หลังจากนั้นหรงซิวก็คุยเื่จริงจังกับเผยยวนอี้ พวกเขากำลังพูดถึงความเป็อยู่ของประชาชน อวิ๋นอี้มิได้ตั้งใจฟัง ในหัวของนางมีแต่คำพูดก่อนหน้านี้ของเขา
เขาบอกว่านางเป็ที่รัก
แค่คิดแก้มก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
บุรุษผู้นี้มักแสดงท่าทีโปรยเสน่ห์อย่างกะทันหัน ซึ่งทำให้นางมิทันได้ระวัง แต่นางชอบมันมาก
เขาและเผยยวนอี้มิได้คุยกันนานนัก เมื่อพ่อบ้านให้คนมาขนของเสร็จแล้ว ทุกคนก็พากันเดินไปที่เรือน
เรือนิเยว่กับเรือนชิงเฟิงอยู่ติดกัน ภายในมิมีกระไรต่างกันมากนัก เผยหลางเย่ตัวสูงใหญ่ ทว่าหัวใจของเขาราวกับเด็กน้อย เขาพูดกับเผยยวนอี้ระหว่างทาง “ท่านพี่ ข้าอยากอยู่เรือนิเยว่ ชื่อทรงพลังดี ท่านอยู่เรือนชิงเฟิงไปนะพ่ะย่ะค่ะ เอาเป็เช่นนี้”
เผยยวนอี้ไม่อยากสนใจเขา เบะปากอย่างเกียจคร้านแล้วเดินออกไปอย่างไม่เหลือบมอง
มาถึงเรือนทั้งสองแล้ว เผยหลางเย่ก็อดใจรอไม่ไหว วิ่งเข้าไปราวกับสายลม ราวกับตนเองเป็เ้าของ เขาพาทุกคนเข้าไปชม
ในสวนย่อมดีที่สุดจากเสียงร้องโอ้อ้าของเผยหลางเย่ทำให้มองออกทันที หลังจากที่เดินชมจบแล้วเขาหาคำใดมาชื่นชมมิได้ เขาพิงเก้าอี้แล้วพูดว่า “องค์ชาย! สวนของท่านช่างน่าเพลิดเพลินมาก! ข้าอยากอยู่ที่นี่ไม่อยากกลับแล้ว!”
ท่าทีเกินจริงของเขาทำให้ทุกคนยิ้ม เผยยวนอี้ดูเหนื่อยใจมาก ยื่นขาไปเตะเผยหลางเย่ที่นอนพิงอยู่ไม่ยอมลุก “ไปดูเรือนของข้าหรือไม่?”
“เช่นนั้นหากข้าชอบเรือนท่าน ท่านต้องยกให้ข้านะ”
“ได้สิ” เผยยวนอี้กุมขมับ “อย่าทำตัวขายหน้า”
“ข้าเป็คนตรงไปตรงมาต่างหากเล่า ท่านพี่เข้าใจหรือไม่? ดีใจ ประหลาดใจหรือเศร้าก็ต้องแสดงออกมา มิเช่นนั้นผู้อื่นจะรู้ความรู้สึกของท่านได้อย่างไร? แต่ช่างเถิดพูดไปท่านก็ไม่เข้าใจ” เผยหลางเย่มุ่ยปาก “อย่างไรเสียท่านก็สวมหน้ากากได้ดี”
เผยยวนอี้ไม่ออกความเห็นใดๆ แค่เพียงยิ้ม แล้วเดินไปที่เรือนข้างๆ
เขาไม่เหมือนองค์ชายสามเลย เขาพูดน้อยมากตลอดเวลา หลังจากดูสถานที่เสร็จแล้ว ก็เอ่ยขอบคุณอย่างเกรงใจ แล้วกล่าวชมเล็กน้อย มิมีกระไร
หรงซิวเห็นว่าทั้งสองเหนื่อยแล้ว จึงบอกให้พวกเขาไปพักผ่อนก่อน
เผยยวนอี้รู้กาลเทศะ เขาจึงตกลงอย่างสุภาพ แล้วมองไปที่อวิ๋นอี้ที่อยู่ด้วยตลอดทาง พยักหน้าแล้วพูดว่า “ขอบพระทัยพระชายาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ควรทำอยู่แล้วเพคะ” อวิ๋นอี้รีบตอบอย่างสุภาพ
แววตาของเผยยวนอี้ตกลงบนตัวนาง คิ้วขยับเล็กน้อย และนึกถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ พูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า “การเต้นรำของพระชายาในคืนนั้นช่างท่าทึ่งเสียจริงพ่ะย่ะค่ะ”
“อ๊ะ?”
อวิ๋นอี้สะดุ้งเล็กน้อย สบตากับแววตาที่ยิ้มแย้มของเขา
เผยยวนอี้มีดวงตาคู่สวย ซึ่งแตกต่างจากความเยือกเย็นลึกล้ำของหรงซิว และไม่เหมือนกับความเฉยเมยและความเย่อหยิ่งของลู่จงเฉิง เขาดูอ่อนโยนมาก การมองดูเงียบๆ ราวกับจะสามารถััหัวใจที่อ่อนนุ่มของเขาได้
เมื่อเห็นว่านางตะลึง เขาพลันยักไหล่แล้วพูดซ้ำ "การเต้นรำงาม คนก็งามพ่ะย่ะค่ะ"
จากนั้นเขาก็มองไปที่หรงซิว “มิแปลกใจที่เป็สุดที่รักขององค์ชาย”
เพลานี้อวิ๋นอี้ถึงได้ฟังคำของเขาชัดเจน นางย่อตัวลงพร้อมความเขินอาย ท่าทีราวสาวงามผู้เพียบพร้อม “พระองค์ทรงชมเกินไปแล้วเพคะ การแสดงอื่นก็สวยงามไม่แพ้กัน”
“ข้าจำได้เพียงท่าน”
อวิ๋นอี้มุมปากกระตุก ในใจยอมรับได้
หลังจากดูสถานที่จบหมด ตอนแรกใบหน้าของหรงซิวยังมิได้แย่ ทว่าหลังจากที่เผยยวนอี้พูดขึ้นมาไม่กี่ประโยค มุมปากของเขาก็เบ้ลงอย่างไม่ตั้งใจ
ในที่สุดทั้งสองก็ลาจากกันได้ เมื่อหันกลับมาเขาพลันคว้ามือของอวิ๋นอี้ไว้อย่างแรง อวิ๋นอี้เจ็บจนต้องหันไปมองเขา ถามเบาๆ ว่า “ทำกระไรเพคะ?”
“เปล่า” เขาพูดเช่นนั้น แขนยกขึ้นแล้วโอบไหล่ของนาง อวิ๋นอี้หมดคำพูด จนเมื่อกลับมาที่เรือนก็ยังคิดไม่ออกว่าเขาเป็กระไรไปกันแน่
นางไม่สามารถเก็บคำพูดไว้ได้ จึงถามเขา “อยู่ดีๆ โกรธกระไรเพคะ? ผู้ใดทำให้ฝ่าาไม่สบายใจ?”
“เ้าอยู่ห่างจากสองคนนั้นไว้นะ” หรงซิวนั่งลงแล้วรินชาให้นาง “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์ชายคนโตเผยยวนอี้”
อวิ๋นอี้อยู่ในความสับสน “หืม?”
“เขาคิดไม่ซื่อกับเ้า”
“...ฝ่าาพูดไร้สาระกระไรเพคะ?” อวิ๋นอี้มองเขาเป็เช่นนั้นพลันทำกระไรไม่ถูก “เขาแค่พูดไปตามมารยาทเท่านั้น”
“แล้วเหตุใดไม่มาพูดกับข้าบ้างเล่า?” หรงซิวจ้องเขม็ง
อวิ๋นอี้แทบจะกัดลิ้นตัวเอง “พูดกระไรกับฝ่าาเพคะ ฝ่าามิได้เต้นรำเสียหน่อย”
“ข้าเป่าขลุ่ย!”
“ฝ่าาอย่าทำตัวไร้เหตุผลได้หรือไม่เพคะ” อวิ๋นอี้หยิบถ้วยชาขึ้น กลืนลงไป “วันๆ คิดแต่เื่กระไรมิรู้ เหตุใดเมื่อก่อนข้าจึงมิยักรู้ว่าฝ่าาขี้หึงเช่นนี้?”
“ข้าไม่สน เื่อื่นยอมฟังเ้าได้ทั้งสิ้น ทว่าหากเ้ามิออกห่างจากเขา ข้าจะสร้างปัญหา” หรงซิวไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ไม่สนกับสถานะของตนเองแล้ว
กระไรนะ!
อวิ๋นอี้เกือบจะพูดจาหยาบคาย นางปากกระตุก เห็นได้ชัดว่าโดนหรงซิวทำเอาขนลุก มีคนนอกมาเป็แขกอยู่ในบ้าน นางไม่อยากจะเถียงกับเขา ทำได้เพียงหายใจเข้าลึกๆ และรับปากเขา
“ได้เพคะ ข้าจะอยู่ให้ห่างจากเขา”
“ควรทำอยู่แล้ว” หรงซิวเน้น “ยังมีลู่จงเฉินนั่นด้วย ต้องอยู่ให้ห่าง”
อวิ๋นอี้ตะลึงงัน เลิกคิ้วถามเขา “ทำไมเพคะ? เขาคิดไม่ซื่อกับข้าด้วยหรือ?”
“ใช่”
“คิดว่าข้าเป็สตรีสาวพราวเสน่ห์หรือไร?”
“ใช่”
“...ได้” อวิ๋นอี้ยิ้มแหย “ข้าจะพูดคุยกับพวกเขาเท่าที่จำเป็ เช่นนี้ก็แล้วกันนะเพคะ”
“อื้ม ดีมาก” หรงซิวเปิดปากยาก เขาพูดขึ้นอีกสองสามคำ
บุรุษที่เลือกแล้ว แม้จะต้องคุกเข่าก็ต้องทนสินะ
อวิ๋นอี้กลอกตาขาว หยิบหนังสือที่ยังอ่านไม่จบขึ้นมาอ่าน ยิ่งอ่านนางยิ่งอยากจะบ่นเขา นางเงยหน้าขึ้นพูดกับหรงซิว “ฝ่าาเพคะ หัวเชื้อน้ำส้มสายชู [1] ของต้าอวี่เป็ของฝ่าาทั้งสิ้น”
“เป็ก็เป็ไปสิ อย่างไรเ้าก็ออกห่างจากพวกเขาแล้วกัน”
จบแล้ว
คุยต่อไปมิได้แล้ว
ในตอนเที่ยง เพราะว่าในจวนมีแขกคนสำคัญมา อาหารจึงมีอย่างมากมาย อวิ๋นอี้เรียกให้เซียงเหอพาเสี่ยวมู่อวี่มาทานข้าวด้วยกัน ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่า เสี่ยวมู่อวี่จะขังตัวอยู่ในห้อง บอกว่าจะพักผ่อน
“พักผ่อนเพลานี้น่ะหรือ?” อวิ๋นอี้ถาม
เซียงเหอพยักหน้า “เพคะ”
เมื่อทุกคนนั่งลงหมดแล้ว มื้ออาหารกำลังจะเริ่มขึ้น อวิ๋นอี้ไม่สามารถออกจากโต๊ะไปหาเขาได้ จึงพยักหน้าให้เซียงเหอ นางเข้าใจแล้วตอบเสียงเบา “ข้าจะเอาอาหารไปให้เองเพคะ”
ข้ามเื่ของเสี่ยวมู่อวี่ไป มื้ออาหารได้เริ่มขึ้น
มีบุรุษอยู่เยอะ สิ่งที่พวกเขาพูดกันเป็สิ่งที่นางมิได้สนใจ อวิ๋นอี้ก้มหน้าก้มตาทาน บ้างก็เงี่ยหูฟังสองสามครา นางจำสิ่งที่หรงซิวพูดได้ว่าให้อยู่ห่างคนที่ ‘คิดไม่ซื่อ’ กับนาง
อันที่จริงนางรู้สึกว่าหรงซิวพูดเกินจริงไปหน่อย
นางมิใช่ของล้ำค่ากระไร ผู้คนจะชอบนางไปหมดได้อย่างไร?
ในขณะที่บ่นอยู่ในใจ เผยยวนอี้พลันมองมาที่นางแล้วถาม “เหตุใดพระชายาไม่พูดเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
“พูดกันเถิดเพคะ ข้าฟังก็พอ” อวิ๋นอี้ยิ้มแป้น ในใจคิดว่าหากนางพูดเยอะ คืนนี้ต้องโดนหรงซิวทำจนร้องไห้แน่
เผยยวนอี้มิได้ถามต่อเยอะ เพราะถูกคำถามของหรงซิวดึงดูดความสนใจไปแล้ว หรงซิวไม่อ้อมค้อม และถามตรงๆ ว่า “ท่านมาหาผู้ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ? ในเมื่อท่านมาพักที่นี่แล้ว คงจะมีเื่อยากจะให้ช่วยเหลือใช่หรือไม่?”
“ปิดบังองค์ชายมิได้เสียจริง” เผยยวนอี้พูด “ในวังของพวกเรา มีคนหายไปพ่ะย่ะค่ะ นางคือองค์หญิงเก้าที่บิดาของข้ารักและเอ็นดูที่สุด”
หือ? สตรีหรือ?
อวิ๋นอี้ประหลาดใจ นางสงสัยมาตลอดว่าเสี่ยวมู่อวี่กับราชวงศ์เป่ยิจะต้องมีกระไร ที่แท้ก็เข้าใจผิดไปหรือนี่?
เชิงอรรถ
[1] หัวเชื้อน้ำส้มสายชู 醋精 หมายถึง คนขี้หึง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้