ตอนที่ 60 ผู้บุกรุกยามวิกาล
หลังจากที่ทานอาหารกลางวันเป็ที่เรียบร้อยแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นจึงไม่รีรอที่จะอยู่ที่จวนอัครเสนาบดีต่อไป และพาจื่อเซียงกลับในทันที สุดท้ายการออกมาในวันนี้ยังคิดไม่ออกว่าจะเตรียมของขวัญอะไรดี
“คุณหนู คุณชายใหญ่บอกแล้วนิเ้าค่ะ องค์ชายหกเป็คนนิสัยแปลกประหลาด นอกจากสะสมสิ่งของพิลึกพิลั่น ยังหมายถึงสิ่งใดได้อีกเ้าคะ?” จื่อเซียงถามอย่างสงสัย
มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะออกมาพลางมองไปทางจื่อเซียง “เ้าว่ามีสิ่งพิลึกอะไรที่ฉู่ลี่ไม่เคยพบเคยเห็น เขาไม่มีทางอยากได้ของพิลึกจากข้าหรอก”
“ในเมื่อของแปลกพิลึกไม่เอา อย่างนั้นบ่าวคิดว่า คุณหนูควรประดิษฐ์ของด้วยมือของคุณหนูเองสิเ้าค่ะ หาซื้อที่ไหนไม่ได้ ไม่มีใครเห็นมาก่อนอีกต่างหากเ้าค่ะ” จื่อเซียงหัวเราะคิกคัก
ของประดิษฐ์ด้วยมือ?
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วครุ่นคิด ยกมือของนางขึ้นมา พินิจถึงเ้าของร่างที่ผิวพรรณผ่องใสงดงามเหลือเกินนี้
แต่ดูเหมือนสิ่งที่มู่อวิ๋นจิ่นไม่ถนัดมากที่สุดคือการประดิษฐ์ของด้วยมือนี่แหละ
ถ้าให้นางทะเลาะตบตีกับคนอื่นย่อมไม่ใช่ปัญหา ทว่าให้นางประดิษฐ์ของจากมือ ช่างดูยากแสนยากเหลือเกิน
ในชั่วขณะ มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกว่ามันช่างเป็เื่ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน
เมื่อกลับมาถึงจวนองค์ชายหก แม่นมเสิ่นรีบออกไปรับด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “พระชายาคิดออกหรือยังเ้าคะ ว่าจะให้ของขวัญอะไรกับองค์ชายหก?”
มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่ส่ายหน้าไปมา “ยังคิดไม่ออกเลย”
แม่นมเสิ่นพยักหน้ารับทราบ “ยังไม่ต้องรีบร้อนเ้าค่ะ อย่างน้อยยังมีเวลาเหลือ ค่อย ๆ คิดก็ได้เ้าค่ะ”
“อืม เวลานี้ข้ารู้สึกง่วงนิดหน่อย เดี๋ยวกลับไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน” มู่อวิ๋นจิ่นบอก
“จื่อเซียง เ้ามาช่วยข้าเก็บดอกไม้แล้วกัน” แม่นมเสิ่นเอ่ยยืมตัวจื่อเซียงไว้
จื่อเซียงพยักหน้ารับทราบ
จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นเดินกลับเรือนลี่เฉวียน สวนด้านหลังและเรือนในจวนองค์ชายหก ช่างกว้างใหญ่มากกว่าจวนอัครเสนาบดีหลายเท่าตัว
แต่ถึงกระนั้นางก็ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้สึกตื่นเต้นแม้แต่น้อย จากนั้นเดินไปทางเรือนที่ไม่เคยไปมาก่อน
พอเดินผ่านเรือนเล็กเรือนน้อยหลายห้อง มู่อวิ๋นจิ่นพลันนึกถึงเื่ที่จื่อเซียงเคยเล่าให้ฟัง เรือนเหล่านี้คงเตรียมไว้เพื่อให้ภรรยาเล็กภรรยาน้อยอยู่
ในระหว่างที่ก้าวเดินได้ไม่กี่ก้าว หูของนางกลับได้ยินเสียงคนพูดดังขึ้นออกมาจากเรือน
มู่อวิ๋นจิ่นหยุดฝีเท้าลงในฉับพลันด้วยความสงสัยใคร่รู้ จากนั้นค่อย ๆ ก้าวย่องเข้าไปใกล้ขึ้น จนได้ยินเสียงของติงเซี่ยนดังขึ้นจากด้านใน
“การเดินทางลงไปทางใต้ในครั้งนี้ ไม่ได้รับผลประโยชน์แม้แต่น้อย แต่ของชิ้นนั้นสำคัญยิ่งกับองค์ชาย การเดินทางไปอาณาจักรตงหลินครั้งนี้ ต้องหาข้อมูลที่น่าเชื่อถือให้ได้มากที่สุด”
“ใช่แล้ว ติงเว่ย”
“องค์ชายลำบากตรากตรำเสาะหาของชิ้นนั้นมานานนับสิบปี ่นี้เบาะแสและช่องทางต่าง ๆ มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเ้าต้องช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่”
…
มู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้เงี่ยหูฟังบทสนทนาจนจบ ก็รีบย่องเดินกลับเรือนไปก่อน ทันใดนั้นภายในหัวของนางก็ปรากฏภาพการเข้าวังหลวงครั้งแรกผุดขึ้นมาเห็นภาพที่นางไปชนกับฉู่ลี่โดยมิได้ตั้งใจ จนต้องถูกเขาบีบคอแน่นไปหมด
ภาพที่ผุดขึ้นในตอนนั้นเป็สิ่งที่นางแอบได้ยิน มันช่างคล้ายกับการได้ยินในวันนี้ นั่นคือการเสาะหาของบางอย่าง จากนั้นฉู่ลี่ก็พบว่านางแอบฟัง จนหมายคิดจะฆ่านางปิดปาก
หากเสาะหามานับสิบปี แล้วสิ่งของสำคัญชิ้นนั้นคืออะไรกันแน่?
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเดินกลับมาที่เรือนลี่เฉวียน บังเอิญเจอฉู่ลี่เดินจากห้องด้านข้างเพียงลำพัง
ทันทีที่มู่อวิ๋นจิ่นเห็นฉู่ลี่ ภาพที่นางแอบฟังเื่ที่ติงเซี่ยนพูดคุยเมื่อครู่ ก็พลันทำให้นางรู้สึกทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ แทนคำพูด
ฉู่ลี่จ้องมองนาง พลางเอ่ยเสียงเรียบ “จะยิ้มเจื่อนๆ โง่เง่าแบบนี้ทำไม?”
“...” มู่อวิ๋นจิ่นรีบตั้งสติห้ามปากของนางที่อยากจะด่าทอ โดยจ้องไปที่หน้าของฉู่ลี่แทน จากนั้นก้าวเข้าไปในห้องนอนของนาง
ฉู่ลี่ยืนมองอยู่ที่เดิม ส่ายหน้าด้วยความงงงวย
…
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเข้าห้องงีบหลับก็ได้สติกลับขึ้นมาในยามดึก
มู่อวิ๋นจิ่นเปลี่ยนอิริยาบถลุกขึ้นมานั่ง มองเห็นในห้องเต็มไปด้วยความมืดมิด จากนั้นนึกได้ว่าหลังจากกลับมายามบ่าย นางก็งีบหลับมาจนถึงเวลานี้
คิดมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ เดินลงจากเตียงเตรียมหาของทานนิดหน่อย
เมื่อเปิดประตูเรือนมองออกไป ภายนอกแขวนโคมไฟมากมายส่องสว่างไปทั่วจวน มีเพียงห้องเยื้องนางเท่านั้นที่มืดมิด
ฉู่ลี่ไม่อยู่ที่จวนอีกแล้วสินะ
ระหว่างที่นางเตรียมตัวเดินไปที่ห้องครัว เรือนที่เงียบสงบกลับมีลมพัดลูกใหญ่ปะทะหลายลูก ส่งผลให้โคมไฟที่แขวนรอบเรือนดับวูบลงจนหมดในทันที
ทั้งเรือนลี่เฉวียนไร้แสงสว่างในฉับพลัน
จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเสียงย่องเดินอย่างแ่เบาบนหลังคาของเรือน พร้อมกับเสียงหายใจของคนจำนวนไม่น้อย
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย นี่คือ…
ผู้บุกรุกอย่างนั้นหรือ?
คิดได้ดังนั้น มู่อวิ๋นจิ่นรีบถอยกลับเข้าไปในห้อง ยืนพิงตู้อย่างสงบและรวบรวมสมาธิเพื่อฟังเสียงจากรอบด้าน
จากนั้นชั่วพริบตาเดียวภายใต้แสงจันทราอันริบหรี่ มู่อวิ๋นจิ่นเห็นเงาของคนสองสามคนะโลงมาจากหลังคา
“ค่ำคืนนี้ฉู่ลี่ไม่อยู่ที่จวนย่อมเป็โอกาสเหมาะเจาะที่สุดในการลงมือ” นอกห้องมีเสียงบุรุษเอ่ยเสียงต่ำ
สิ้นเสียงนั้นเหล่าผู้บุกรุกพยักหน้าและแบ่งกลุ่มกระจายกันไป
เสียงผิวปากดังขึ้น จากนั้นมีผู้บุกรุกผลักประตูห้องของมู่อวิ๋นจิ่นออก
มู่อวิ๋นจิ่นที่เปลี่ยนไปหลบอยู่ด้านหลังตู้ เห็นฝีเท้าของผู้บุกรุกก้าวเดินด้วยวิชาตัวเบาเข้ามาในห้อง พวกเขาเข้ามาเปิดทั้งตู้ และกล่องเพื่อค้นหาบางอย่าง
ไม่นานนักบรรดาผู้บุกรุกในชุดดำก็ก้าวเดินมาทางตู้ที่นางหลบซ่อนอยู่
มู่อวิ๋นจิ่นเอื้อมมือกำมีดกริชที่ซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อตลอดเวลาออก เพื่อกันภัยจากชายชุดดำเ่าั้ที่เดินใกล้เข้ามา
เมื่อชายชุดดำเปิดตู้ออกมา ทันใดนั้นนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็ได้ปรากฏตัวพุ่งออกมา โดยใช้มีดกริชปักไปที่อกของชายชุดดำอย่างรุนแรง
ชายชุดดำคิดไม่ถึงว่าในตู้จะมีคนปรากฏตัวพุ่งออกมา ระหว่างที่กำลังจะเอาคืน ลมหายใจกลับดับสิ้นลงแล้ว
มู่อวิ๋นจิ่นดึงกริชที่ปักคาอกชายชุดดำออกแล้ววิ่งออกไปข้างนอก
ในเวลานี้ทั้งเรือนลี่เฉวียนถูกล้อมด้วยชายชุดดำทุกทิศทาง มู่อวิ๋นจิ่นหรี่ตาลงพยายามจ้องมองหาชายชุดดำเ่าั้
ระหว่างที่มู่อวิ๋นจิ่นกำลังเตรียมสะบัดแส้เพื่อจัดการชายชุดดำนั้น นางกลับััได้ถึงลมหายใจของชายชุดดำรอบด้านอีกกลุ่มที่คุ้นเคยอย่างยิ่ง ช่างเหมือนกับลมหายใจในตอนที่พบหน้าฉู่ลี่เป็ครั้งแรกจากภาพความทรงจำของเ้าของร่างเดิม
ทันใดนั้นโคมไฟที่ดับวูบลงในเรือนลี่เฉวียน กลับสว่างไสวกลับสู่สภาพเดิม
ชายชุดดำที่ดักซุ่มอยู่รอบทิศพยายามอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน หลังจากนั้นประตูทางเข้าเรือนกลับเปิดออกเห็นชายชุดดำเดินเข้ามา
พอมู่อวิ๋นจิ่นได้เห็นก็ทราบได้ในทันทีว่าเป็ฉู่ลี่
ที่แท้ฉู่ลี่ได้เตรียมการรับมือไว้เรียบร้อยแล้ว
“แย่แล้ว ติดกับดักเข้าแล้ว รีบถอยเร็วเข้า!” ชายชุดดำคนหนึ่งะโและะโหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
ฉู่ลี่ได้ยินก็แสยะยิ้มอย่างเืเย็น ก่อนจะสั่งการไปว่า “จัดการพวกมันให้หมดทุกคน อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว”
“ได้ขอรับองค์ชาย”
สิ้นเสียงแล้ว บรรดาองครักษ์ลับค่อย ๆ เริ่มปฏิบัติการ
ฉู่ลี่กวาดสายตามองบรรยากาศโดยรอบ เห็นมู่อวิ๋นจิ่นยืนอยู่หน้าประตูเรือนด้วยสายตาแปลกประหลาดจนเขาต้องผงะถอยหลัง
เมื่อฉู่ลี่เดินมายืนเบื้องหน้ามู่อวิ๋นจิ่น เขาเม้มปากถามขึ้นว่า “ทำให้ใแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่มีทาง เพียงแต่ในห้องของข้ามีร่างไร้ิญญาของชายชุดดำ ประเดี๋ยวให้คนขององค์ชายมาจัดการให้เรียบร้อยด้วย” มู่อวิ๋นจิ่นพูดเสร็จชี้นิ้วไปในห้อง
ฉู่ลี่ขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อย “เ้าเป็คนทำอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าแอบลอบโจมตี นับว่ายังโชคดี” มู่อวิ๋นจิ่นพูดด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ โดยในใจคิดว่าหากปิดบังเื่แบบนี้ได้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
“อ่อ” ฉู่ลี่พยักหน้ารับทราบ
ไม่นานนัก ติงเซี่ยนได้ะโลงจากหลังคา้า พร้อมกับยื่นชุดสีดำในมือให้ฉู่ลี่ดู “องค์ชาย นี่เป็คนของอาณาจักรตงหลินขอรับ”
“จัดการให้หมดทุกคน” ฉู่ลี่หันไปย้ำกับติงเซี่ยน
ติงเซี่ยนพยักหน้ารับคำสั่ง
บัดนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็เกิดการรู้จักมักคุ้นกับชื่ออาณาจักรตงหลิน ด้วยว่าแอบได้ยินติงเซี่ยนพูดขึ้นเมื่อ่บ่ายที่ผ่านมา
มิน่าเล่าเื่โชคร้ายแบบนี้จึงมาถึงตัวได้
ดูท่าแล้วในจวนองค์ชายหกแห่งนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยและสงบเยือกเย็นเท่าไหร่นัก
ไม่นานนัก รอบ ๆ บริเวณจวนก็ได้เงียบสงบลงเหมือนเดิม มู่อวิ๋นจิ่นที่เดินเข้าในห้องหมายจะนอนหลับพักผ่อน แต่เมื่อก้าวเข้าไปก็ต้องผงะถอยหลังด้วยความสะอิดสะเอียน
ฉู่ลี่จึงหันมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นด้วยความงงงวย
“ข้าหิวแล้ว ข้าจะไปหาอะไรทานเสียหน่อย” พูดจบมู่อวิ๋นจิ่นเบะปากเดินเชิดหน้าออกจากเรือนไป
ฉู่ลี่ยืนมองมู่อวิ๋นจิ่นเดินจากไป หันไปสั่งติงเซี่ยนว่า “รีบไปจัดการกลิ่นคาวเืในห้องมู่อวิ๋นจิ่นให้หมดโดยเร็วที่สุด”
“ขอรับองค์ชาย”
…
ภายในห้องครัวที่ค่อนข้างเล็ก มู่อวิ๋นจิ่นค้นหาของทานในห้องจนทั่วทุกซอกทุกมุม ในที่สุดก็พบหมั่นโถวที่แห้งและข้าวที่ทานเหลืออยู่ไม่มาก
มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่เบือนปาก จากนั้นพับแขนเสื้อขึ้น หาไข่ไก่สองฟอง นำมาผัดกับมะเขือเทศ
พอตักอาหารเข้าปากเคี้ยว มู่อวิ๋นจิ่นััได้ถึงกลิ่นคาวเืคละคลุ้ง จนต้องสำรอกออกมา และวางชามข้าวไว้ด้านข้าง
สุดท้ายนางเลือกหยิบหมั่นโถวหนึ่งลูกแล้วเดินออกจากห้องครัว
ยามค่ำคืนในฤดูร้อน สายลมอ่อน ๆ พัดโชยปะทะร่างกาย ให้ความเย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก
ในเวลานี้มู่อวิ๋นจิ่นยังไม่อยากเดินกลับไปที่เรือนลี่เฉวียน จึงนั่งอยู่ที่ศาลารับลมเย็น ๆ พลางค่อย ๆ กัดหมั่นโถวทานทีละคำ
ระหว่างนั้นนางเงยหน้าชมจันทราที่ส่องแสงสว่างไปทั่ว พลางเอ่ยขึ้นอย่างแ่เบา “สมัยวัยเยาว์ไม่ประสาจันทราคือสิ่งใด นึกเสมอเป็หยกขาวสว่างไสว เมื่อพินิจเห็นเป็เทพธิดา ลอยเวียนไปวนมากลางเมฆา”
หลังอารัมภบทอยู่สักพัก มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่หัวเราะเสียงต่ำออกมา
“ดึกดื่นวิกาลเช่นนี้ เ้ายังมีกระจิตกระใจมาเสพสุขได้อีก” เสียงของฉู่ลี่ลอยมาจากด้านหลัง ด้วยน้ำเสียงดูแคลน
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักในทันใด รีบมองไปรอบตัว ก่อนเอ่ยถามว่า “องค์ชายหกไม่พักผ่อนหรือ มาทำอะไรที่นี่?”
“เ้าเป็คนแต่งกลอนที่ร่ายมาอย่างนั้นหรือ?” ฉู่ลี่เอ่ยถามอย่างใคร่รู้
“เ้าประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว ข้าไม่มีความอดทนอดกลั้นแต่งกลอนได้หรอก” มู่อวิ๋นจิ่นเบือนปากและหันมากัดหมั่นโถวคำสุดท้ายจากนั้นหยิบผ้าไหมขึ้นมาเช็ดมือ
ฉู่ลี่จ้องมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยสายตาแน่นิ่ง เสมือนคิดสิ่งใดอยู่ จากนั้นหยิบนกหวีดหยกออกจากแขนเสื้อยื่นให้นาง
“หากเผ่านกหวีดหยกแล้ว จะสามารถเรียกองครักษ์ลับให้มารวมตัวที่จวนได้”
มู่อวิ๋นจิ่นอึ้งตาค้างอยู่ครู่หนึ่งมองพิจารณานกหวีดหยกชิ้นนั้น ก่อนจะเบะปาก ไม่ยื่นมือมารับ “ไม่ต้องหรอก ข้าสามารถดูแลตัวเองได้”
“ด้วยความสามารถของเ้าเอง?” ฉู่ลี่สัพยอกกลับ
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเช่นนั้น ก็ได้แต่ขบฟันกรอด ๆ ครุ่นคิดอยู่ประเดี๋ยว ก่อนเอ่ยพลางยิ้มมุมปาก และยื่นมือไปรับนกหวีดหยกนั้นมา “อย่างนั้นข้ายอมรับมันไว้ก็ได้”
มู่อวิ๋นจิ่นแอบคิดเผื่ออนาคตไว้แล้ว วันนี้นางได้ใช้กริชที่ซ่อนติดตัวไว้ออกมา หากวันใดเกิดเื่ไม่คาดฝันขึ้นมาอีก อย่างนั้นเมื่อเป่านกหวีดหยกนี้ ก็ย่อมที่จะสามารถเรียกองครักษ์ลับมาช่วยคุ้มกันโดยที่นางไม่ต้องควักกริชติดตัวออกมาใช้ได้
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นรับนกหวีดหยกแล้ว ฉู่ลี่จึงกล่าวด้วยใบหน้าเรียบนิ่งว่า “กลิ่นคาวเืในห้องเ้าไม่มีแล้ว กลับไปพักผ่อนได้”
“เอ่อ…” มู่อวิ๋นจิ่นยืนเบือนปากนิ่งอยู่ที่เดิม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้