สำนักศึกษาเฉิงซวี่ถูกล้อมรอบด้วยูเาทั้งสามด้าน อีกด้านหนึ่งเป็แม่น้ำ ด้านในกว้างขวาง ทุกที่ของสำนักศึกษาล้วนออกแบบได้อย่างงดงาม มีหลายห้องที่ไม่เหมือนกับห้องเรียน แต่เหมือนร้านค้าสมบัติล้ำค่า ว่ากันว่าสำนักศึกษาเฉิงซวี่ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปลายราชวงศ์ซ่งใต้ นอกจากขุนนางที่ดูแลเื่การก่อสร้างในเมืองหยางโจวแล้ว ยังมีพระอีกสองรูปที่เดินทางมาจากเมืองญี่ปุ่นเพื่อมาศึกษาเล่าเรียนที่นี่ ใช้เวลาห้าปีในการก่อสร้างสำนักศึกษาแห่งนี้ให้เป็รูปเป็ร่าง ต่อมาทั่วแคว้นตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย สำนักศึกษาซึ่งสร้างไปแล้วกว่าครึ่งถูกทิ้งร้าง จนกระทั่งราชวงศ์ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้จึงเสร็จสมบูรณ์และถูกนำไปใช้งาน
สำนักศึกษาชายมีพื้นที่กว้างขวาง มีสถานที่สำหรับแข่งม้าและฝึกยิงธนู ส่วนสำนักศึกษาหญิงเดิมทีเป็โรงเตี๊ยมและโรงน้ำชาของอาจารย์ ั้แ่อดีตอาจารย์ใหญ่โฮ่วอี้เสนอแิ “สำนักศึกษาหญิง” จึงได้มีการสร้างกำแพงสูงที่ด้านข้างของสำนักศึกษาชายเพื่อแยกสำนักศึกษาชายและหญิงออกจากกัน ในเวลานั้นมีบัณฑิตหญิงหกคนแต่งกายเป็ชายและเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาชาย จึงได้กลายเป็กลุ่มบัณฑิตหญิงกลุ่มแรกของสำนักศึกษา
แต่ตอนนี้บัณฑิตหญิงได้สูญเสียจิติญญาแห่งการเรียนรู้ของเหล่าสตรีรุ่นก่อนที่ ‘ต้องเรียนรู้ไปจนตาย’ ทำให้อาจารย์ใหญ่โฮ่วอี้เปิดสำนักศึกษาหญิงโดยเฉพาะ พวกนางมองว่าสำนักศึกษาเป็โรงละครในถนนใหญ่ทางทิศใต้ ทุกวันมักจะรวมตัวกันวันละสองครั้งขึ้นไปบนเวทีเพื่อดึงดูดความสนใจของบัณฑิตชาย พวกนางทำให้บัณฑิตชายบางส่วนหน้าแดงและใจเต้นแรง เด็กหญิงเช่นนี้ก็เหมือนกับลูกแกะที่หลงทางซึ่งทำให้อาจารย์ต่างก็ส่ายหัวและถอนหายใจ เด็กหญิงครึ่งหนึ่งในสำนักศึกษาปัจจุบันก็เป็อย่างที่กล่าวมาข้างต้น มากกว่าแปดถึงเก้าส่วนล้วนเป็บัณฑิตที่ไม่ร่ำเรียนไม่มีวิชาความรู้อันใดและ ‘ไม่ได้รับการทดสอบก่อนเข้าศึกษา’
แน่นอนว่ายังมีคุณหนูรุ่นเยาว์อีกหลายคนที่มีชื่อเสียงเพราะเรียนรู้ความสามารถมาั้แ่เด็กเช่นคุณหนูสามกวนอวิ๋น คุณหนูสี่กวนจันเป็ต้น แม้ว่าพวกนางจะมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงและได้รับสิทธิพิเศษในการสอบเข้าสำนักศึกษา แต่พวกนางก็โยนสิทธิพิเศษดังกล่าวทิ้งไป และเดินเข้าห้องสอบอย่างสง่างาม พวกนางเข้าสอบพร้อมกับคุณหนูรุ่นเยาว์ที่มีฐานะครอบครัวต่ำกว่า จากนั้นพวกนางก็สอบผ่านด้วยพร์ที่แท้จริงของตัวเอง
อีกหนึ่งคือคุณหนูสามหลิงเมี่ยวอี้ นางเดินเข้าไปในห้องสอบโดยไม่พูดอะไรสักคำ หลังจากทำข้อสอบเสร็จนางก็ส่งม้วนกระดาษและจากไป จนกระทั่งอาจารย์ตรวจกระดาษข้อสอบเสร็จแล้ว หลิงเมี่ยวอี้ก็สอบผ่านด้วยคะแนนที่สูงมาก เมื่ออาจารย์ใหญ่ไป๋คัดลอกรายชื่อ เขาก็พบว่ามีชื่อหลานสาวของหลิงซื่อแห่งตระกูลหลิงอยู่ในนั้นด้วย ในหมู่ของสตรีชนชั้นสูง อู่อี้หยิงคุณหนูของตระกูลอู่ หนิวเหวินเป่าลูกสาวของอาจารย์หนิวถง และหานซินซินกับหานฉีฉีลูกสาวของผู้ว่าการาุโหานเฟยในเมืองหยางโจว พวกนางล้วนเป็เด็กสาวที่มีพร์ในด้านดีดฉิน เล่นหมากรุก วาดภาพแต่งบทกลอน เขียนอักษร มารยาท และดนตรีซึ่งความสามารถในด้านนี้พวกนางล้วนมุมานะเรียนมาั้แ่ยังเด็ก
ทันทีที่เด็กหญิงเหล่านี้มาถึงสำนักศึกษาพวกนางก็จับกลุ่มพูดคุยกัน หญิงสาวงดงามหลายคนที่มีเครื่องประดับและเสื้อผ้าสวยงามเลือกศาลาที่อยู่ใกล้ริมน้ำเพื่อนั่งด้วยกัน หลังจากแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อเสียของสวนดอกไม้ในสำนักศึกษาแล้ว พวกนางก็เหลือบมองไปที่เกี้ยวซึ่งกำลังวิ่งเข้ามาทางประตูใหญ่ของสำนักศึกษา หากคนที่มาเยือนนั้นเป็คนที่พวกนางรู้จักก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์กันถึงรูปโฉมภายนอกของคนผู้นั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ในขณะที่พวกนางกำลังชมทิวทัศน์อยู่นั้น ก็มีคนที่เดินผ่านไปมามองพวกนางราวกับเป็ทิวทัศน์ที่สวยงามของสำนักศึกษาก็ไม่ปาน ในใจก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก พวกนางก็เพลิดเพลินไปกับสิ่งนี้ไม่ใช่น้อย
ที่นี่เป็พื้นที่สาธารณะนอกสำนักศึกษาชายและสำนักศึกษาหญิง ปกติแล้วจะมีเพียงเหล่าคุณชายเท่านั้นที่จะมานั่งอ่านหนังสือและชมดู ‘ทิวทัศน์’ เมื่อเหล่าคุณชายมองไปที่ ‘ทิวทัศน์’ นั้น เหล่าคุณหนูที่รักนวลสงวนตัวหลังจากลงมาจากเกี้ยวแล้ว ก็จะใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือไม่ก็พัดปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งเอาไว้ เท้าเล็กๆ ของพวกนางเดินช้าๆ อย่างสง่างาม และมุ่งตรงไปที่สำนักศึกษาหญิงโดยไม่เหลียวกลับไปมอง ทิ้งให้เหล่าคุณชายตกอยู่ในภวังค์กับการมองแผ่นหลังอันงดงามของหญิงงามไปเช่นนั้น
อย่างไรก็ตามวันนี้เป็ข้อยกเว้น ประการแรกบัณฑิตชายและบัณฑิตหญิงกำลังจะเข้าร่วมพิธีเปิดเรียนในพื้นที่สาธารณะแห่งนี้ ประการที่สองอาจารย์ใหญ่เชิญซุนเหยียนปินผู้สอบได้อันดับสองในการเข้าร่วมการสอบขุนนางมาร่วมงานเปิดเรียนในครั้งนี้ด้วย เพื่อให้บัณฑิตรุ่นหลังเอาเป็เยี่ยงอย่าง ด้วยเหตุนี้เหล่าคุณหนูจึงรออยู่ด้านนอกสำนักศึกษาหญิงอย่างใจจดใจจ่อ
นอกจากงานเลี้ยงดูตัวซวีสุ่ยหลิวซางแล้ว ก็มีพิธีเปิดเรียนดังกล่าวที่จัดขึ้นปีละครั้ง เหล่าคุณหนูจึงต้องแต่งตัวให้เหมาะสมกับโอกาสสำคัญนี้ที่จะได้รวมตัวกับเหล่าคุณชายผู้สูงศักดิ์และร่ำรวย พวกนางหยิบไข่มุกแห่งรัตติกาลอันมีค่า อัญมณีสีเืของคุณยาย อัญมณีปะการังเืของบรรพบุรุษและเครื่องประดับเงินและทองที่มีค่าที่สุดของสินเดิมฝ่ายหญิง ของล้ำค่าเหล่านี้ล้วนถูกประดับไว้บนศีรษะเสื้อผ้าและรองเท้าปักของพวกนาง
เมื่อมองไปที่ทิวทัศน์อันงดงามแห่งการประชันความงามก็ทำให้ผู้ที่ได้เห็นต่างเอ่ยชื่นชม ความงามของวัยเยาว์นั้นทำให้ผู้คนสะดุดตา แต่อาจารย์ชราบางท่านที่สอนอยู่ในสำนักศึกษามานานกว่าสิบหรือยี่สิบปีนั้นอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถอนหายใจให้กับจิตใจคนที่ไม่เหมือนในอดีต เป็ดั่งสายน้ำไหลสู่ที่ต่ำ ตอนพวกเขายังเด็ก เหล่าคุณหนูชนชั้นสูงทั้งหลายล้วนมีความสง่างามมากกว่านี้
พิธีเปิดเรียนครั้งนี้ก็คือ ‘การประชันความงาม’ ที่หยางมามาบอกไว้ และการเลือก ‘คุณหนูอันดับหนึ่ง’ และ ‘คุณชายอันดับหนึ่ง’ เป็ผลตัดสินขนาดเล็กอย่างไม่เป็ทางการ ในขณะที่อาจารย์ใหญ่และอาจารย์กำลังพูดบนแท่นพิธี เหล่าคุณชายจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหล่าคุณหนูทางด้านขวาอย่างเงียบๆ จากนั้นก็จะลงเสียงให้กับผู้ที่โดดเด่น แน่นอนว่ามีเพียงบางส่วนที่เข้าร่วมการแข่งขันนี้ เช่นหลัวป๋ายเฉียนซึ่งเป็บิดาที่มีบุตรแล้วจึงไม่สนใจในการแสดงความคิดเห็นของเหล่าคุณหนูและเผิงสือตัวแทนของ ‘กลุ่มคนเ็า’ มีสายตาที่เย้ยหยันที่สุดเท่าที่เขาจะเย้ยหยันได้
ในทางตรงกันข้ามเหล่าคุณหนูเกือบทุกคนที่มักจะขี้อายในยามปกติ จะลงเสียงให้กับคนที่ตนถูกใจ หากถึงตาของใครพูดแล้วคนผู้นั้นไม่ออกเสียง ก็จะมีคนพูดขึ้นมาด้วยความเ็าว่า “แกล้งทำเป็ไม่ยุ่งกับใคร” หรือไม่ก็ “นางกำลังเสแสร้งอยู่” ดังนั้นแม้ว่าคุณหนูจะเป็คนเก็บตัวและยามเขินอายใบหน้าจะแดงเรื่อมากกว่าตอนเมาสุราหลายเท่า ก็กัดปากเอ่ยชื่อชื่อหนึ่งออกมาเสียงเบา หากคุณชายทางด้านซ้ายได้เห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาคงดีใจมากจนอยากจะโบกพัดในมือที่ถูกวาดด้วยหมึกสีดำไปตามสายลมอันหนาวเย็น
แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ได้แสดงถึงความคิดเห็นของทุกคน แต่ผู้ที่ได้รับตำแหน่ง ‘คุณหนูอันดับหนึ่ง’ และ ‘คุณชายอันดับหนึ่ง’ จะได้รับความนิยมสูงมากในสำนักศึกษาเฉิงซวี่ แม้กระทั่งอาจารย์ใหญ่และรองอาจารย์ใหญ่ก็ได้ยินเื่นี้ทั้งหมดเช่นกัน คุณหนูที่ได้รับตำแหน่ง ‘คุณหนูอันดับหนึ่ง’ จะสามารถหาสามีที่ดีได้ในสำนักศึกษาเฉิงซวี่ เนื่องจากมีบัณฑิตชายหลายร้อยคนในสำนักศึกษาขนาดใหญ่แห่งนี้ ย่อมต้องมีคุณชายอย่างน้อยสิบคนที่แอบชอบนางและมีสามถึงสี่คนที่แอบส่งจดหมายรักให้นาง ถ้านางเต็มใจที่จะตอบจดหมายฉบับใดฉบับหนึ่งก็หมายความว่าทั้งคู่ยอมรับซึ่งกันและกันแล้ว
เขารักนางและนางก็ชอบเขา ในสำนักศึกษาที่เต็มไปด้วยดินแดนในอุดมคติและกลิ่นหอมของหนังสือที่ลอยคละคลุ้ง สองหนุ่มสาวผู้สูงศักดิ์และไร้เดียงสาค่อยๆ ใกล้ชิดสนิทสนมกัน วิธีนี้คือการแลกเปลี่ยนจดหมายรักและเป้าหมายนั้นก็คือการแต่งงาน จากนั้นความรักก็จะค่อยๆ เบ่งบานขึ้น
ตอนนี้พิธีเปิดเรียนยังไม่เริ่มขึ้น คุณชายและคุณหนูก็ยังมากันไม่ครบ ดังนั้นทุกคนจึงคุยกันอย่างเงียบๆ เกี่ยวกับรายชื่อที่เป็ที่นิยมและมีความเป็ไปได้สูงว่าปีนี้จะได้ตำแหน่ง ‘คุณหนูอันดับหนึ่ง’ กับ ‘คุณชายอันดับหนึ่ง’ แน่นอนว่าภูมิหลังของครอบครัวนั้นเป็สิ่งแรก แม้ว่าผู้ที่สามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาเฉิงซวี่ได้ล้วนเป็ตระกูลฐานะร่ำรวย แต่ก็สามารถแบ่งออกเป็ระดับสามหกและเก้าได้ แม้ว่าบุคคลที่มีพื้นฐานครอบครัวต่ำกว่าระดับสามจะได้รับการเสนอชื่อ แต่ก็เป็ไปไม่ได้ที่เขาหรือนางจะได้รับเลือก เพราะคนส่วนใหญ่จะทิ้งคะแนนเสียงอันมีค่าของตนให้กับชนชั้นสูงอย่างแท้จริง
ประการต่อมาคือรูปลักษณ์ซึ่งเป็พื้นฐานของการพิจารณาตัดสินใจเมื่อคนเ่าั้อยู่ในฐานะครอบครัวระดับเดียวกัน แต่การมองของแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างและนำพาไปสู่การถกเถียงกันอย่างไม่สิ้นสุดในการเลือกของทุกปี นอกจากนี้ยังมีคุณหนูที่งดงามอีกหลายคนที่คัดค้านผลการคัดเลือกอย่างจริงจัง ดังนั้นพวกนางจึงขอให้มีการแข่งขันแบบตัวต่อตัวกับผู้ที่ได้ตำแหน่ง ‘คุณหนูอันดับหนึ่ง’ โดยรวมแล้วมันเป็การรวมตัวที่คึกคักและทำให้อาจารย์หลายคนบนแท่นพิธีต่างพากันถอนหายใจ เป็หญิงสาวนี่ดีจริงๆ
“ท่านพี่ ‘คุณหนูอันดับหนึ่ง’ กับ ‘คุณชายอันดับหนึ่ง’ เมื่อปีที่แล้วคือใครหรือเ้าคะ” กวนจันคุณหนูสี่ลูกอนุของตระกูลกวนเอ่ยถามคุณหนูกวนอวิ๋นบุตรชอบธรรมของตระกูลกวน
ในบรรดาคุณหนูรุ่นเยาว์ที่ผ่านสอบคัดเลือกตามความสามารถที่แท้จริง มีเพียงกวนอวิ๋นที่เป็บัณฑิตเก่าซึ่งเรียนมาสองปี วันนี้เป็ครั้งแรกที่คุณหนูคนอื่นๆ ได้เข้าประตูสำนักศึกษา พวกนางเป็เหมือนไก่ที่เพิ่งฟักออกจากเปลือก ดวงตาสีดำของพวกนางกำลังกวาดมองพิจารณาโลกที่สวยงามและเจริญรุ่งเรืองอย่างอยากรู้อยากเห็น สำนักศึกษาที่มีชายหญิงในตำนานแห่งนี้มีบรรยากาศที่ดีมากอย่างที่กล่าวเอาไว้ หลังจากเข้ามาในสำนักศึกษา ก็ััได้ว่าชีวิตของพวกเขากำลังจะเริ่มต้นขึ้นจากที่นี่…
กวนอวิ๋นเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูอันดับหนึ่งก็คือเซี่ยเฉียวเฟิงลูกสาวชอบธรรมของหย่งผิงขุนนางขั้นสาม ปีนี้นางไม่มาเรียนแล้ว ว่ากันว่าตระกูลของนางกำลังเจรจาเื่แต่งงาน ปีนี้นางก็จะแต่งงานแล้ว ส่วนคุณชายอันดับหนึ่งก็คือหลัวป๋ายเฉียนคุณชายใหญ่แห่งจวนตระกูลหลัว เขาได้ตำแหน่งคุณชายอันดับหนึ่งมาสามครั้งติดต่อกัน แม้ว่าเขาจะแต่งงานมานานแล้ว แต่เขาก็ถูกเสนอชื่อทุกครั้ง เมื่อพูดถึงการลงคะแนน ทุกคนก็จะเขินอายกันอย่างมาก แม้ว่าในใจจะมีคนที่เลือกเอาไว้แล้วแต่กลับไม่กล้าพูดออกมา จึงลงคะแนนให้พี่ใหญ่หลัวไป แน่นอนว่ารูปลักษณ์ของเขานั้นงดงามเสียยิ่งกว่าสตรี ดังนั้นตำแหน่งคุณชายอันดับหนึ่งนั้นก็เหมาะสมกับเขาแล้ว”
หานซินซินลูกสาวคนโตของผู้ว่าการหานเฟยถามด้วยแววตาที่เป็ประกาย “เขาอยู่ที่ไหนรึ? เขาอยู่ที่ไหน?" คุณชายหลัวที่รูปงามกว่าสตรีอยู่ที่ไหน
กวนอวิ๋นส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ข้ายังไม่เห็นเขาเลย บางทีเขาอาจจะยังมาไม่ถึง วันนี้เขาต้องมาสำนักศึกษาพร้อมกับน้องสาว คงจะล่าช้าไปอีกพักใหญ่ คุณหนูฉยงเป็คนพิถีพิถันในเื่เสื้อผ้าและเครื่องประดับ ข้าล่ะนับถือนางจริงๆ”
ในบรรดาสาวๆ ในศาลา กวนอวิ๋นเป็คนเดียวที่ไม่แต่งตัวมากเกินไป แม้แต่หลิงเมี่ยวอี้ยังยืมเงินจากคนรู้จักเพื่อซื้อเสื้อผ้ามาแต่งตัวให้ออกมาอลังการที่สุดโดยการใช้เงินให้น้อยที่สุด กวนอวิ๋นเชื่อว่าผู้ที่เต็มไปด้วยความรู้มักจะประพฤติตัวอย่างความสง่างาม ความชื่นชอบของบุรุษที่ถูกดึงดูดด้วยเครื่องประดับไม่กี่ชิ้นนั้นไม่ใช่ความชื่นชอบจากใจจริงและไม่ยั่งยืน โดยปกติแล้วนางชอบสวมเสื้อคลุมของบุรุษที่เรียบง่ายและสะดวกสบาย วันนี้นางเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงผ้าเรียบๆ ลายทางสีเข้ม ในสายตาคนอื่นนางเป็สตรีที่งดงามผู้หนึ่งเลยก็ว่าได้
อู่ยวี่หยิงคุณหนูสี่แห่งจวนตระกูลกวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เลือกเสื้อผ้ามาดีขนาดไหนแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เสื้อผ้าเปลี่ยนได้ แต่จมูกนั้นเปลี่ยนไม่ได้” นางจะบอกว่าจมูกของหลัวป๋ายฉยงนั้นใหญ่เกินไป และนั่นก็เป็ข้อเสียที่มีผลกระทบต่อใบหน้าของนาง
จมูกของเ้ามันน่าดูมากนักหรือไร ลูกสาวคนเล็กของอาจารย์หนิวถงบ่นในใจ จากนั้นนางก็สะกิดหลิงเมี่ยวอี้เบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “นั่นไม่ใช่สองคุณชายของตระกูลเผิงหรือ?”
หลิงเมี่ยวอี้ก็ประหลาดใจเช่นกัน “เผิงสือ เผิงเจี้ยน พวกเขาสองคนก็มาเรียนที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่เหมือนกันหรือ?” เผิงสือและเผิงเจี้ยนเป็ใบหน้าที่คุ้นเคยสำหรับหลิงเมี่ยวอี้ เพราะพวกเขามักจะได้พบกันบ่อยๆ ที่งานเลี้ยงน้อยใหญ่ในเมืองหลวง เช่นเดียวกันกับฉางนั่ว โดยเฉพาะเผิงเจี้ยนที่มักจะมีการปะทะฝีปากกับนางอยู่หลายครั้ง และด้วยเหตุนี้นางจึงมีความประทับใจกับเขาเป็พิเศษ (กัดฟัน)
“ตอนนี้พวกเขาอาศัยอยู่ในตระกูลหลัว” กวนอวิ๋นพูดในสิ่งที่นางรู้ “ได้ยินว่าผู้าุโ้าจัดงานแต่งงานเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างญาติพี่น้อง”
นอกจากนี้นางยังได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรับใช้ของตระกูลหลัวว่าหลัวป๋ายฉยงนั้ตกหลุมรักเผิงสือผู้มีจิตใจเยือกเย็นั้แ่แรกเห็น และนางก็วางแผนตกน้ำ ในขณะที่สาวใช้พาเผิงสือมา นางก็หลอกล่อให้เขาช่วยคุณหนูฉยงขึ้นมาจากน้ำ จากนั้นก็แกล้งเป็ลมและให้เผิงสืออุ้มนางไปตลอดทาง แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากเขาเลยแม้แต่น้อย พูดตามตรงเผิงสือเป็คนมีพร์ ในวัยเด็กเขาดูเหมือนผู้ใหญ่และมีบุคลิกที่น่านับถือเหมือนกับพ่อของเขา นอกจากพื้นฐานครอบครัวของหลัวป๋ายฉยงจะไม่คู่ควรกับเขาแล้ว อีกมุมหนึ่งดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจหญิงสาวที่บอบบางเช่นหลัวป๋ายฉยง ยังคงต้องรอดูว่าทั้งสองจะได้แต่งงานกันหรือไม่ แต่อย่างไรนางคิดว่าพวกเขาคงไม่ได้แต่งงานกันอย่างแน่นอน
หลิงเมี่ยวอี้เอ่ยเย้ยหยันว่า “สัตว์ประหลาดสองตัวนั่น ใครที่ได้แต่งงานกับพวกเขา คนผู้นั้นก็เป็คนที่โชคร้าย… เอ๊ะ! นั่นเมิ่งเซวียนไม่ใช่หรือ แม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดในตระกูลเมิ่ง จวนตระกูลของเขาอยู่ติดกับสำนักศึกษาอิ๋งฮุ่ยในเมืองหลวง เขามาเรียนที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่ในเมืองหยางโจวได้อย่างไร? น่าแปลกจริงๆ ปีนี้สำนักศึกษาเฉิงซวี่เกิดอะไรขึ้น เหตุใดัที่ซ่อนตัวอยู่ในน้ำลึกถึงได้มาโผล่ที่นี่ได้ นักพรตป๋ายหยางป่าย แม่ทัพเมิ่ง คุณชายสองคนของตระกูลเผิงและคุณชายต้วน ช่างเป็การรวมตัวของผู้มีความสามารถจริงๆ” แม้ว่านางจะเรียกต้วนเสี่ยวโหลวว่าพี่ชายเสมอ แต่ในสำนักศึกษาบัณฑิตหญิงไม่สามารถเรียกอาจารย์อย่างสนิทสนมในสาธารณะได้ ดังนั้นนางจึงเรียก “คุณชายต้วน” แทน
"แล้วเ้าล่ะ?" คุณหนูสี่แห่งตระกูลอู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงถากถาง “เหตุใดเ้าถึงมาเรียนที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่? ได้ยินมาว่าเ้าอยู่ในเมืองหลวงก็มีชีวิตที่ดี คนทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้จักชื่อของเ้า” หลิงเมี่ยวอี้มีชื่อเสียงในการสร้างปัญหา โกหก ทำร้ายผู้คนและวางเพลิง
ในขณะที่หลิงเมี่ยวอี้กำลังจะตอบโต้กลับนั้น คุณหนูหนิวก็อุทานออกมาอย่างประหลาดใจ “ดูนั่นสิ คนมีชื่อเสียงจริงๆ มาแล้ว... นางคือเลี่ยวชิงเอ๋อร์จากตระกูลเลี่ยว”
หลิวเมี่ยวอี้และคนอื่นๆ ต่างหันกลับไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน และอุทานออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “เลี่ยวชิงเอ๋อร์สตรีบ้า”
ใบหน้าของนางนั้นไม่เลว นางมีผิวขาวเนียนราวหิมะ แต่แตกต่างจากความงามของหญิงสาวทางตอนใต้ นางมีใบหน้ากลมและรูปร่างกลม ใบหน้ากลมของนางเงยขึ้นเล็กน้อยและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสี่สิบห้าองศา นางเดินอย่างรวดเร็วราวกับสายลมและแขนของนางก็แกว่งไปมา ซึ่งแตกต่างจากมารยาทของสตรีสูงศักดิ์ ดูเหมือนนางจะรู้สึกได้ว่ามีคนรู้จักมากมายในเมืองหลวงมองมาที่นาง นางจึงเชิดหน้าขึ้นและให้พวกเขาทั้งหลายได้ชื่นชมคางสองชั้นที่ขาวราวหิมะของนาง
กวนอวิ๋นและกวนจันมองไปที่มงกุฎดอกไม้สะดุดตาของเลี่ยวชิงเอ๋อร์ จากนั้นพวกนางทั้งสองคนก็มองหน้ากันและตัดสินใจอย่างเงียบๆ ว่าจะไม่บอกใครว่าสตรีผู้นั้นคือลูกพี่ลูกน้องของพวกนาง ตอนนี้นางอาศัยอยู่ในตระกูลกวนอย่างลับๆ... เป็เื่ที่น่าอับอายไม่น้อยที่มีญาติหยาบคายเช่นนี้
"คนผู้นั้นคือใครรึ?" หานซินซินลูกสาวคนโตของผู้ว่าการาุโหายเฟยตบกวนอวิ๋นอย่างตื่นเต้น “คุณชายท่านนั้นกำลังมองมาที่พวกเรา เขากำลังยิ้มอยู่ด้วย”
กวนอวิ๋นเหลือบมองแล้วตอบว่า “อ้อ เขาคือหลัวป๋ายเฉียนคุณชายใหญ่ของตระกูลหลัว สตรีที่อยู่ข้างๆ เขานั้นคือหลัวป๋ายฉยงคุณหนูรอง พวกเขาเป็แขกประจำจวนของพวกข้ามาสองปีแล้ว แต่เ้าไปเรียนศิลปะการชงชาที่จือลี่ทางเหนือมาสองปี เ้าจึงไม่เคยเจอพวกเขา...” จากนั้นนางก็หยุดชะงักลง เอ๊ะ? นางมองไปที่หานซินซินซึ่งกำลังเขินอาย และดูเหมือนว่านางอยากจะเจอเขาอีก หรือว่าหานซินซินจะตกหลุมรักคุณชายป๋ายั้แ่แรกพบ? เฮอะ! ถ้าเป็เช่นนั้นหานซินซินก็ตาบอดแล้วจริงๆ คุณชายใหญ่หลัวผู้มีชื่อเสียงทางด้านคนไม่เอาไหน
“นี่ สตรีที่เดินตามหลังพวกเขาคือใครกัน? แต่งหน้าแดงอย่างกับตูดลิง” คุณหนูอู่คนที่สี่เอ่ยถาม
“นางแซ่เหอ” กวนอวิ๋นเหลือบมองไปที่นางและตอบสั้นๆ
"แซ่เหอ? ตระกูลไหนกัน? พ่อของนางคือใคร?” คุณหนูหนิวถามอย่างสงสัยว่า “ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้เข้าร่วมการคัดเลือก ‘คุณหนูอันดับหนึ่ง’ เพราะดูจากการแต่งตัวก็ธรรมดาๆ แต่เหตุใดนางจึงได้ทาแก้มแดงขนาดนั้น?”
กวนอวิ๋นแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อย นางส่ายหน้าเป็เชิงบอกว่านางไม่้าที่จะพูดอีกต่อไป และนั่นยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของทุกคน หลิงเมี่ยวอี้มองไปทางนั้นอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นดวงตาคล้ายผลซิ่งของนางก็เบิกกว้าง นางอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ “สตรีผู้นั้นข้าเคยเห็นนางแล้ว”
คุณหนูหนิวเอ่ยถามว่า “ที่ไหนรึ? ในเมืองหลวงหรือไม่?” หลิงเมี่ยวอี้ส่ายหน้าด้วยความสงสัย และก้มหน้าครุ่นคิด
ไม่นาน บัณฑิตชายและหญิงในปีการศึกษาใหม่ก็ทยอยกันมาถึงแล้ว บัณฑิตชายนั่งทางด้านซ้ายของแท่นพิธีก่อนชั่วคราวเพราะบัณฑิตหญิงมีจำนวนน้อยกว่าบัณฑิตชาย จึงต้องนั่งเป็แถวยาวทางด้านขวา
เนื่องจากไม่มีกฎตายตัว เหล่าคุณหนูที่เคยชินกับการทำตัวตามสบาย จึงนั่งกับคนสนิทของตัวเอง อย่างเช่นกวนอวิ๋น หลิงเมี่ยวอี้และคุณหนูอีกห้าหกคนที่นั่งเป็แถวยาวหนึ่งแถว หลัวป๋ายฉยงนักเรียนที่มีสิทธิพิเศษในการเข้าเรียนนั่งอยู่ในแถวอย่างเขินอายกับลูกพี่ลูกน้องของนาง ซู่หรู ซู่ซู่และอีกสามสี่คนนั่งเป็หนึ่งแถว ทันใดนั้น...
“มีที่นั่งว่างมากเกินไป ไปนั่งตรงนั้นสองคน” เจิ้งเหลียนอาจารย์หญิงในสำนักศึกษาหญิงยืนอยู่หน้าแถวชี้ไปที่แถวหลังและะโว่า “ไปนั่งตรงนั้นอีกสองคน”
เหอตังกุยที่กำลังก้มหัวของนางอย่างงุนงง เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นและพบว่ามือของอาจารย์หญิงกำลังชี้ไปที่ด้านข้างของนาง นางมองไปมองมาและพบว่ามีนางคนเดียวในแถว ตามการแบ่งที่นั่งของ "กลุ่ม" นางเป็คนที่ไม่มีกลุ่ม แต่นางก็ไม่ได้คิดว่าจะโดดเด่นเร็วขนาดนี้
นางไม่อยากมาสำนักศึกษาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งหลังจากเหตุการณ์จี้หยกั ั้แ่วันนั้นสภาพจิตใจของนางก็กระวนกระวายยิ่งนัก นางไม่อยากจะทำอะไรเลยสักอย่าง แม้แต่ต่งซื่อคิดฆ่าตัวตายร้องไห้ฟูมฟายก่อเื่วุ่นวาย นางยังไม่ไปเยี่ยมเยือนเลยสักครั้ง เงามืดที่ชายผู้น่ากลัวนั้นนำมาให้นาง จากเศษเสี้ยวของความฝันที่คลุมเครือและน่าเศร้ารวมถึงความทรงจำอันสดใสที่ไม่สามารถทนมองย้อนกลับไปได้เมื่อนางตื่นขึ้นมา ตอนนี้เขาพยายามเข้ามาทำลายชีวิตใหม่ที่สงบสุขด้วยม้วนภาพและจี้หยกของเขา มันทำให้นางทั้งเกลียดและหวาดกลัว ชั่วขณะนั้นนางแทบไม่สามารถจินตนาการภาพอะไรขึ้นมาได้
“พวกเ้า" อาจารย์เจิ้งชี้ไปที่แถวของกวนอวิ๋นที่มีคนจำนวนมากที่สุดและพูดว่า “สองคนข้างหลังไปนั่งตรงนั้น” กวนอวิ๋นมองหน้าคนสองสามคนครู่หนึ่ง แต่กลับไม่มีใครขยับเลยแม้แต่น้อย อาจารย์เจิ้งะโออกมาอย่างหงุดหงิด “ไม่ว่าจะเป็ใครก็ได้ ออกมาสองคน และไปนั่งข้างๆ นาง” นายเจิ้งะโอย่างไม่สบอารมณ์
เสียงะโนี้ดังเกินไป อาจารย์ที่อยู่บนแท่นพิธีและบัณฑิตที่อยู่ด้านล่างเวทีจึงอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง ลานกว้างขนาดใหญ่ที่มีเสียงดังเมื่อครู่เงียบลงทันที เดิมทีเป็การพูดคุยเบาๆ ที่ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง และพวกเขาก็คุยกันจนเบื่อแล้ว เมื่อตอนนี้มีการเคลื่อนไหวบางอย่างที่แตกต่างไปจากเดิม มันจึงสามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ในทันที
อาจารย์เจิ้งเอ่ยอย่างร้อนใจ “เหตุใดถึงไม่มีใครขยับ? ไม่มีใครอยากนั่งข้างๆ นางงั้นหรือ” นิ้วของนางชี้ไปที่ศีรษะของเหอตังกุย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้