุ้นเคยกับคนในยุทธจักรเป็อย่างดี การพาเธอไปด้วยอาจคาดการณ์พฤติกรรมของคนอื่นได้ง่ายขึ้น
“ได้ หนานฟางนายศึกษาคัมภีร์รออยู่ที่นี่ ฉันจะพาเธอไปด้วย เดี๋ยวกลับมา” เย่เฟิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
นอกจากการไปสำรวจาาปะการังแล้ว เขายังคิดหาวิธีกำจัดลัวเฟิงจากสำนักหมัดเทวาด้วย ไม่เช่นนั้นหากปล่อยเสือเข้าป่า มันอาจกลับมาสร้างปัญหาให้เขาในภายหลัง
ทักษะล่องหน!
เย่เฟิงแผ่พลังลมปราณคลุมตัวเองและหลงหว่านเอ๋อร์ เมื่อใช้ทักษะล่องหนแล้วจึงเดินออกไป การล่องหนไม่อาจเทียบกับการสร้างอาณาเขตอำพรางตา เพราะมันอาจถูกคนของหน่วยงานความมั่นคงหรือคนในยุทธจักรค้นพบได้ง่ายมาก ฉะนั้นชายหนุ่มต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา
คนทั้งคู่เดินห่างจากหินก้อนใหญ่ที่ใช้ซ่อนตัว จากนั้นมุ่งหน้าไปบริเวณที่มีาาปะการัง
“าาปะการังอยู่ใต้ทะเลแถบนี้ เมื่อครึ่งเดือนก่อนมันถูกพบโดยบังเอิญ คืนนี้าาปะการังจะเติบโตเต็มที่แล้ว ทำให้คนในยุทธจักรเดินทางมาที่นี่จำนวนไม่น้อยเลย” หลงหว่านเอ๋อร์อธิบาย
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้า หาก้าผลประโยชน์จากาาปะการัง เขามีโอกาสแค่คืนนี้เท่านั้น หากผ่านคืนนี้ไปแล้วเขาจะไม่มีโอกาสที่สองอีก
ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปตามริมชายฝั่ง คลื่นทะเลซัดเข้าฝั่งไม่ขาดสาย ทำให้น้ำทะเลกระเซ็นโดนตัวพวกเขาจนหนาวไปถึงกระดูก
ยิ่งเวลาผ่านไปลมพายุก็รุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ทั้งยังมีฟ้าแลบต่อเนื่องจนท้องฟ้าสว่างวาบตลอดเวลา ในที่สุดฝนเม็ดใหญ่ก็เริ่มโปรยปรายลงมา เมื่อมองไปโดยรอบก็เห็นคลื่นทะเลปั่นป่วน ฝนห่าใหญ่กระหน่ำลงมา ปรากฏลักษณะคล้ายม่านน้ำซ้อนกันหลายชั้นจนทัศนวิสัยลดลงมาก
เสียงฟ้าคำรามทำให้เย่เฟิงพอคาดได้ว่าพายุลูกนี้คงจะอยู่อีกพักใหญ่ ไม่หายไปเร็วๆ นี้แน่
เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกก่อนนำไปคลุมไหล่ให้หลงหว่านเอ๋อร์ จากนั้นพาเธอมุ่งหน้าไปต่อ แม้พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจะกันฝนได้ ทว่ามันสิ้นเปลืองพลังมากเกินไป เขาต้องเก็บพลังเพื่อพร้อมรับการปะทะที่อาจเกิดขึ้น
ตำแหน่งของาาปะการังห่างไปอีกไม่ไกลแล้ว
เพียงไม่นานชายหนุ่มก็ห่างจากหมู่บ้านชาวประมงถึงสามกิโลเมตร ระยะไกลออกไปปรากฏกลุ่มคนผู้มีพลังแข็งแกร่งในยุทธจักร คนทั้งเจ็ดต่างหลับตาทำสมาธิอยู่ริมฝั่งชายหาดท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำ แต่ดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบต่อพวกเขาเลย
“ถึงแล้ว าาปะการังอยู่บริเวณนี้ ใต้ทะเลประมาณสองกิโลเมตร” หลงหว่านเอ๋อร์โน้มตัวไปหาเย่เฟิงก่อนกระซิบเสียงเบา “คนพวกนี้เป็ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ทำหน้าที่คุ้มกันาาปะการัง ทุกคนล้วนมีพลังบ่มเพาะไม่ต่ำกว่าห้าสิบปี ตระกูลถัง ตระกูลหลง วิหารดาบ์ และสำนักหมัดเทวาต่างส่งตัวแทนของตัวเองออกมาเพื่อคุ้มกันาาปะการัง...”
เย่เฟิงมองกลุ่มคนทั้งเจ็ดก็พบว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็ชายชรา
“พวกเขาเฝ้าอยู่แค่บนฝั่งเหรอ?” เย่เฟิงเห็นเช่นนั้นก็อดรู้สึกยินดีไม่ได้ เมื่อเป็เช่นนี้โอกาสที่เขาจะได้าาปะการังก็สูงขึ้นอีก!
แค่เขาใช้เคล็ดวิชาเต่าัอุดลมปราณก็จะอยู่ใต้ทะเลได้เป็เวลานาน เมื่อเทียบกับเหล่าผู้ฝึกวรยุทธ์คนอื่นแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีพลังบ่มเพาะมากน้อยเพียงใด ล้วนไม่สามารถอยู่ใต้น้ำได้ตลอดเวลา
“ใช่” หลงหว่านเอ๋อร์ครุ่นคิดสักพัก จากนั้นพยักหน้าตอบและพูดต่อ “พวกเรากลับกันเถอะ มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับสังเกตการณ์ติดตั้งไว้ใกล้าาปะการัง พวกเราไม่มีทางทำสำเร็จหรอก”
ว่ากันตามตรง หลงหว่านเอ๋อร์ยังไม่รู้จักความสามารถของเย่เฟิงดีพอ ทว่ามันก็เป็เื่ปกติ ถึงอย่างไรเธอก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็ผู้ฝึกวิถีเซียน
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้า ตอนนี้าาปะการังยังโตไม่เต็มที่นัก ไม่สู้เขากลับไปหมู่บ้านชาวประมงแล้วกำจัดลัวเฟิงให้สิ้นซากระหว่างรอเวลา
อาศัยตอนที่อีกฝ่ายได้รับาเ็จัดการเด็ดหัวมันซะ ถือเป็กฎการเอาชีวิตรอดในโลกเทวะ หากอยากมีชีวิตอย่างสงบย่อมไม่อาจปล่อยให้ศัตรูลอยนวลได้
ทั้งคู่มุ่งหน้ากลับหมู่บ้านชาวประมงอย่างเงียบเชียบภายใต้ทักษะล่องหน ขณะที่เย่เฟิงมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว เขาก็ใช้ทักษะอำพรางตาแปลงรูปลักษณ์ของตัวเองและหลงหว่านเอ๋อร์ทั้งการแต่งกาย ส่วนสูง และหน้ากากล้วนเปลี่ยนไปหมด เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย
เมื่อมาถึงทางเข้าหมู่บ้านชาวประมง เย่เฟิงเห็นจากระยะไกลว่าตอนนี้ในหมู่บ้านเต็มไปด้วยคนของสำนักความมั่นคงแห่งชาติ ภายใต้คำสั่งการของหลี่เฟิงที่นำกำลังมาโอ้อวดจนเต็มหมู่บ้าน
เหมือนชาวบ้านในหมู่บ้านจะถูกอพยพออกไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงคนของยุทธจักรที่รวมตัวกันอยู่ ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่าทีโอ้อวดกำลังของหลี่เฟิง ทุกคนก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
“พวกเราจะเข้าไปในหมู่บ้าน ไม่จำเป็ต้องซ่อนตัวแล้ว ไม่อย่างนั้นหากถูกพบในภายหลังอาจดึงดูดความสนใจจากพวกมันเกินไป” เมื่อเย่เฟิงตัดสินใจได้แล้วก็หันไปพูดกับหลงหว่านเอ๋อร์
“หา? แบบนั้นมันไม่...” หลงหว่านเอ๋อร์ใ แบบนั้นมันไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ?
“ไม่มีใครจำเราได้หรอก อีกอย่างพ่อของเธอและคนจากสำนักหมัดเทวาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย” เย่เฟิงกล่าวด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ชายหนุ่มใช้ทักษะอำพรางตาเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองและหลงหว่านเอ๋อร์ เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์เดิมที่ปรากฏตัวต่อหน้าหลี่เฟิงก่อนหน้านี้แล้ว สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือเป็ชายหญิงที่ใส่หน้ากากเท่านั้น
การสวมหน้ากากในยุทธจักรถือเป็เื่ปกติ เมื่อเย่เฟิงใช้จิตหยั่งรู้สำรวจทั่วบริเวณก็พบว่าภายในหมู่บ้านชาวประมงก็มีคนสวมหน้ากากเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นพวกเขาไม่ถือเป็จุดสนใจ เขา้าเข้าไปหาตัวลัวเฟิงเพื่อสังหารอีกฝ่ายแล้วค่อยถอนตัว!
ลงมือโดยไม่มีใครรู้เห็นและจากไปอย่างไร้ร่องรอย
ท่ามกลางสายฝนห่าใหญ่ พวกเขาจับมือกันเดินเข้าหมู่บ้าน
ท่ามกลางเสียงฟ้าคำราม เย่เฟิงสังเกตเห็นว่าแว่นกรอบทองของหลี่เฟิงแตกหักจากฝีมือใครบางคน ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำอย่างโหดร้าย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอารมณ์ไม่ดีเอาเสียเลย
“นาย ถอดหน้ากากออก!” หลี่เฟิงชี้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงประตูทางเข้าหมู่บ้านพร้อมแผดเสียงที่ฟังดูอันตรายราวกับแมงป่องที่จ้องคุกคาม
“ต้องขอโทษด้วยครับ ผมไม่สามารถถอดหน้ากากให้ได้” ชายหนุ่มคนนั้นตอบเสียงทุ้ม น้ำเสียงฟังดูอ่อนวัย อายุของเขาน่าจะประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี
“เป็คนของตำหนักไท่จี๋” หลงหว่านเอ๋อร์โน้มตัวกระซิบข้างหูเย่เฟิง “กำลังหลักของตำหนักไท่จี๋กำลังไปทำธุระที่อื่น ได้ยินว่ามาทะเลตะวันออกเพียงไม่กี่คน เพียงมาสอดแนมเท่านั้น ไม่คิด่ชิงาาปะการัง...”
เย่เฟิงพยักหน้า ตำหนักไท่จี๋เป็ถึงหนึ่งในสามสำนักใหญ่ในยุทธจักรกลับไม่คิดแย่งชิงาาปะการัง หรือจะมีเื่อื่นที่สำคัญกว่า?
“หึ ต่อต้านงั้นเหรอ ยิงปืน จับกุมตัวเขา!” เมื่อหลี่เฟิงได้ยินอีกฝ่ายปฏิเสธจึงโบกมือส่งสัญญาณทันที
ปัง! ปัง! ปัง!
กองกำลังด้านหลังหลี่เฟิงยิงปืนใส่เด็กหนุ่มหลายนัด แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ปืนเลเซอร์สีฟ้าแต่เป็ปืนระงับชีพจรเพื่อระงับพลังของเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มไม่สามารถหลบหลีกได้ทันทำให้โดนะุทั้งสามนัดเข้าไปเต็มๆ พลังลมปราณทั้งหมดในร่างถูกสะกดทันที!
จากนั้นเ้าหน้าที่สองนายเดินเข้าไปเปิดหน้ากากของเด็กหนุ่มที่ไร้แรงขัดขืน
ในสถานการณ์เช่นนั้น เหล่าผู้ฝึกวรยุทธ์ในหมู่บ้านต่างมองเมินทำเหมือนมองไม่เห็น เมื่อพวกเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเป็หลี่เฟิงจึงไม่้าข้องเกี่ยวด้วย สำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์ เมื่ออยู่ต่อหน้าเ้าหน้าที่ที่มีอาวุธจัดการพวกเขาครบมือเช่นนี้ก็ควรสงบเสงี่ยมเอาไว้ดีกว่า
เย่เฟิงรับรู้แรงบีบจากมือของหลงหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้