“พวกเ้าคิดว่าการรับสมัครศิษย์ในครั้งหน้ามู่เฟิงจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่?”
“จะเป็ไปได้อย่างไร เวลานี้วรยุทธ์ของเขาสูญสิ้นไปหมดแล้ว แม้แต่เส้นลมปราณยังถูกทำลาย ส่วนวรยุทธ์ของซั่งกวานเชียนจื้อตอนนี้อยู่ในระดับทงม่ายขั้นเก้าแล้ว อีกไม่นานเขาย่อมสามารถทะลวงสู่ระดับจื่อฝู่ได้แน่ อีกทั้งเขายังได้เข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ แล้วมู่เฟิงจะเป็คู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไรเล่า”
“เ้ากล่าวได้ถูกต้อง หึๆ ถึงเวลานั้นพวกเราก็รอชมเื่สนุกเถอะ การคุกเข่าขอโทษของมู่เฟิงคงน่าขบขันมากเป็แน่”
มีหลายคนที่ยังวิพากษ์วิจารณ์กันถึงเื่ที่เกิดขึ้น
หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดการรับสมัครศิษย์ครั้งนี้ก็สิ้นสุดลง มีผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งหมดสองร้อยคนจากบรรดาผู้สมัครหลายพันคน เห็นได้ชัดว่ามีผู้ที่ถูกคัดออกเป็จำนวนมาก
บุคคลที่สามารถเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ได้ พวกเขาไม่เพียงแต่ถูกสหายในวัยเดียวกันอิจฉาเท่านั้น แต่ยังได้รับคำชมและคำยกย่องจากผู้ใหญ่อีกด้วย มู่เฟิงเหลียวกลับไปมองบนแท่นหินแท่นนั้นด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความไม่เต็มใจ
เดิมทีเขาควรจะเป็อัจฉริยะที่เจิดจรัสที่สุดในการทดสอบครั้งนี้ น่าเสียดาย... แต่มู่เฟิงไม่เคยนึกเสียใจ เพราะนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาได้มีโอกาสร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้เป็บิดา ในเวลานั้นเขาไม่มีความหวาดกลัวเลยสักนิด และไม่ได้ทำสิ่งใดให้บิดาต้องเสียหน้า
บรรดาคนรุ่นเยาว์ในตระกูลมู่ต่างมองไปทางมู่เฟิงด้วยแววตาซับซ้อน บางทีอาจเป็เพราะคำพูดก่อนหน้านี้ของมู่ขวง พวกเขาจึงไม่มีใครเยาะเย้ยหรือพูดจาถากถางอะไรอีกฝ่ายอีก
“พี่เฟิง ท่านไม่ต้องไปสนใจคำพูดของพวกเขา ในโลกที่กว้างใหญ่เช่นนี้ ข้าไม่เชื่อว่าเส้นลมปราณของท่านจะไม่มีหนทางรักษา”
มู่ขวงกล่าวปลอบใจเขา
“ฮ่าๆ วางใจเถอะ พี่เฟิงของเ้าผู้นี้ไม่มีทางล้มลงง่ายๆ หรอก เสี่ยวขวง เ้าคอยดูเถอะ สักวันหนึ่งพวกเขาจะต้องเสียใจ!”
มู่เฟิงจ้องมองไปยังจ้าวเหิงที่ยังอยู่บนแท่นหิน พลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นะเื
“ข้าเชื่อใจท่าน พี่เฟิง”
“เ้าน้องรัก วันนี้ข้าต้องขอบใจเ้ามาก แต่เ้าจะไม่เข้าศึกษาที่สำนักศึกษาราชวงศ์จริงหรือ?”
“ไอหยา ท่านไม่ต้องเป็ห่วง อีกสองปีให้หลังค่อยเข้าศึกษาก็คงไม่ต่างกันนักหรอก เวลานั้นข้าค่อยเข้าไปพร้อมพี่เฟิง ถึงอย่างไรอายุของพวกเราก็นับว่ายังเด็กนัก”
มู่ขวงกล่าวราวกับไม่สนใจ คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวของมู่เฟิง
“ถ้าอย่างนั้นอีกสองปีหลังจากนี้ พวกเรามาเข้าสำนักศึกษาราชวงศ์พร้อมกันเพื่อเป็การตบหน้าพวกเขากันเถอะ เอาละ พวกเรากลับจวนกันเถอะ”
เวลานี้ผู้คนในจัตุรัสต่างก็เริ่มทยอยแยกย้ายกันไป โดยมู่เฟิงและมู่ขวงได้วางแผนว่าจะกลับจวนตระกูลมู่ด้วยกัน
แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ได้มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งเดินเข้าไปหามู่เฟิงอย่างเงียบเชียบ
ขณะที่เดินอยู่นั้น มู่เฟิงพลันขนลุกซู่ขึ้นมาจากด้านหลัง ภายในกลุ่มคนจำนวนมาก เด็กหนุ่มกลับััได้ถึงรังสีสังหารที่กำลังเพ่งเล็งมายังตน
นับั้แ่เริ่มฝึกเคล็ดวิชาชูร่าแห่งา ััของเด็กหนุ่มก็ไวต่อจิตสังหารมากขึ้น
วืด!
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ฉับพลันนั้นได้ปรากฏลำแสงอันเย็นะเืสายหนึ่งพุ่งทะลวงผ่านอากาศมายังหลังศีรษะของมู่เฟิงอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า
“แย่แล้ว!”
เสี้ยววินาทีนั้นเองมู่เฟิงก็พลันเอียงตัวหลบไปทางด้านซ้าย ลำแสงอันเย็นะเืจึงเฉียดผ่านแก้มของเขาไปอย่างรวดเร็ว หากหลบไม่ทันเกรงว่าเมื่อครู่อาจเป็หัวของเขาที่ต้องทะลุ
ฉึก...!
“อ๊าก…!”
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งในตระกูลมู่ที่อยู่ตรงหน้าเขาร้องโหยหวนออกมาอย่างน่าสังเวช อีกฝ่ายถูกลำแสงเมื่อครู่แทงทะลุศีรษะ และล้มลงเสียชีวิตในทันที!
สิ่งนั้นคือลูกศรขนาดเล็ก!
“อ๊า... มีคนถูกฆ่า...”
ผู้คนรอบข้างต่างก็กรีดร้องออกมาทันใด ขณะที่คนอื่นๆ ในตระกูลมู่กำลังตกอยู่ในความโกลาหล แต่ละคนต่างวิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง
ฟิ้ว! ฟิ่ว! ฟิ้ว!
ฉับพลันนั้นลำแสงอันเย็นะเืจากลูกศรได้ยิงมาทางมู่เฟิงอีกหลายครั้ง เด็กหนุ่มคำรามออกมาด้วยความโมโห เขาผลักมู่ขวงให้พ้นวิถีการโจมตี ส่งผลให้ลูกศรลูกหนึ่งปักลงบนไหล่ของเขา ความเ็ปปะทุขึ้นมาโดยพลัน
หลังจากมู่เฟิงถูกยิง เขาก็ถอยออกไปไกลหลายเมตรเพื่อหลบหลีกลูกศรที่ยังยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง มู่เฟิงคว้าร่างของเด็กหนุ่มตระกูลมู่ที่นอนเสียชีวิตขึ้นมาเป็เกราะกำบัง
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
ลูกศรทั้งสามดอกถูกยิงเข้าที่ลำตัวของศพในทันที
การโจมตีเหล่านี้ล้วนมุ่งเป้ามายังมู่เฟิง!
“มีผู้ลอบสังหาร!”
เสียงหนึ่งะโขึ้น เวลานั้นเหล่าทหารรักษาการณ์ที่กระจายตัวอยู่โดยรอบต่างรีบวิ่งเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ
“อ๊า... มีคนถูกสังหาร...”
ตอนนี้กลุ่มคนยิ่งเกิดความโกลาหลมากขึ้น
วืด! วืด!
ท่ามกลางฝูงชนที่กำลังสับสนวุ่นวาย ฉับพลันนั้นได้มีเงาร่างสองร่างพุ่งเข้าหามู่เฟิงด้วยความเร็วราวกับเสือชีตาห์ โดยชายทั้งสองสวมใส่ชุดสีเทาและมีผ้าสีดำปิดบังใบหน้า
ทั้งสองคนที่กำลังพุ่งทะยานตัวเข้ามานั้นได้ชักดาบซิ่วชุน* ซึ่งมีสันดาบหนาและคมดาบอันบางเฉียบออกมาจาก่เอว แน่นอนว่าเป้าหมายของพวกเขาคือสังหารมู่เฟิง
(*ดาบที่มีลักษณะคล้ายดาบซามูไร)
เมื่อคนทั้งสองตวัดดาบ ปราณดาบทั้งสองเล่มได้แหวกผ่านอากาศจนก่อให้เกิดเสียงหวีดหวิวดังขึ้น
สีหน้าของมู่เฟิงพลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาล่าถอยออกไปห่างๆ เพื่อหลบหลีกรัศมีของปราณดาบ และเมื่อปราณดาบฟาดกระทบลงบนพื้นหินแกรนิตมันก็ได้ทิ้งรอยดาบเอาไว้สองรอย
หนึ่งในปราณดาบเมื่อครู่ได้ฟันผ่านร่างไร้ิญญาของเด็กหนุ่มตระกูลมู่ส่งผลให้ร่างนั้นเกือบจะขาดออกเป็สองท่อน
“ตายเสียเถอะ!”
เมื่อเห็นว่ามู่เฟิงหลบได้ คนทั้งสองก็พุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มอีกครั้งจากสองทิศทางทั้งซ้ายและขวา ฉับพลันนั้นได้มีประกายแสงส่องสว่างขึ้นในมือของมู่เฟิง และดาบของกองทัพก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา ขณะที่ร่างของเด็กหนุ่มกำลังก้าวถอยอย่างรวดเร็ว
ชายผู้หนึ่งะโขึ้นสูงกว่าหกฟุต ก่อนที่มือคู่นั้นของเขาจะฟาดดาบลงมาหามู่เฟิง
มู่เฟิงยกดาบในมือขึ้นสกัดดาบเล่มนั้นเอาไว้ได้ทัน แม้ตัวดาบจะสั่นเทาเล็กน้อยก็ตาม ดาบเล่มนี้เด็กหนุ่มใช้มันในกองทัพมาเนิ่นนานจนเชี่ยวชาญ ดังนั้นเขาจึงสามารถรับมือการโจมตีนี้ได้อย่างช่ำชอง
แม้จะสูญเสียวรยุทธ์ไป แต่เขาคือคนที่เคยอยู่ในกองทัพมานานหลายปี สัญชาตญาณการต่อสู้ของเขายังคงอยู่
พลั่ก!
แต่ในระหว่างนั้นมือสังหารอีกคนก็ะโเตะหน้าอกของมู่เฟิงอย่างแรงจนเด็กหนุ่มกระอักเืออกมาเต็มปาก พร้อมกับถอยกรูดออกไปก่อนจะล้มลงบนพื้น
“ไปตายเสีย!”
มือสังหารอีกคนกระโจนตัวทะยานขึ้นสูง เตรียมจะฟาดฟันดาบลงบนศีรษะของมู่เฟิงด้วยโทสะ
“เ้าสารเลวช่างบังอาจนัก!”
ฉับพลันนั้นได้ปรากฏเสียงคำรามดังขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราดดุจเสียงคำรามของราชสีห์ เพียงไม่นานพลังปราณสีแดงก็พุ่งเข้าหามือสังหารผู้นี้ในทันที
ปัง...!
มือสังหารผู้นั้นไม่มีโอกาสแม้แต่จะกรีดร้อง ร่างกายของเขาพลันะเิจนทำให้เกิดเสียงดังสนั่น กลายเป็เศษก้อนเนื้อกระจัดกระจายไปทั่วพื้น
ร่างของชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำกำลังะโและโจนทะยานอยู่กลางอากาศ ราวกับจ้าววิหคที่กำลังโผบินเข้ามา
หากไม่ใช่มู่เฉินแล้วจะเป็ผู้ใดได้อีก!
มือสังหารอีกคนหน้าซีดด้วยความใ เขารีบหันหลังกลับเพื่อหนีเอาชีวิตรอด แต่แน่นอนว่ามู่เฉินไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายหนีรอดไปได้ เขาใช้มือข้างหนึ่งปลดปล่อยพลังสีแดงออกมา พลังนั้นพุ่งไปยังขาของมือสังหารผู้นั้นพร้อมกับะเิออกจนเืของอีกฝ่ายไหลทะลัก
ปัง!
มือสังหารล้มลงไปบนพื้นในทันที กระดูกขาของเขาถูกพลังจากนิ้วของมู่เฉินแทงจนทะลุ
“คุณชายเฟิง!”
จากนั้นกลุ่มผู้คุ้มกันของตระกูลมู่ก็มาถึงพร้อมกับดาบที่ถืออยู่ในมือ พวกเขาเข้าล้อมและอารักขามู่เฟิงอย่างรวดเร็ว พลางกระชับดาบแน่นเตรียมตัวรับมือศัตรู ขณะที่ใช้สายตากวาดมองไปโดยรอบอย่างระแวดระวัง
สีหน้าของมู่เฟิงพลันเปลี่ยนเป็น่าเกลียด เขาหยัดกายลุกขึ้นจากพื้น เมื่อครู่เขาเกือบได้ก้าวขาเข้าสู่ปรโลกแล้ว
“พี่เฟิง ท่านเป็อย่างไรบ้าง”
มู่ขวงรีบเข้ามาสอบถามเขาในทันที
“ข้าไม่เป็อะไร”
มู่เฟิงส่ายหัว
เวลานี้มู่เฉินมีสีหน้ามืดครึ้มจนดูน่ากลัว เขาย่างเท้าเข้าไปหามือสังหารที่นอนอยู่บนพื้น ก่อนจะบดขยี้ฝ่าเท้าลงบนต้นขาข้างหนึ่งของอีกฝ่าย
กร๊อบ...!
กระดูกต้นขาของมือสังหารถูกเท้าของมู่เฉินบดขยี้จนแตกละเอียด
"อ๊าก…!"
มือสังหารกรีดร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือด
มู่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นะเื "เ้าเป็คนของใคร? เหตุใดถึง้าสังหารคนตระกูลมู่ของข้า หากเ้ายังไม่พูด ข้าจะทำให้ชีวิตนี้ของเ้าอยู่ไม่สู้ตาย!"
"พวกข้า…"
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ขณะที่มือสังหารกำลังจะเปิดปาก ทันใดนั้นได้มีลูกศรสองดอกยิงออกมาจากฝูงชนที่กำลังวุ่นวาย ดวงตาของมู่เฉินพลันส่องประกายเย็นะเื เขายื่นมือออกไปจับลูกศรที่เล็งมายังตนด้วยมือเปล่า
ฉึก!
แต่มือสังหารที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขากลับส่งเสียงร้องครวญครางออกมา ศีรษะของอีกฝ่ายถูกยิงด้วยลูกศร และตายในทันที!
ฆ่าคนปิดปาก!
สีหน้าของมู่เฉินพลันเปลี่ยนเป็ดูไม่ได้ เขากวาดตามองไปโดยรอบ แต่กลับพบเพียงฝูงชนที่กำลังวุ่นวายเท่านั้น ไหนเลยจะสามารถหาผู้ร้ายตัวจริงได้พบ
ในที่สุดกองทหารก็ได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้