“แม่ แม่จะเรียนวิธีการหารแล้วหรือคะ?” ซ่งวั่งซูมองซย่านีด้วยสายตาชื่นชม “หนูไปโรงเรียนมาสองปีแล้วที่โรงเรียนเพิ่งจะสอนวิธีการหารเอง แม่คะ แม่เก่งมากจริงๆ”
ซย่านีหัวเราะแห้งๆ อันที่จริงแล้วเธอชอบเวลาได้รับคำชมจากลูกสาวมากๆ แต่เธอไม่อาจทำเช่นนั้นยามอยู่ต่อหน้าซ่งหานเจียงได้ ซย่านีเขินอายมากและนั่นเพื่อป้องกันไม่ให้ซ่งหานเจียงพูดความจริงออกมา เธอเลยกล่าวอย่างถ่อมตัวยิ่งนัก “แม่อายุมากกว่าลูก ย่อมต้องเรียนรู้เร็วกว่าลูกอยู่แล้ว”
ซ่งวั่งซูพยักหน้าและกล่าวชมซย่านีอีกครั้ง “ถึงแบบนั้นแม่ก็เก่งมากอยู่ดีค่ะ”
ซย่านียิ้มตาหยีและคีบเนื้อหมูชิ้นสุดท้ายลงบนจานให้ลูกสาว”กินข้าว!”
ซ่งตงซวี่ไม่ได้แย่งพี่สาว เขาเบะปากอย่างไม่พอใจแทน “ผมก็อยากได้เหมือนกัน!”
จากนั้นซย่านีก็คีบขึ้นฉ่ายให้เขา
ซ่งตงซวี่พูดไม่ออกไปทันที “…”
ซ่งหานเจียงเห็นท่าทางของลูกชายแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาลูบศีรษะของลูกชายเพื่อปลอบใจ จากนั้นก็หันไปพูดกับซย่านีว่า “เดี๋ยวอีกสักสองวันผมจะหาแบบฝึกมาให้คุณทำเพิ่มนะ”
ซย่านีรีบปฏิเสธทันที “ไม่ต้องๆ ไม่ต้องแล้ว”
ซ่งหานเจียงเอ่ยชี้แนะอย่างจริงใจ “การบวก การลบ การคูณและการหารถือว่าเป็พื้นฐานของคณิตศาสตร์ ในการทำแบบฝึกหัดไม่ใช่แค่การรวมสูตรคำนวณเข้าด้วยกันแต่คุณยังต้องฝึกฝนวิธีการคิดวิเคราะห์ด้วย”
ซย่านีกล่าวด้วยท่าทางเกรงใจ “คุณเรียนหนักขนาดนั้น ฉันจะไปกวนเวลาคุณได้ยังไง เดี๋ยวฉันไปร้านหนังสือซินหวาแล้วซื้อเองก็ได้”
ซ่งหานเจียงกล่าว “แบบนั้นไม่ได้หรอก คุณเพิ่งเริ่มเรียนคณิตศาสตร์เอง คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าโจทย์ประเภทไหนเหมาะกับคุณ?” จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและกล่าวว่า “เอาเป็ว่าตกลงตามนี้แล้วกัน ผมยังมีเื่ที่ต้องทำที่มหาวิทยาลัยอีก ซย่านี คุณกินข้าวต่อไปเถอะ ผมต้องไปแล้ว”
“เอ่อ...” ซย่านียื่นมือออกมา
ซ่งหานเจียงเดินเร็วราวกับบินได้ หลังจากเดินออกประตูบ้านมาแล้วเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ศิษย์พี่ใหญ่บอกว่าจะต้องมอบของที่อีกฝ่าย้ามากที่สุดและต้องส่งให้ถึงใจอีกฝ่ายด้วย เขารู้สึกว่าวันนี้ตนเองทำผลงานได้ดีเลยทีเดียว
ซย่านีมองแผ่นหลังของซ่งหานเจียงที่ดูตื่นตระหนกเล็กน้อย เธอทำหน้างงๆ เขามาที่นี่เพื่อเอาหนังสือสองกองนี้มาให้เธอแค่นี้น่ะหรือ? แล้วเื่หย่าเล่า? เื่หย่าจะจัดการเมื่อไหร่? บอกก่อนแล้วค่อยไปก็ได้นี่!
ซย่านีมองไปที่กองหนังสือเรียนสองกอง แล้วส่ายหน้าอย่างพูดไม่ออก จากนั้นเธอก็มัดเชือกที่กองหนังสืออีกรอบและยกไปเก็บในห้อง
พอเดินกลับมาที่โต๊ะอาหาร เธอก็ต้องล้างมือใหม่อีกรอบ จากนั้นค่อยมากินข้าวต่อ เธอเพิ่งจะหยิบหมั่นโถวขึ้นมา จู่ๆ ซ่งตงซวี่ก็เอ่ยถามว่า “แม่ ตอนนี้แม่เก่งคณิตกว่าผมแล้ว คงไม่ต้องให้ผมสอนแล้วใช่ไหมฮะ?”
ซย่านีมองไปทางลูกชายด้วยสายตาผ่อนคลาย
ซ่งตงซวี่ทนต่อแรงกดดันและบททดสอบจากมารดาไม่ไหวอีกต่อไป เขารีบกล่าวขึ้นทันที “ผมเพิ่งจะเรียนการบวกลบเอง ยังไม่ได้เรียนการคูณเลยด้วยซ้ำแต่ตอนนี้แม่จะได้เรียนการหารแล้ว!”
ซย่านียิ้มเบาๆ “ไม่เป็ไร ลูกสอนภาษาจีนแม่ก็ได้”
“แม่ฮะ แม่เรียนพินอินจนเป็แล้ว ทุกตัวอักษรบนหนังสือเรียน มีพินอินกำกับไว้หมด แม่ฮะ แม่แค่ลองอ่านดูก็เข้าใจได้เองแล้ว” ซ่งตงซวี่ไม่อยากสอนหนังสือแม่อีกแล้ว แม่มักจะมีคำถามมากมายเหลือเกินแค่บทกวีโบราณหนึ่งบท เขาไม่เพียงแต่ต้องนั่งแปลความหมายให้แม่ฟังทุกประโยค ทว่าเขายังต้องตอบว่าหลังอ่านบทกวีจบแล้วตนเองมีความคิดเห็นต่อบทกวีนี้อย่างไรอีก ทำให้เขาต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวมาก...แต่ว่าเขาอยากไปเล่นกับเพื่อนมากกว่า!
“ไม่ได้” ซย่านีมีสีหน้าจริงจัง “ซ่งตงซวี่ เวลาลูกอยู่ในห้องเรียน คุณครูของลูกเคยพูดว่า ‘คุณอ่านพินอินได้แล้วงั้นเรียนรู้คำศัพท์และตัวหนังสือในบทเรียนด้วยตัวเองก็แล้วกัน ครูไม่สอนแล้วนะ’ กับพวกลูกๆ ไหม?”
ซ่งตงซวี่ส่ายหน้าตอบ
“แล้วทำไมลูกถึงพูดแบบนี้?” ซย่านีมีสีหน้าเข้มขึ้น
ซ่งตงซวี่เบะปากทำหน้ามุ่ย “แต่คุณครูของพวกเราได้เงินเดือนนี่นา!”
ซย่านีถามกลับ “แม่ก็ให้ค่าขนมลูกไม่ใช่เหรอ?”
“คุณครูของพวกเราได้เงินเดือนสูงมาก!”
“แต่คุณครูของพวกลูกต้องสอนหนังสือเด็กตั้งหลายคน แต่ลูกสอนแม่แค่คนเดียวเองนะ”
ซ่งตงซวี่พูดไม่ออกแล้ว
ซย่านีถอนหายใจเบาๆ แล้วลดน้ำเสียงให้อ่อนโยนลง “ซ่งตงซวี่ คนเราต้องซื่อสัตย์ต่อคำพูดของตนเองนะ เื่ที่สัญญากับแม่ไว้เป็มั่นเป็เหมาะ แค่ลูกบอกจะไม่ทำก็จะไม่ทำตามสัญญาได้หรือ? ถ้าแม่สัญญาว่าจะให้เงินค่าขนมลูกแล้วแต่พอผ่านไปวันรุ่งขึ้นแม่ก็ไม่ให้เงินค่าขนมกับลูกเล่า ลูกจะเสียใจไหม?”
ซ่งตงซวี่ถูกเกลี้ยกล่อมจนเริ่มคล้อยตามแล้ว
ซย่านีฉีกยิ้มอย่างพอใจพลางกล่าวว่า “เอาล่ะ รีบกินข้าวเถอะ กินข้าวเสร็จแล้ว ลูกสองคนจะได้นอนกลางวันสักหน่อย ตอนบ่ายจะได้ไม่ง่วงนอนกัน”
ใน่บ่ายซย่านียังคงทำยางรัดผมต่อไป พอถึงเวลาเกือบสี่โมงครึ่งซย่านีก็ได้รับโทรเลขฉบับหนึ่งจากบุรุษไปรษณีย์
สิ่งนี้ก็คือโทรเลขจากซย่าซานนี ้าเขียนตัวอักษรไว้เพียงสี่คำว่า ‘พรุ่งนี้แปดครึ่ง’ ในยุคสมัยนี้โทรเลขจะถูกเรียกเก็บเงินตามจำนวนคำ โดยมีราคาอยู่ที่สามสตางค์ต่อหนึ่งตัวอักษรถือว่าแพงสำหรับคนธรรมดา เพราะเหตุนี้เวลาคนส่งโทรเลขจึงพยายามลดจำนวนคำให้สั้นลง
แม้ว่าโทรเลขที่ซย่าซานนีส่งมาจะเรียบเงียบมาก และความหมายก็ครบถ้วน เช่นนี้นั่นก็หมายความว่าพ่อกับแม่ยอมตกลงเื่ที่จะให้ซย่าซานนีมาหาเธอที่ปักกิ่งแล้ว และน้องสาวของเธอก็ได้ซื้อตั๋วรถไฟเป็ที่เรียบร้อยแล้วด้วยซึ่งจะมาถึงวันพรุ่งนี้ตอนเวลาแปดโมงครึ่ง
ซย่านีมีความสุขมาก พอนับจากเมื่อชาติที่แล้วตอนนี้เธอไม่ได้เจอน้องสาวคนนี้มาหลายปี ถ้านับชีวิตในชาตินี้เวลานี้ก็ปาไปสองปีแล้วที่เธอไม่ได้เจอกับน้องสาวคนนี้
“แม่ แม่ยิ้มอะไรหรือ?”
ซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่เลิกเรียนและกลับบ้านมาแล้ว เด็กทั้งสองคนเพิ่งก้าวเข้าประตูบ้านมาก็เห็นซย่านีกำลังยิ้มหน้าบานขณะมองกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่
“โอ้ะ เลิกเรียนกันแล้วหรือ? ทำไมเร็วจัง นี่มันกี่โมงแล้วนะ?” ซย่านีหันหน้ากลับไปมอง
ซ่งตงซวี่ปลดกระเป๋านักเรียนลงและกล่าวว่า “บ่ายวันนี้พวกเราทำความสะอาดห้องเรียนกัน ถ้าทำเสร็จแล้วคุณครูก็จะให้กลับบ้านได้ ผมรอพี่อยู่ตั้งพักใหญ่ๆ เลยนะฮะ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ผมคงถึงบ้านตั้งนานแล้ว ”
“นายรอฉันตรงไหนกัน? นายเล่นดีดลูกแก้วอยู่กับเพื่อนที่สนามหญ้าต่างหาก อย่าคิดว่าฉันไม่เห็นนะ” ซ่งวั่งซูเอ่ยสวน
เด็กสองคนนี้ถ้าไม่ได้เถียงกันสักวันคงจะรู้สึกไม่สบายกระมัง ซย่านีชินเสียแล้ว เธอจึงรีบขัดจังหวะเด็กทั้งสองทันที “อาสามของลูกๆ กำลังจะมาบ้านเราแล้วนะ พวกลูกไม่ดีใจกันหน่อยหรือ?”
“อาสามหรือคะ?” ซ่งวั่งซูประหลาดใจแถมยินดี “อาสามจะมาที่นี่จริงๆ หรือ?”
แต่ก่อนตอนที่ยังอยู่ชนบท ซย่านีกับซ่งหานเจียงต้องทำงานที่ไร่เพื่อรับคะแนนการทำงาน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรบกวนซย่าซานนีให้ช่วยดูแลลูกๆ แทน จึงสามารถกล่าวได้ว่าซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่โตมาได้เพราะมีซย่าซานนีคอยช่วยดูแล ซย่าซานนีเองก็อายุไม่มาก ดังนั้นเด็กทั้งสองคนจึงชอบเล่นกับซย่าซานนีเป็อย่างยิ่ง
ซย่านียิ้มกล่าว “ใช่จ้ะ แล้วอาสามจะมาถึงพรุ่งนี้แล้วนะ!”
ซ่งวั่งซูะโโลดเต้นพร้อมโห่ร้องอย่างดีใจ “ดีจังเลย ดีเหลือเกิน! แม่คะๆ ทำไมจู่ๆ อาสามถึงจะมาที่ปักกิ่งเล่า? แล้วอาสามจะจากไปตอนไหนเหรอคะ?”
“แม่บอกให้อาสามมาที่ปักกิ่งเอง” ซย่านียัดโทรเลขลงในกระเป๋ากางเกงและกล่าวว่า “่นี้แม่ต้องทำธุรกิจเพื่อหาเงินแถมยังต้องดูแลพวกลูกๆ อีกนี่นา แม่ยุ่งมากเลย เพราะอย่างนั้นก็เลยให้อาสามมาช่วยแม่สักหน่อย ถ้าอาสามมาถึงแล้วก็จะไม่ไปไหนแล้วล่ะเพราะอาสามเธอจะอยู่ที่บ้านของเราเลย!”
“เยี่ยมไปเลย!” ซ่งวั่งซูมีความสุขมาก
ซย่านีกวักมือเรียกเด็กๆ พลางกล่าวว่า “ป่ะ ไปตลาดเกษตรกรกับแม่กันเถอะ พวกเราไปซื้อของอร่อยๆ มารอต้อนรับอาสามกันดีกว่า”
