เลี่ยวจือหย่วนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งจึงตั้งข้อสันนิษฐานด้วยสายตาเฉียบคม “หัวหน้า ข้าได้ยินว่าฮูหยินของเ้าแต่งเข้าเรือนด้วยการจัดการของพ่อแม่และแม่สื่อ แต่งงานทั้งที่ยังไม่เคยพบหน้า ตลอดห้าปีที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายต่างเคารพซึ่งกันและกันราวแขกผู้มาเยือน ไม่เหมือนสามีภรรยาแม้แต่น้อย แต่แล้ววันหนึ่งคุณหนูเหอที่เ้ารักก็บอกว่าอยากแต่งงานกับเ้า หากพวกเราไม่คำนึงถึงเสี่ยวต้วน เ้าจะยอมเลิกราและเฉยเมยต่อภรรยาของเ้าหรือไม่ เ้าจะให้แม่สื่อไปเจรจาสู่ขอคนรักของเ้าเข้าจวนตระกูลลู่อย่างถูกต้องตามธรรมเนียมหรือไม่ จะยอมสูญเสียภรรยาของเ้าเหมือนที่เหอจิ้งเซียนทำหรือไม่?”
ลู่เจียงเป่ยขมวดคิ้วแน่นเป็ปม ตนไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ เขาจะทำได้หรือ? นางจะทำได้หรือ?
“สมมติว่าคุณหนูเหอเป็แม่เลี้ยงของนาง หัวหน้าเป็เหอจิ้งเซียน แม่ของเหอตังกุยเป็ฮูหยินของท่านในตอนนี้” เลี่ยวจือหย่วนจมในจินตนาการพลางถอนหายใจ “ดูสิ แม้แต่เ้าที่ให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวและสหายได้ฟังก็ยังะเืใจ แล้วจะโทษเหอจิ้งเซียนว่าใจร้ายได้อย่างไร? เขาใจร้ายกับคุณหนูเหอและแม่ของนาง แต่ก็แสดงความรักใครต่อฮูหยินคนที่สองเป็พิเศษ ดังนั้นชิงเอ๋อร์น้องสาวข้าก็พูดไม่ผิดสักนิด” เลี่ยวจือหย่วนถอนหายใจแรง “การแต่งงานที่ถูกผู้ใหญ่จัดหาให้นั้นเลวร้ายที่สุด ต่อให้เกียจคร้านเพียงใด หากอยากแต่งกับใครก็ต้องเลือกคู่ครองด้วยตัวเอง”
ลู่เจียงเป่ยไหวศีรษะเอ่ยโต้แย้งทันที “ยากที่ขุนนางผู้ซื่อสัตย์และทำอะไรตรงไปตรงมาจะจัดการเื่เล็กน้อยในบ้าน ยิ่งเื่ในบ้านของคนอื่นก็ยิ่งไม่มีทางเป็ไปได้ คนนอกที่ไม่รู้เื่เช่นพวกเราก็ได้แต่เดาทั้งที่ไม่มีข้อมูล สมมติฐานเมื่อครู่แม้แต่ข้อมูลสักครึ่งก็ยังไม่มี ข้าเพียงอยากปกป้องความยุติธรรมให้แก่คุณหนูเหอ แต่กลับกระตุ้นให้แมวป่าเช่นเ้าหยิบยกสมมติฐานมากมายมาพูด ทั้งยังตีกรอบผู้อื่นลับหลังมั่วซั่วเช่นนี้ แมวป่า เ้าจงฟังให้ดี ข้าเคยพูดประโยคนั้นกับเกาเจวี๋ยมาก่อน หลังเกาเจวี๋ยรับปากว่าจะถอย และเื่ที่ ‘คุณหนูเหอกับต้วนเสี่ยวโหลวจะได้แต่งงานกันหรือไม่ก็ปล่อยให้เป็เื่ของพวกเขา’ เพราะข้าไม่เคยได้เข้าไปในหัวใจของนาง” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็ตึงแน่นดุจเครื่องสาย
“หัวหน้าใจเย็นก่อน พวกเราไม่ต้องเอ่ยถึงคุณหนูเหอแล้ว” เลี่ยวจือหย่วนดึงหมอนเข้าใกล้อีกครั้ง พลางโน้มหน้าแนบชิดคนข้าง ๆ ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้า ข้าได้ยินว่าตอนนั้นท่านได้เคล็ดลับสงบใจบนเตียงน้ำแข็ง ตอนนี้เป็เพราะโชคชะตาทำให้เราได้นอนบนนี้ด้วยกัน ในเมื่อเ้าไม่สามารถช่วยเพิ่มกำลังภายในของข้าได้ สู้ถ่ายทอดเคล็ดลับสงบใจให้แก่ข้าไม่ดีกว่าหรือ”
“แค่ก ๆ ข้ารู้ว่าหากเ้าไม่มีเป้าหมายก็คงไม่มาที่นี่ ที่แท้ก็เพื่อสิ่งนี้” ลู่เจียงเป่ยดึงหมอนขยับออกเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปฏิเสธ “ข้าถ่ายทอดให้เ้าได้ทุกอย่าง ยกเว้นเื่นี้ เ้าเลิกคิดเถอะ”
“เหตุใดเล่า? ขี้เหนียวเกินไปแล้วกระมัง เฮอะ หากคุณหนูเหอขอเรียนกับเ้า เ้าคงรีบสอนนางแทบไม่ทันเลยกระมัง” เลี่ยวจือหย่วนเอ่ยด้วยความอิจฉา
ลู่เจียงเป่ยหรี่ตาครุ่นคิด ก่อนเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “แม้นางจะดูอ่อนแอ แต่ร่างกายไม่อ่อนแออย่างที่เห็น การรับรู้ของนางดีไม่น้อย ถือว่ามีพร์ในการฝึกวรยุทธ์ อีกทั้งอายุตอนนี้ก็เหมาะสมแก่การฝึกยิ่งนัก หากวันไหนข้านอนไม่หลับก็จะไปถ่ายทอดเคล็ดวิชาสงบใจให้แก่นางที่ตระกูลหลัว”
“ท่านให้ความสำคัญกับความรักมากกว่าสหายเช่นนี้ ระวังถูกฟ้าผ่า” เลี่ยวจือหย่วนหงุดหงิดพลันเตะผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่ง เขากล้าใช้เพียงสายตามองตำหนิลู่เจียงเป่ยเท่านั้น แต่ไม่กล้าลงมือด้วยกำลัง เกรงว่าลู่เจียงเป่ยจะกระอักเืตายเสียก่อน เสือกำลังลำบาก ักำลังเกยตื้น หัวหน้าผู้เคยแข็งแกร่งที่คอยออกคำสั่ง ตอนนี้กลับกลายเป็คนอ่อนแอ ช่างน่าเห็นใจไม่น้อย
ลู่เจียงเป่ยหัวเราะเสียงแ่ ก่อนเอ่ยอธิบาย “ข้าไม่สอนเ้าก็เพื่อประโยชน์ของเ้า เคล็ดวิชาสงบใจไม่ใช่ใครก็เรียนได้ แมวป่า หากเ้าอยากเรียนจริง ๆ เ้าต้องเป็เหมือนหัวหน้าหน่วยตรวจสอบและรักษาความมั่นคงเฉาหงรุ่ยเสียก่อน แต่พ่อแม่ของเ้าคงไม่เห็นด้วย”
“เฉาหงรุ่ย? อย่านำข้าไปเปรียบเทียบกับขันทีที่ตายไปแล้วผู้นั้น”
ปฏิกิริยาแรกของเลี่ยวจือหย่วนคือทุบเตียงอย่างเดือดดาล ก่อนปรากฏใบหน้าตกตะลึง สายตาของเขาจับจ้องบริเวณเป้าของลู่เจียงเป่ยด้วยความประหลาดใจ พร้อมร้องเสียงแหลมราวเป็ดถูกเหยียบคอ “อ๊า เ้าบอกว่าวิชาสงบใจมีเพียงขันทีเท่านั้นจึงจะเรียนได้ หรือหัวหน้า....” เมื่อกล่าวจบก็แทบอดใจรอคำตอบไม่ไหว เขารีบเร่งยื่นมือเข้าไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง
“เฮ้อ โล่งอกไปที ตรงนั้นยังอยู่ แต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่หัวหน้า?”
ลู่เจียงเป่ยผลักมืออีกฝ่ายพลางพูดด้วยโทสะ “เคล็ดวิชาสงบใจมีสองขั้ว ขั้วหยินและขั้วหยาง ความแตกต่างจากการฝึกฝนของสตรีคือหลังบุรุษทั่วไปพัฒนาถึงขีดจำกัดของขั้วหยางจะเข้าสู่ภาวะควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อผ่านไปหลายปี ข้าเคยถ่ายทอดเคล็ดวิชาสงบใจให้เหล่าผู้บัญชาการ หวังเพิ่มความแข็งแกร่ง เมื่อทำราชกิจของฮ่องเต้จะได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทว่าต่อมากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลจึงหยุดถ่ายทอดวิชา ข้าคิดวิธีแก้ไขปัญหานั้นออกแล้วคือการควงมีดออกจากวัง กล่าวตามตรงคือวิชาสงบใจมีเพียงขันทีเท่านั้นที่ฝึกได้ แน่นอนว่าข้าจมกับวิธีนี้นานนับสิบปี จึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ วิธีปฏิบัติที่ทำให้พวกเขาใช้เป็ทางลัดในความสำเร็จนั้นแตกต่างกันไป ข้าจึงถือเป็ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว”
เลี่ยวจือหย่วนเกาศีรษะ ที่แท้วิชาสงบใจก็ไม่สามารถสำเร็จได้อย่างรวดเร็วกระนั้นหรือ?
“หลายปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งของจิ่นอีเว่ยกับก่วงซีนับวันยิ่งมากขึ้น ถึงขั้นเป็ปฏิปักษ์กันโดยสิ้นเชิง ข้าไม่สามารถหาผู้รับการถ่ายทอดที่โดดเด่นในหมู่พวกเขาได้ ทำให้ข้าเสียใจมาก แมวป่า หรือเ้าอยากเป็ลูกศิษย์คนแรกที่รับการถ่ายทอดวิชาสงบใจจากข้า?” เมื่อกล่าวจบ ลู่เจียงเป่ยก็มองอีกฝ่ายด้วยความเย้ยหยัน “ข้าไม่เป็อะไร ข้า...”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเลี่ยวจือหย่วนก็เลื่อนตัวลงจากเตียง ก่อนร้องเสียงแหลม “ข้าคือผู้สืบทอดของตระกูลเลี่ยวรุ่นที่หนึ่งร้อยหนึ่ง หัวหน้า มีใคร้าทำร้ายพี่น้องเช่นเ้าบ้าง? ในเมื่อเ้าบอกว่าสตรีสามารถฝึกฝนได้ตามใจชอบ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเ้าแล้ว ข้าจะไปสั่งห้องครัวให้ทำกับข้าวเพิ่ม แค่นี้ล่ะ ข้าขอลา”
เขากล่าวจบก็มองไปยังลู่เจียงเป่ยพร้อมเดินถอยหลังไปที่ประตูน้ำแข็งทีละก้าว แววตาจับจ้องอีกฝ่ายด้วยความกังวลด้วยกลัวว่าจะถูกจับเป็ “ผู้สืบทอด” แม้ลู่เจียงเป่ยจะได้รับาเ็หนักจนไม่สามารถลุกจากเตียงได้ แต่เขาก็ยังเป็คนอันตรายอยู่ดี เพราะลู่เจียงเป่ยนั้นได้รับสมญานามในยุทธภพว่า “เทพกระบี่ชุดขาว จักรวาลในแขนเสื้อ”
“ขอลาหรือ? เ้าแมวป่า พูดไร้สาระอะไรของเ้า? หยุดเดี๋ยวนี้ ข้ายังมีเื่สำคัญต้องบอก” ลู่เจียงเป่ยลุกนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรง กวักมือเรียกพลางเอ่ย “กลับมา ข้าเพียงล้อเล่น คู่หมั้นของเ้าเป็ลูกพี่ลูกน้องกับสกุลลู่ ฉะนั้นต่อให้ข้ากล้าหลอกเ้าแต่ข้าก็ไม่อาจโกหกนาง ยิ่งไปกว่านั้น นิสัยของเ้าอยู่คนละขั้วกับเคล็ดวิชาสงบใจของข้า”
เลี่ยวจือหย่วนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ลู่เจียงเป่ยพูดมีเหตุผล เขาห่างจากคำว่า “ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ ไร้ความปรารถนา” แม้ลู่เจียงเป่ยจะตาบอดก็คงไม่มีวันเลือกเลี่ยวจือหย่วนเป็ผู้สืบทอดแน่นอน ต้องโทษตัวเองที่จิตใจละโมบ เดิมทีการบ่มเพาะจิตใจของตนก็ฝึกถึงเพียงระดับหก แต่เมื่อเห็นกำลังภายในของลู่เจียงเป่ยแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ก็ปรารถนาจะรู้วิธีบ่มเพาะจิตใจของเขา เฮ้อ ที่แท้ “เคล็ดวิชาสงบใจ” ที่จิ่นอีเว่ยมากมายไล่ตามหา กลับมีเพียงขันทีและสตรีเท่านั้นที่ฝึกฝนได้ นี่เป็ข่าวใหญ่มาก วันหลังเขาต้องวิ่งไปแจ้งให้เก๋อจู่และคนอื่นรู้เสียแล้ว ไม่แน่อาจขุดข่าวที่น่าใเพิ่มเติมจากพวกเขาได้
ลู่เจียงเป่ยหายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกช้า ๆ แม้เ้าแมวป่าตัวนี้มักจะก่อปัญหาให้คนอื่นปวดหัว แต่ข้อดีของเขาคือสงบกว่าเกาเจวี๋ยและมีไหวพริบมากกว่าเสี่ยวต้วน ตอนนี้เขาคือคนที่เหมาะสมจะได้รับตำแหน่งแทนตนชั่วคราว
ลู่เจียงเป่ยจึงพูดถึงเบาะแสเกี่ยวกับหออู่อิ่งอีกครั้ง “สำหรับการตัดสินใจเื่ประมุขหออู่อิ่ง ทั้งหมดยังเป็เพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น แม้ข้าจะสงสัยจูฉวนที่สุด แต่ก็มีผู้หนึ่งที่วรยุทธ์เก่งกาจพอกัน เขาคือฉางนั่วหลานชายผู้บัญชาการชางอวี๋ชุน ข้าเคยพบเขาหลายครั้ง อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี แต่วิชากระบี่น่าเกรงขามนัก รูปร่างคล้ายเก๋อจู่หออู่อิ่งที่ข้าพบเมื่อวาน”
“ข้าจำได้ คนที่เ้าบอกว่ามีผู้น่าสงสัยสี่คนใช่หรือไม่?” เลี่ยวจือหย่วนถามจริงจัง
ลู่เจียงเป่ยพยักหน้าตอบ “ไม่ผิด นอกจากจูฉวนและฉางนั่ว ยังมี “เฟิงหยาง” ซึ่งเป็ผู้นำอายุน้อยของพรรคเฉาในเมืองหยางโจว ไม่นานมานี้ก็มีเิเหนียน “เ้าของหมู่บ้านหุบเขากระบี่ร้อยปี” ที่ได้รับความนิยมในยุทธภพ พวกเขาล้วนต่อสู้กับข้าได้เพียงหนึ่งร้อยกระบวนท่า เขาและฉางนั่วอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีเช่นเดียวกัน น้ำหนักก็คล้ายฉางนั่ว คนต่อมาอายุยี่สิบปีเห็นจะได้ รูปร่างสูงที่สุด เมื่อวานบนถนนหลวง ขณะต่อสู้กับเก๋อจู่หออู่อิงฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว อีกทั้งอีกฝ่ายยังใช้ผ้าขนหนูสีขาวปิดบังใบหน้า บางทีเขาอาจอำพรางกายด้วยก็เป็ได้ ดังนั้นจูฉวน ฉางนั่ว เฟิงหยางและเิเหนียนคือคนที่ข้าสงสัยมากที่สุด
เลี่ยวจือหย่วนเอ่ย “ที่แท้่ที่ผ่านมาก็มียอดฝีมืออายุน้อยมากมายถึงเพียงนี้เกิดขึ้นในยุทธภพ ข้า “ผู้รอบรู้แห่งเมืองหลวง” กลับไม่เคยรู้เื่ ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก คนอื่นอีกสามคนข้าไม่รู้จักก็ไม่ใช่เื่สำคัญอันใด แต่จูฉวน...เ้าเด็กนั่นเคยอยู่ในค่ายทหารกับข้า แสร้งอ่อนแอเหมือนขากุ้งมาหลอกข้าราวกับข้าเป็คนโง่ คิดแล้วก็แค้นยิ่งนัก เมื่อเหล่าต้าบอกว่าเขาน่าสงสัยที่สุด เช่นนั้นก็เริ่มตรวจสอบจากเขาก็แล้วกัน”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าคิด” ลู่เจียงเป่ยพยักหน้า “หากจูฉวนคือผู้บัญชาการหออู่อิง ตอนนี้พวกเขาอาจตามหาที่พักรักษาตัวของข้าก็เป็ได้ วันที่ยี่สิบสองของเดือนนี้จะมีการซ้อมรบในสนามเมืองต้าหนิง ระยะทางของจวนต้าหนิงไม่ไกลนัก หากเขาาเ็หนักย่อมไม่มีทางร่วมซ้อมรบได้แน่ ข้าส่งสายสืบไปสืบข่าวเพื่อนำมาบอกพวกเรา ถึงตอนนั้นหากจูฉวนขาดการซ้อมรบ เ้าก็แจ้งข้อหา “ขาดงานโดยไม่ได้ลาเป็ทางการ” ทำให้ “การปฏิบัติตามแผนของทหารล่าช้า” ไม่ว่าเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหออู่อิงหรือไม่ สุดท้ายมันก็จะดึงดูดความสนใจของฮ่องเต้ได้”
เลี่ยวจือหย่วนคิดว่าวิธีนี้ย่อมเป็ไปได้จึงเอ่ยคล้อยตาม “ไม่เลว ฮ่องเต้มีนิสัยหวาดระแวง แม้พระองค์จะทรงบอกว่าไม่ตั้งใจทำโทษจูฉวน แต่ก็แอบสั่งให้ตงก่วงสืบการเคลื่อนไหวของจูฉวนลับ ๆ จากนั้นก็จะเป็เื่ยากของจูฉวนเมื่ออยากออกจากเมืองต้าหนิงไปหออู่อิง ดี เช่นนั้นก็ตกลง หัวหน้าก็รักษาตัวที่นี่ให้หายดี ข้าจะกลับหมู่บ้านซานจวงไปดื่มไปกิน บำรุงพลังแล้วจะเร่งออกไปต่อสู้กับจูฉวน” กล่าวจบก็ยกมือคำนับก่อนเหวี่ยงเสื้อคลุมพาดไหล่ กำลังจะหันหลังเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน” ลู่เจียงเป่ยเรียกเขา “เ้าแมวป่า ข้า ข้ายังมีอีกเื่...”
เลี่ยวจือหย่วนหันกลับมาด้วยใบหน้าราว “ข้าประหลาดใจยิ่งนักหรือข้าประหลาดใจเหลือเกิน” ก่อนจับจ้องลู่เจียงเป่ยพลางเอ่ยถาม “หัวหน้ายังมีเื่ให้ข้าทำอีกหรือ? แต่ตอนนี้คนของพวกเราไม่พอ เกาเจวี๋ยก็หยุดพัก เสี่ยวต้วนก็รีบกลับจวน คนอื่นก็ไปดื่มชาที่ถนนใหญ่ตงต้า ข้าทำได้เพียงภารกิจเดียวเท่านั้น ตามความเห็นของข้า พวกเราต้องทำคดีนี้เป็อันดับแรก จะมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าเื่นี้อีก?” หัวหน้าเอ๋ยหัวหน้า สุดท้ายท่านก็กลายเป็เช่นนี้ มา ๆ มาขอร้องข้าเร็ว
ลู่เจียงเป่ยก้มหน้าเศร้าใจครู่หนึ่ง หว่างคิ้วของเขาขมวดเป็ปม ก่อนหน้านี้มัวแต่ดิ้นสู้กับเลี่ยวจือหย่วน ทำให้ผมสีดำกระจัดกระจายบนไหล่ ปอยผมตกระคอ ปลายผมก็ััไหปลาร้าอันบอบบางพอดี
ไม่นานก็เงยมองเลี่ยวจือหย่วนพลางเอ่ยปรึกษาด้วยน้ำเสียงแ่เบา “เ้าแมวป่า ข้ารู้ว่าเื่นี้ยากสำหรับเ้า แต่นอกจากเ้าก็ไม่มีใครทำได้ ข้าจึงอยากขอร้องให้เ้าช่วย ก่อนหน้านี้เ้าบอกว่าฉีเสวียนอวี๋พบ “ความลับสุดยอด” ในภาพเหมือนของเหอตังกุย ทั้งยังบอกอีกว่านางเหมือนอีกคนมาก ช่างประหลาดนัก เ้ารู้หรือไม่ว่าแม้คนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันสองคนจะมีใบหน้าคล้ายกัน แต่ก็ไม่สามารถเรียกว่า “ความลับสุดยอด” ได้”
เลี่ยวจือหย่วนเอียงศีรษะเกาคาง “อืม อันที่จริงแล้ว...ตอนคนผู้นั้นมาหาข้า พวกเราดื่มเหล้าไปไม่น้อย ข้าอาจฟังผิดหรือเขาอาจดื่มจนเมาแล้วพูดเลอะเทอะก็เป็ได้ มันอาจเป็เช่นนี้ “เสื้อ….ความลับสุดยอด”...“ความลับสุดยอด”...“คน...สวยสุดยอด...” ก็ได้ ฮ่า ๆ เขาอาจชื่นชมความงามของคุณหนูเหอจนตกหลุมรักนาง”
“เ้าแมวสมควรตาย หากเ้ายังพูดเหลวไหลเช่นนี้อีก แม้ข้าจะขยับไม่ได้ แต่ก็มีวิธีที่ทำให้เ้าทรมาน” ลู่เจียงเป่ยเดือดดาลอีกครั้ง ก่อนเอ่ยจริงจัง “ฉีเสวียนอวี๋เป็คนเช่นไร เ้ากับข้าต่างรู้ดี เขาไม่เคยเห็นหน้าเหอตังกุยมาก่อน เพียงภาพเหมือนภาพเดียวกลับทำให้เขาวิ่งไปให้หอฉางเยี่ยสืบภูมิหลังของนางเชียวหรือ มันแปลกประหลาดเกินไป จะต้องมีเื้ัแน่นอน”
“ไม่ว่าแปลกหรือไม่ แต่มันเกี่ยวข้องกับข้าอย่างไร?” เลี่ยวจือหย่วนถามกลับ เมื่อเห็นลู่เจียงเป่ยไม่ตอบจึงหมุนตัวเดินออกจากประตู เหอตังกุยผู้นั้นได้หัวใจของเหล่าพี่น้องทั้งสามของตนไปภายในไม่กี่วัน ทำให้พวกเขากลายเป็ผู้พลีชีพให้แก่นาง ตอนนี้ชีวิตของหัวหน้าสูญเสียไปกว่าครึ่งแต่กลับยังนึกถึงนาง จะไม่ให้เขาอิจฉาได้อย่างไร?
“หยุด” ทันใดนั้นเสียงจากแสงสีฟ้าสายหนึ่งก็พลันผ่านร่างเลี่ยวจือหย่วนตรงมาที่หูของเขา ปิดกั้นทางเดินของประตูน้ำแข็ง ต่อมาแสงสีฟ้าก็หายวับไป ประตูน้ำแข็งที่แข็งแกร่งราวเหล็กเย็นก็แตกสลายทันที
ลู่เจียงเป่ยที่อยู่บนเตียงอีกด้านหนึ่งของถ้ำน้ำแข็งก็ะโ “เ้าแมวป่า เ้าอยากลองดูหรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้