ค่ำมืดแล้วรัตติกาลแผ่คลุมแผ่นฟ้าทั้งผืน มืดมิดราวกับน้ำหมึกสาดเท ดวงจันทร์ค่อยๆ ลอยเด่นขึ้นมา คืนที่สองที่ไท้หยูมายังโลกใบนี้ ทว่าเื่ราวที่พบเจอมากมายจนเขาแทบจะรับไม่ไหว ราวกับเขาผ่าน่เวลาของโลกใบนี้มานับปีแล้วมิปาน
สิ่งหนึ่งที่ขันทีผมขาวบอกไท้หยูมิใช่แค่เื่เดียวและเื่เล็ก ทว่าจวบจนป่านี้เขายังหวาดหวั่นอยู่ไม่คาย มาตรว่ามั่นใจว่าตนเองเป็ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งสุดยอดผู้หนึ่ง ทว่าเมื่อได้ฟังเื่ราวทั้งหมดแล้วยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง
พรรคอัปสรมิใช่พรรคที่กระจ้อยร่อยดั่งที่คาดคิด เดิมไท้หยูคาดว่าผู้ที่อยู่เื้ัของพรรคอัปสรคงมีอำนาจในเมืองหลวงอยู่ไม่น้อย อาจเป็ขุนนางชั้นสูงหรือแม่ทัพสักคนหนึ่ง ทว่าความจริงเปิดเผยว่ามิได้เรียบง่ายดั่งที่คาดไว้
พรรคอัปสรมิได้เป็เพียงกลุ่มอำนาจในเมืองหลวง ทว่ากระจายตัวอยู่ทั้งเจ็ดดินแดน มีผู้นำระดับสูงสุดห้าคน ผู้นำแต่ละคนล้วนเป็ผู้มีอำนาจใหญ่ของเจ็ดดินแดน ในเมืองหลวงผู้ที่มีอำนาจสูงสุดย่อมเป็ฮ่องเต้และราชสำนัก
ฮ่องเต้จะอย่างไรไม่มีทางเป็ผู้นำของกลุ่มอำนาจเช่นนี้อยู่แล้ว เช่นนั้นก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าผู้นำของพรรคอัปสรในเมืองหลวงย่อมต้องเป็ชนชั้นสูงเ่าั้
หลินกงกงอยู่ในเก๋งลอยน้ำกลางทะเลสาบ กำลังจิบชาหอมกรุ่นที่ไท้หยูชงให้ ใบชาเป็ชาชั้นเลิศที่ปลูกทางเหนือของอาณาจักรชางไห่ หนึ่งปีให้ผลผลิตไม่มากจึงมีราคาแพงทั้งให้รสชาติละมุน
หลินกงกงมองดูควันที่ลอยออกจากแก้วชากล่าวว่า
“ข้าจะไขข้อสงสัยข้อหนึ่งให้แก่เ้าข้าคาดว่าเ้าเองก็คงสงสัยว่าเหตุใดจึงมีศัตรูอย่างพรรคอัปสร”
ถูกแล้วเขาสงสัยมานานแต่ไม่ได้รับคำตอบ ไท้หยูครุ่นคิดอยู่ในใจ เื่นี้ดูไม่สมเหตุสมผลสักเท่าใด หากจะบอกว่าผู้ร้าย้าวิชาและสิ่งของที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักพันปีทิ้งเอาไว้ยังไม่มีแรงจูงใจมากพอ
เพราะว่าจะอย่างไรสำนักพันปีก็ผ่านมาหลายรุ่น ลูกศิษย์หลานศิษย์ที่เคยเข้าออกสำนักก็มีไม่น้อย ความลับเกี่ยวกับวิชาของสำนักพันปีคงมีเล็ดลอดออกไปอยู่บ้าง สิ่งที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งทิ้งเอาไว้นั้นไม่มีค่าพอให้ลงทุนลงแรงเช่นนี้
ฉะนั้นแล้วเป้าหมายของศัตรูอยู่ที่ใด?
หลินกงกงกล่าวสืบต่อว่า
“ฮ่องเต้ทรงพระชนม์ยืนยาวถึงสามศตวรรษ เ้าคงรู้กระมัง”
ไท้หยูขมวดคิ้วเล็กน้อยสำหรับเื่นี้เขารู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง แม้แต่บรรพชนสำนักพันปีที่บรรลุระดับเซียนนิรันดร์ยังไม่มีอายุยืนยาวถึงเพียงนี้ ส่วนปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งเขายังไม่เคยถาม
“พอทราบอยู่บ้าง”
หลินกงกงกล่าวว่า
“มนุษย์เราสามารถมีอายุได้เกินร้อยปีนับว่าหายากแล้ว สำหรับผู้ฝึกตนหากฝึกถึงระดับสูงและใช้ชีวิตอย่างดีคงจะมีอายุสักสองร้อยปี นั้นคือมากที่สุด ต่อให้เป็เซียนนิรันดร์ก็ไม่สามารถมีชีวิตะได้ ฮ่องเต้ของชางไห่เราทุกรุ่นล้วนมีพระชนม์ยืนยาวมากกว่าสามร้อยปีขึ้นไป บางพระองค์ยังเป็มนุษย์ธรรมดาไม่ได้ฝึกตน เ้าสงสัยหรือไม่เป็เพราะอะไร”
คำถามนี้สะกิดความสนใจของไท้หยูขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้นยังสร้างความตื่นตะลึงแก่เขาอย่างยิ่ง ฮ่องเต้ชางไห่ทุกพระองค์อายุยืนยาวถึงสามร้อยปี? แม้แต่เซียนนิรันดร์ยังทำไม่ได้ แม้แต่ฮ่องเต้ที่ไม่ได้ฝึกตนก็มีอายุยืนยาว? มนุษย์ธรรมดาสามารถมีชีวิตยืนยาวได้ปานนั้น?
“สิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้ทุกพระองค์มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งยืนยาว มาจากพลังศรัทธาแห่งอาณาจักร เป็พลังที่ไร้รูปไม่สามารถจับต้องได้ เป็พลังที่รวบรวมจากทุกชีวิตที่อยู่ใต้อำนาจของพระองค์ ศรัทธาคือสิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้สามารถอยู่ได้นานกว่าเซียนนิรันดร์”
“ศรัทธาคือสิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้สามารถมีชีวิตยืนยาว?” ไท้หยูตื่นตะลึงกับคำตอบที่ได้ เพียงแค่ศรัทธานี่หรือ สามารถทำให้คนมีชีวิตยืนยาวมากกว่าสามร้อยปีได้?
“ศรัทธาที่ว่ามิใช่ ศรัทธาเทิดทูน ทว่ามาจากชีวิตที่อยู่ใต้อาณัติของฝ่าา ยิ่งชางไห่มีราษฎร์มากเท่าใดก็จะยิ่งมีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น”
อาณาจักรชางไห่เป็อาณาจักรมนุษย์บริสุทธิ์ที่มีประชากรมากที่สุดในเจ็ดดินแดน มีหลายสิบล้านชีวิต ศรัทธาที่ว่ามาจากหลายสิบล้านชีวิตนี้?
ไท้หยูนวดหว่างคิ้วคล้ายรับเื่หนักหนาเหล่านี้ไม่ไหวพลางถามว่า
“เช่นนั้นนี่เกี่ยวอะไรกับสำนักพันปี”
“สำนักพันปีก่อตั้งขึ้นพร้อมกับการสถาปนาอาณาจักรชางไห่ เ้าไม่เคยสงสัยเลยหรือว่าในตอนนั้นไฉนก่อตั้งขึ้นพร้อมกัน”
“เพราะปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง ตาเฒ่าน่ารังเกียจในร่างของข้าเป็พี่น้องร่วมสาบานกับปฐมฮ่องเต้” ไท้หยูตอบคำถามนี้ในใจ เปลือกนอกยังแสร้งตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็น
ราวกับรู้สิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ หลินกงกงกล่าวว่า
“ไม่ใช่แค่เพราะว่าทั้งปฐมฮ่องเต้และท่านผู้เฒ่าสำนักพันปีเป็พี่น้องร่วมสาบาน ทว่าอาณาจักรชางไห่เชื่อมโยงกับสำนักพันปี เทือกเขาหยก สำนักพันปีก็คือที่กักเก็บพลังศรัทธาของฮ่องเต้ ไม่เช่นนั้นสำนักพันปีที่ทุกรุ่นมีแต่อ่อนแอลงเรื่อย ๆ จะสามารถอยู่มาได้จนถึงป่านนี้หรือ”
ไท้หยูตัวแข็งทื่อไปแล้ว ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งในร่างพลันเอ่ยขึ้นมาว่า
“ใช่แล้ว ตอนนั้นข้าสร้างสำนักพันปีขึ้นมาเพื่อรวบรวมศรัทธาที่กระจัดกระจายของอาณาจักรชางไห่ แรกเริ่มสถาปนาแผ่นดิน แม้เปลี่ยนถ่ายราชวงศ์สร้างอาณาจักรใหม่ขึ้นมา ทว่าใจของราษฎร์มิได้อยู่ที่ฮ่องเต้ ผู้มีอำนาจส่วนใหญ่แม้พ่ายแพ้ไปแล้วทว่าชาวบ้านยังคงไม่ยอมรับ ข้าจึงได้สร้างสำนักพันปีขึ้นมา เปรียบเสมือนลัทธิ เป็ศาสนาประจำแผ่นดินชางไห่ให้ราษฎร์ยึดเหนี่ยวจึงสามารถรวบรวมศรัทธาของประชาชนเป็ปึกแผ่นได้ เฮ้อ ต้องโทษศิษย์ของข้าที่ไม่ได้เื่ ละเลยการถ่ายทอดหน้าที่และเื่ทั้งหมดนี้ให้รุ่นหลัง กลับเอาแต่คิดจะบัญญัติวิชาใหม่เพื่อล้มความเป็อัจฉริยะของอาจารย์ที่ไม่มีทางเป็ไปได้”
หน้าที่สำคัญเช่นนี้กับละเลยไป? ไท้หยูกล่าวในใจว่า
“ท่านจะบอกว่า หน้าที่แท้จริงของสำนักพันปีเป็เสมือนศาสนาประจำแผ่นดิน แต่เพราะลูกศิษย์ของท่านละเลยเื่นี้จึงไม่ได้สืบทอดด้านนี้แก่ประมุขรุ่นถัดๆ มา?”
มารดามันเถอะ ทั้งท่านทั้งลูกศิษย์ของท่านล้วนเป็ตัวเลวร้ายใช้ไม่ได้ สิ่งที่เป็จุดประสงค์หลักของสำนักกลับถูกทอดทิ้งไปเช่นนี้ มิน่าเล่าประมุขแต่ละรุ่นยิ่งอยู่จึงยิ่งถดถอย ข้ายังเข้าใจว่าสาเหตุที่สำนักพันปีอยู่รอดมาได้โดยไม่ล่มสลายเพราะอาศัยความแข็งแกร่งลี้ลับของมหาพยุหะที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสร้างเอาไว้เสียอีก ที่แท้กลับมีเหตุและผลเช่นนี้ ถึงกับเกี่ยวพันความลับที่ยิ่งใหญ่
ไท้หยูพลันเอ่ยขึ้นมา
“เช่นนั้นหมายความว่าผู้ที่อยู่เื้ัพรรคอัปสรคิดจะก่อฏ โค่นล้มบัลลังก์ของฝ่าา? เป็ผู้ใดช่างขวัญกล้า.....” ยังพูดไม่ทันจบก็พอจะคาดเดาบางอย่างได้ถึงกับหัวใจเต้นแรงไม่กล้าเอ่ยออกมา
หลินกงกงหันกลับมา น้ำชาในถ้วยถูกดื่มจนหมด มองไท้หยูด้วยใบหน้ายิ้มแย้มกล่าวว่า
“เ้าคงจะคาดเดาออกแล้วกระมัง ในแผ่นดินนี้ อาณาจักรนี้ยังจะมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้”
ไท้หยูกลืนน้ำลายดังเฮือกราวกับกลืนก้อนกรวดเม็ดใหญ่
หลินกงกงพลันกล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า
“ฮ่องเต้มีพระชนม์ยืนยาวสำหรับราษฎร์ถือเป็เื่ดี ทว่ากับผู้ที่มีสิทธิ์นั่งบัลลังก์ต่อจากพระองค์ถือเป็เื่ที่เลวร้ายที่สุด เพราะตำแหน่งและอำนาจของตนยากจะมาถึงมือ เมื่อรอแล้วรอเล่ายังไม่มีสิทธิ์ได้นั่งบนบัลลังก์ก็ได้แต่ทำเื่เช่นนี้”
ตอนแรกไท้หยูยังคาดเดาว่าผู้ที่อยู่เื้ัและคิดจะโค่นล้มบัลลังก์นี้เป็พระอนุชาของฮ่องเต้ แต่แล้วพลันนึกได้ ฮ่องเต้พระชนม์สามร้อยกว่าปี พระอนุชาของพระองค์คงสิ้นลมไปตั้งนานแล้ว พอฟังขันทีผมขาวกล่าวจึงทราบได้ว่าคนที่ลงมือคงเป็รัชทายาท
ไท้หยูรู้สึกเื่นี้หนักหนาอย่างยิ่ง เป็การแย่งชิงกันในครอบครัวของพระเ้าแผ่นดิน เื่เลยเถิดจากที่คาดคิดเอาไว้อยู่มาก ดังนั้นกล่าวว่า
“การที่ท่านเอ่ยเช่นนี้ หมายความว่าฝ่าาก็ทรงทราบอยู่แล้ว เหตุใดฝ่าาจึงไม่ทำอะไรเลย?”
ผิวน้ำนิ่งสงบสะท้อนฟ้ารัตติกาลและจันทราอันเย็นเยียบกลางฟ้า ใจคนกลับเต้นตูมตามทั้งร้อนรุ่มทั้งแตกตื่น
หลินกงกงพลันกล่าวว่า
“แม้แต่พยัคฆ์ยังไม่กินลูกตนเอง ฝ่าาย่อมไม่้าล้างเืเนื้อเชื้อไขของตนเอง..” หยุดมองไท้หยูเล็กน้อยแล้วค่อยกล่าวต่อว่า
“อีกอย่างเพราะไทจื่อยังไม่ขวัญกล้าถึงขั้นลอบสังหารฮ่องเต้ตรงๆ ดังนั้นฝ่าาจึงแสร้งเป็มองไม่เห็น”
นี่ไหนเลยต่างจากการลอบสังหาร หากสามารถทำลายสำนักพันปี ทำลายความเชื่อมโยงระหว่างเทือกเขาหยกและชางไห่ได้ ไยมิใช่หมายถึงความพินาศของฮ่องเต้ แม้นว่าไม่ได้ลงมือโดยตรงทว่าผลลัพธ์แล้วก็ถือการลอบสังหารเช่นกัน แต่กระนั้นฮ่องเต้ก็ไม่คิดจะทำอะไร?
ไท้หยูรู้ถึงจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของขันทีผมขาวแล้ว สีหน้าเขาย่ำแย่ลงเล็กน้อยคาดเดาบางอย่างในใจ ดูเหมือนเขาจะเป็ผู้ที่ถูกเลือก...ถูกเลือกให้เป็คนแก้ปัญหาให้ผู้อื่นอยู่เรื่อยไป หรือนี่คือชะตาของผู้ที่มีพลังโคจรแห่งฟ้าอะไรนั่น?
หลินกงกงกล่าวว่า
“ซึ่งอันที่จริงมิใช่ฝ่าา้ามอบหน้าที่ให้กับเ้า ทว่าเดิมที่นี่ก็เป็หน้าที่ของสำนักพันปีอยู่แล้ว แต่เดิมสำนักพันปีถูกก่อตั้งมาก็มีไว้เพื่อปกป้องฮ่องเต้ เป็ขุมกำลังลับของพระเ้าแผ่นดิน เพียงแต่ที่ผ่านมาอดีตฮ่องเต้ล้วนปลอดภัยสถานการณ์บ้านเมืองก็ปกติดี หน้าที่นี่ของพวกเ้าประมุขสำนักจึงถูกละเลยไป” ขันทีผมขาวพลันทอดถอนใจกล่าวตัดพ้อว่า
“น่าเสียดาย ประมุขสำนักพันปีผ่านหนึ่งรุ่นก็อ่อนทรามลงหนึ่งรุ่น”
ไท้หยูสะอึกเล็กน้อยหางคิ้วกระตุกเบาๆ มารดามัน นี่ไยมิใช่ด่าข้าว่าไม่ได้เื่ทางอ้อม? หากไม่ใช่เห็นพลังอันน่าสะพรึงของขันทีผมขาวกับตา ไท้หยูจะเดินเข้าไปถีบระบายอารมณ์ใส่สักเท้าหนึ่ง คนบนโลกนี้เป็อะไรไปกลับรู้สึกแต่ออกคำสั่งกับผู้อื่น ไม่เคยมองว่าผู้อื่นสามารถทำให้ได้หรือไม่ ทว่าเขาได้แต่บ่นแล้วถอนหายใจผสานมือคารวะกล่าวว่า
“หลินกงกงโปรดชี้แนะ”
กล่าวจบขันทีผมขาวก็โบกมือคราหนึ่ง ป้ายทองครึ่งวงกลมแผ่นหนึ่งพลันลอยมาอยู่ตรงหน้า ป้ายทองแกะสลักัขนด ไท้หยูยื่นมือไปรับมาป้ายทองพลันสั่นะเื ปรากฏแสงทองเรืองรองจนทำให้บรรยากาศหนักอึ้ง จากนั้นป้ายทองพลันขยายกลายเป็ดาบสีทองเล่มหนึ่ง ตัวดาบตรงยาวแกะลายเกล็ดัสะท้อนประกายสูงส่ง ด้ามจับสีทองเป็หางั ยามอยู่ในอุ้งมือราวกับหางันั่นสะบัดไปมา
“ซั่งฟางเป่าเจี้ยน” ดาบศักดิ์สิทธิ์ของฮ่องเต้ ใช้แทนพระราชอำนาจในการสอบสวน จับกุม และปะาผู้ที่กระทำผิดได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แม้จะเป็ขุนนางระดับสูงก็ไม่มีสิทธิ์ค้านอำนาจของซั่งฟางเป่าเจี้ยน
มีดาบัทองเล่มนี้อยู่ในมือ สำหรับในอาณาจักรชางไห่สามารถเรียกได้ว่าเหนือปวงชนทั้งใต้หล้า รองเพียงใต้บาทฮ่องเต้
ไท้หยูเบิกตากลมโตด้วยความแตกตื่น สำหรับเขาแม้นเกลียดฮ่องเต้ในโลกเก่าเข้าไส้ แต่ทราบว่าอำนาจตัวแทนของเ้าแผ่นดินนั้นหมายความว่าอย่างไร เขาประคองดาบัทองด้วยมือสั่นเทา คิดในใจว่า
“ฝ่าาบ้าไปแล้วหรือ”