เมิ่งอู่ยกอ่างน้ำเข้าไปในห้อง มืออีกข้างถือฝักสบู่
อินเหิงเห็นดังนั้นก็กล่าว “ที่แท้เ้าอยากบ่มเพาะสัมพันธ์กับข้าด้วยวิธีนี้”
เมิ่งอู่กล่าว “ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นเล่า ต้องอาบน้ำให้เ้าสะอาดหอมฟุ้งก่อน ถึงจะไปขั้นต่อไปได้”
เมื่อมองใบหน้าของอินเหิง นางพลันรู้สึกฮึกเหิม… เหตุใดท่านแม่ถึงคิดว่ามีเพียงบุรุษเท่านั้นที่หื่นกระหาย? ไม่ใช่ดูถูกนางหรอกหรือ?
เมิ่งอู่เปิดหน้าต่างออก ทันใดนั้นแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทางขอบหน้าต่าง สายลมอ่อนๆ พัดโชยเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ทำให้ใบไม้สีเขียวด้านนอกไหวเอนไปมา
ช่างเป็วันที่สดใสน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก
เมิ่งอู่นำหมอนมารองคออินเหิง ก่อนวางอ่างน้ำไว้ด้านหลังศีรษะของเขา จากนั้นก็รวบผมทั้งหมดของเขาจุ่มลงน้ำ
นางช่วยสระผมให้เขา
นางดื่มด่ำไปกับััอ่อนนุ่มเรียบลื่นของเส้นผมของเขา อินเหิงช้อนตาขึ้นครึ่งหนึ่ง แล้วจ้องมองนางเงียบๆ
ตามความคิดของผู้ที่เป็โรคคลั่งไคล้คนหน้าตาดี ส่วนมากเพียง้าอาบน้ำให้บุรุษรูปงามจนหอมฟุ้งโดยไม่มีวัตถุประสงค์อื่นใด ประหนึ่งกำลังขัดถูงานศิลปะชิ้นเอกของตนให้สะอาดหมดจด จากนั้นจึงค่อยชื่นชมผลงานชั้นเลิศของตนเอง ทั้งยังฉวยโอกาสเอาเปรียบเขาอย่างแเี นี่ไม่รู้ว่าเป็เื่ที่น่ายินดีเพียงใด
ส่วนอินเหิงเล่า ไม่เคยมีสตรีใดเข้าใกล้เขามาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่สตรีผู้นี้สระผมให้เขาด้วยความกระตือรือร้นเหมือนอย่างเวลานี้เลย
นับแต่พลัดหลงมาที่นี่และได้พบกับเมิ่งอู่ เื่ราวมากมายที่เกิดขึ้นเป็ครั้งแรกในชีวิตของเขาล้วนเกิดขึ้นในเงื้อมมือของนาง
เมิ่งอู่สระผมให้เขาไปพลาง ััลูบไล้เส้นผมไปพลาง ชื่นชมไม่หยุดปากไปพลาง ช่างเป็คนรูปงามจริงๆ แม้แต่เรือนผมก็ยังงาม
หลังล้างเสร็จหนึ่งรอบ เมิ่งอู่ก็เปลี่ยนน้ำสะอาดมาล้างให้เขาอีกครั้ง จากนั้นพยุงเขาพิงผนัง แล้วเช็ดผมให้เขาจนแห้ง
เมิ่งอู่ยกผมของเขาไปตากแดดตรงกรอบหน้าต่างก่อนกล่าว “ให้พวกมันตากแดดบ้าง อุ่นหรือไม่?”
อินเหิงตอบ “อุ่นมาก”
ไม่จำเป็ต้องกังวลเื่ผม ในสภาพอากาศเช่นนี้ไม่นานก็แห้ง
เมิ่งอู่จ้องมองอินเหิงแล้วยิ้มกล่าว “ยังมีน้ำร้อน จะให้ข้าอาบน้ำให้ท่านด้วยหรือไม่?”
อินเหิงตอบตกลงอย่างใจกว้าง
ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยาแ ไม่มีอะไรน่าดู ยิ่งกว่านั้นยามเมิ่งอู่ทำความสะอาดาแให้เขาก่อนหน้านี้นางก็เห็นแจ่มแจ้งแล้ว
แม้เมิ่งอู่ชอบเอาเปรียบเขา แต่ในความเป็จริงยามนางแกะผ้าพันแผล ทำความสะอาดิัและาแให้เขา กลับไม่ฉวยโอกาสเอาเปรียบเขาเลย นางเช็ดผิวให้เขาอย่างระมัดระวังเอาใจใส่ จากนั้นทายาและพันแผลให้เขาใหม่ ก่อนนำเสื้อผ้าเก่าของเมิ่งอวิ๋นเซียวอีกชุดหนึ่งมาเปลี่ยนให้เขา
หลังทำความสะอาดเนื้อตัวให้อินเหิงเสร็จ เขาก็รู้สึกตัวเบาสบายขึ้นมาก
เมิ่งอู่แต่งตัวให้เขาอย่างพิถีพิถัน กลิ่นตัวของเขาอ่อนจางชุ่มชื้นเจือกลิ่นยาจางๆ ที่หลงเหลืออยู่
ขณะจัดชายเสื้อด้านหลังให้อินเหิง นางโน้มตัวเข้าใกล้ สองมือโอบเอวเขา แล้วค่อยๆ รีดเสื้อผ้าบนแผ่นหลังเขาให้เรียบราวกับกำลังกอดเขาอย่างคลุมเครือ
อินเหิงก้มหน้าลงเล็กน้อย ก็เห็นใบหน้าของนางที่อยู่ใกล้มากแค่เอื้อม แม้แต่ลมหายใจล้วนอวลกลิ่นของนางบางเบา
ครานี้เขาไม่ได้ถอยกลับโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เพียงก้มหน้ามองนางและฟังนางกล่าว “มีข้าคอยสระผม อาบน้ำและแต่งตัวให้เป็การส่วนตัว นับว่าเ้าเป็เ้าบ่าวเด็กที่มีวาสนาที่สุดในหมู่บ้านนี้แล้ว”
อินเหิงกล่าว “อาอู่ดีต่อข้าที่สุด”
เมิ่งอู่เงยหน้ามองเขา โดยไม่ทันตั้งตัวก็ถูกดวงตาสีอ่อนคู่นั้นสะกดไว้ หน้าผากนางเฉียดผ่านริมฝีปากของเขา รู้สึกอ่อนระทวยเล็กน้อย และพลันนั้นเองลมหายใจของนางก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของอินเหิง
หัวใจของเมิ่งอู่เต้นรัวแรง นางกล่าวต่อ “ในเมื่อรู้ว่าข้าดีต่อเ้า ภายภาคหน้าต้องเต็มใจยอมมอบกายถวายชีวิตให้ข้าแต่โดยดี เข้าใจหรือไม่?”
อินเหิงถาม “เหตุใดเ้าถึงดีต่อข้าเพียงนี้?”
เมิ่งอู่หรี่ตา ก่อนกล่าว “เ้าถามคำถามที่นางเอกในละครรักส่วนใหญ่มักจะถาม แน่นอนว่าบรรดาพระเอกจะต้องตอบว่า รักเ้านะ ในสายตา ในหัวใจ ในโลกใบนี้มีเพียงเ้าเท่านั้น ทำนองนั้น”
อินเหิงกล่าวเสียงทุ้มต่ำอยู่บ้าง กระซิบเบาๆ แต่กลับเย้ายวนมาก “แล้วเ้าเล่า เ้าจะตอบอย่างไร?”
เมิ่งอู่หัวเราะสองครั้งก่อนกล่าว “แน่นอนว่าย่อมเป็เพราะเ้าดูดีน่ะสิ หากมีรูปโฉมเดินไปได้ทุกที่ทั่วหล้า หากไร้รูปโฉมเดินยากแม้เพียงก้าวเดียว”
สมแล้วที่เป็คนที่ตัดสินทุกอย่างจากรูปลักษณ์ภายนอก คำตอบเช่นนี้อยู่ในการคาดการณ์ของอินเหิงอยู่แล้ว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาและน่าเวทนา “หากในอนาคตเ้าพบเจอคนที่หน้าตาดีกว่าข้า เ้าจะทิ้งข้าหรือไม่?”
หัวใจเมิ่งอู่พลันอ่อนยวบ นางกล่าว “ใต้หล้านี้ยังมีคนหน้าตาดีกว่าเ้าอีกหรือ อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยพบพาน หรือต่อให้ข้าพบเจอ ย่อมต้องคำนึงถึงต้นทุนที่ลงทุนลงแรงไป ข้าอุตส่าห์เหนื่อยยากเลี้ยงดูเ้าให้ดี หากทิ้งเ้าไปเช่นนี้ มิเท่ากับว่าให้โอกาสพวกนางแพศยาดัดจริตข้างนอกหรอกหรือ”
แม้นางมองคนจากหน้าตาก่อน แต่จิตใจของนางยังไม่ตกต่ำ อย่างไรเสียผู้ที่หลงใหลคนหน้าตาดีก็ยังต้องยืนหยัดอย่างมั่นคงบนพื้นดิน [1] มิอาจเก็บแตงแล้วทิ้งเมล็ดงา [2]…นางสามารถอุ้มแตงไว้มือหนึ่ง ถือเมล็ดงาไว้อีกมือหนึ่งได้อย่างแน่นอน!
เมิ่งอู่ยิ้มให้อินเหิงอย่างจริงใจ “อาเหิง วางใจเถิด ข้าไม่ใช่คนที่ได้แล้วทิ้ง”
อินเหิงเลิกคิ้วนิดๆ พยักหน้ารับท่าทางจริงใจเต็มที่เช่นกัน เขาบอก “อืม ข้าเชื่อว่าอาอู่ไม่ใช่คนเช่นนั้น”
จากนั้นในยามที่เมิ่งอู่จัดเสื้อคลุมและผูกสายรัดเอวให้อินเหิง ก็ได้ยินเสียงชาวบ้านทักทายนางเซี่ยอยู่นอกลานเรือน นางรีบลุกพรวดพลางอุทาน “ให้ตายเถิด ท่านแม่ของข้ากลับมาแล้ว”
นางรีบเทน้ำในอ่างออกนอกหน้าต่าง ก่อนยัดเสื้อผ้าที่อินเหิงผลัดเปลี่ยนลงไปในอ่างส่งๆ แล้วซ่อนไว้ที่มุมหนึ่งก่อนกล่าว “ข้าออกไปก่อนนะ เ้ารีบแต่งตัวให้เรียบร้อย ระวังท่านแม่กลับมาเจอแล้วจะสงสัยว่าข้าทำอันใดเ้า!”
นอกลานเรือน หลังนางเซี่ยทักทายชาวบ้านแล้ว ก็แบกตะกร้าที่ใส่ผักป่าเดินเข้ามาในลานเรือน
ขณะนางเซี่ยหันหลังไปปิดประตูลานเรือน เมิ่งอู่ก็เพิ่งออกจากเรือนและรีบเสียบกุญแจเข้าที่ เมื่อนางเซี่ยหันกลับมา ก็เห็นเมิ่งอู่นั่งยิ้มแฉ่งอยู่บนม้านั่งเย็นๆ หน้าประตูเรือน ถามว่า “ท่านแม่ ท่านกลับมาแล้วหรือเ้าคะ?”
นางเซี่ยรู้สึกว่ารอยยิ้มของบุตรีผิดปกติ เมื่อเดินมาถึงใต้ชายคา นางก็ตรวจสอบกุญแจเรือนก่อน
กุญแจยังปกติดี นางเซี่ยจึงมองนางด้วยสายตาฉงนถึงสองหน ก่อนหันหลังเดินเข้าครัว
เมิ่งอู่เดินตามเข้าไปก่อนกล่าว “ท่านแม่ ข้าจะก่อไฟและทำอาหารเองเ้าค่ะ”
นางเซี่ยส่งลูกกุญแจให้นางพลางเอ่ย “ไม่ต้องแล้ว เ้าไปเปิดประตูเรือนเถิด อากาศจะได้ไหลเวียน”
เมิ่งอู่กล่าว “ก็ดีเ้าค่ะ ถึงเวลาที่อาเหิงจะต้องกินยาแล้ว” พูดจบ นางก็หยิบชามออกมาสองใบ
นางเซี่ยเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถาม “เขามีสองปากหรืออย่างไร ดื่มยาต้องใช้ถึงสองชาม?”
เมิ่งอู่พูดจาไร้สาระหน้าตาเฉย “ต้มยาไว้ในหม้อเยอะเกินไปไม่ใช่หรือเ้าคะ ชามใบเดียวใส่ไม่หมด ต้องใช้ถึงสองชาม ดื่มชามหนึ่งตอนเที่ยง ดื่มอีกชามหนึ่งตอนบ่าย”
นางเซี่ยจึงยอมปล่อยให้นางออกจากครัว
เมิ่งอู่วิ่งเหยาะๆ ไปที่เตายา เปิดฝาหม้อยาออก ทันใดนั้นกลิ่นหอมของน้ำแกงเนื้อก็โชยเตะจมูก
นี่ไม่ใช่ยา เห็นได้ชัดว่าเป็น้ำแกงที่ปรุงจากเนื้องูที่แช่น้ำไว้เมื่อคืน
นางเซี่ยกลัวงู ย่อมไม่มีทางยอมกิน และยิ่งห้ามเมิ่งอู่กิน หากนางรู้ว่าเมิ่งอู่ตุ๋นงูพิษสองตัวนั้นในน้ำแกง ไม่ต้องพูดถึงการลองชิมสักคำ แต่นางคงจะโยนทั้งชามทั้งหม้อทิ้ง
ดังนั้นขณะที่นางเซี่ยที่อยู่ในครัวยังไม่พบเห็นเข้า เมิ่งอู่ก็รีบตักน้ำแกงงูไปให้อินเหิงเพื่อช่วยกันทำลายหลักฐาน
ฝั่งนางเซี่ยกำลังซาวข้าวเพื่อเตรียมหุงข้าว นางก้มลงใส่ฟืนเข้าไปในเตา ก็สังเกตเห็นบางอย่างที่มีสีสันสดใสอยู่ที่มุมหนึ่ง
นางใช้ฟืนเขี่ยออกมาดู แล้วต้องใกลัวแทบสิ้นสติ ที่แท้ก็เป็หนังที่มีสีสันสดใสของ… งูสองตัว!
……….
[1] หมายถึง ยืนหยัดตามหลักการ ทำงานอยู่บนหลักความเป็จริง ทำอะไรจริงจัง ตั้งใจทำ
[2] หมายถึง ได้สิ่งสำคัญและไม่ทิ้งสิ่งเล็กๆ สำนวนเดิมคือ ทิ้งแตงเพื่อเก็บเมล็ดงา ซึ่งหมายถึง ได้สิ่งเล็กๆ แต่เสียสิ่งที่สำคัญกว่าไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้