เฟิงซื่อปาดน้ำตา มองหน้าหลินซานหลาง คล้ายกล่าวสาบาน นางเอ่ยด้วยดวงตาวาววาม “ซานหลาง ไม่ต้องกังวลว่าจะได้กินแกลบกินดิน ท่านอาสองของเ้าและข้าไม่มีทางไม่ดีต่อเ้า!”
หลินซานหลางลุกขึ้นยืน จากนั้นก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าเฟิงซื่อ แล้วกล่าวออกมา “ท่านแม่”
เฟิงซื่อยกมือปิดปาก น้ำตาร่วงหล่นดั่งสายฝน
เมื่อหลินฟู่อินเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาเช่นกัน
ถึงแม้คำว่าแม่ที่พูดออกมาจะดูขัดเขินอยู่บ้าง ทว่ากลับไม่ฝืนใจ
หลินฟู่อินรู้สึกว่าเฟิงซื่อคนนี้มีความเป็แม่มากกว่าจ้าวซื่อเสียอีก นับเป็โชคดีของหลินซานหลางแล้วที่ได้เป็ลูกบุญธรรมบ้านสอง
ยามนี้หน้าบ้านหลังใหม่เต็มไปด้วยบรรยากาศรื่นเริง
ทว่าบรรยากาศที่บ้านเดิมสกุลหลินกลับเต็มไปด้วยความกดดัน กระทั่งในยามอาหารกลางวันที่หลินต้าหลางตักเนื้อหมูและน้ำแกงผักให้ปู่หลิน คนก็สูญเสียความอยากอาหารไปเสียแล้ว
จ้าวซื่อกับลูกสาวทั้งสองคนกลับไร้หัวใจ กินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย เสียงดังเสียจนอู๋ซื่อตบโต๊ะปังๆ แล้วด่า “เป็ผีหิวโซกลับชาติมาเกิดกันหรือยังไง? จากวันนี้ไปลูกชายเ้าจะเรียกผู้อื่นว่าแม่แล้ว เ้ายังมีใจมานั่งกินดื่มอยู่อีกหรือ?”
จ้าวซื่อกำลังสนทนาอยู่ นางปรายตามองอู๋ซื่อเล็กน้อย “เดิมทีก็วางแผนให้ซานหลางไปเป็ลูกบุญธรรมผู้อื่นอยู่แล้ว ในเมื่อพ่อลูกเห็นว่าเื่นี้ไม่เป็ไร ข้าที่เป็สตรีจะกล่าวอะไรได้?”
ความใจกว้างของจ้าวซื่อทำให้อู๋ซื่องงงัน
มองอยู่ครู่ใหญ่ นางก็หันไปถามสามีตน “ตาเฒ่า ซานหลางไปอยู่กับบ้านสองมีประโยชน์อะไร? แล้วบ้านสามเล่า?”
ปู่หลินมองหน้านางแล้วถอนหายใจ “เห็นซานหลางอายุมากขึ้นทุกวันแต่ยังทำอะไรไม่เป็สักอย่าง ตอนนี้ก็เป็คนหนุ่มไปครึ่งตัวแล้ว อยู่ที่นี่ไปก็ต้องเลี้ยงเพิ่มอีกหนึ่งปาก อีกหน่อยก็ต้องหาสะใภ้ให้ เ้าเห็นว่าบ้านมีเงินพอหรือไม่เล่า? เช่นนั้นงานแต่งของต้าหลางกับเอ้อร์หลางก็ยิ่งจำกัดเข้าไปอีก”
อู๋ซื่อโมโหยิ่งนัก ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของชายชราก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ที่จริงนางเข้าใจเป็อย่างดี วันนี้หลินฟู่อินก็พูดเช่นนี้
แต่นางแค่ไม่ยินยอม
“แต่บ้านสองนั่น เ้าก็เห็นว่าลูกสองซื่อยังกับตอไม้” อู๋ซื่อยังคงลังเล
“เ้าสองเป็คนดีซื่อสัตย์ ลูกสาวสองคนก็มีความสามารถ ยามนี้สนิทสนมกับฟู่อิน อีกหน่อยน่าจะมีโชคลาภอยู่บ้าง” ปู่หลินมองคนทั้งโต๊ะแล้วเตือน “ในเมื่อวันนี้ตกลงเื่ซานหลางได้แล้ว ก็อย่าไปสร้างปัญหาอีก”
หลินต้าซานรีบกล่าวนำ “ข้าเชื่อฟังท่านพ่อขอรับ”
ปู่หลินพยักหน้า รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง มีลูกชายคนโตคอยเชื่อฟังเช่นนี้ทำให้อารมณ์ดี แผนการที่วางไว้เพื่อบ้านใหญ่มายาวนานเองก็ไม่เสียหาย
“ถึงเื่ซานหลางจะจบแล้วก็จริง ยังมีเื่เอ้อร์หลางที่ข้ายังเป็ห่วงอยู่อีก” หลินต้าหลางพูดขึ้นมาช้าๆ จากนั้นก็มองท่านปู่ของตน “ท่านปู่ ข้าจำได้ว่าปีนี้น้องรองอายุสิบเจ็ดแล้วไม่ใช่หรือขอรับ?”
ปู่หลินพยักหน้า “สิบเจ็ดปีแล้ว ถึงเวลาต้องพบเจอผู้อื่นบ้างแล้ว”
“ต้าหลางยังไม่มีเ้าสาว แล้วจะเป็คราวเอ้อร์หลางได้ยังไง?” อู๋ซื่อตักเนื้อหมูในน้ำแกงออกมาให้ต้าหลางพูนๆ
“ให้น้องรองเจอเ้าสาวก่อนก็ไม่เป็ไรขอรับ งานแต่งจะได้ไม่ช้าเกินไป” หลินต้าหลางนิ่งไปชั่วครู่ แล้วจึงพูด “ที่จริง หากน้องสามไปเป็ลูกบุญธรรมผู้อื่นได้ น้องรองก็น่าจะไปได้เช่นกัน ข้าจะไปคุยกับเขาให้”
“ต้าหลางพูดเื่อะไร?” ปู่หลินหรี่ตา เข้าใจแผนการของหลินต้าหลางทันที แต่ตอนนี้เอ้อร์หลางก็อายุมากแล้ว เขาจึงไม่คิดเื่จะให้อีกฝ่ายไปเป็ลูกบุญธรรมใคร
หลินต้าซานก็เดาความคิดของลูกชายออก เขาตัวสั่นไปชั่วครู่แล้วรีบส่ายหน้าทันที “ไม่ได้ เอ้อร์หลางยังต้องสืบทอดบ้านใหญ่ของเรา”
“ท่านพ่อ ข้าแบกสองบ้านไหวขอรับ ให้เอ้อร์หลางไปเป็ผู้สืบทอดบ้านสามไม่ดีกว่าหรือ?” เมื่อเห็นว่าบิดาตนไม่เห็นด้วย ดวงตาของหลินต้าหลางก็เย็นเยียบขึ้นมาทันที
หลินต้าซานยังคงส่ายหน้าไปมา แม้จะคิดอยากให้หลินต้าหลางกลายเป็ซิ่วไฉเหมือนที่บิดาตนปรารถนา แต่เขาเป็คนที่มองโลกตามความเป็จริงมากกว่าอีกฝ่าย
แล้วหากหลินต้าหลางทำไม่ได้เล่า?
ตอนนี้เขากลายเป็ลูกบุญธรรมของซิ่วไฉชรานั่นแล้ว แน่นอนว่าต้องไปสืบทอดตระกูลของฝ่ายนั้น
อีกอย่าง เอ้อร์หลางแตกต่างจากซานหลางมาก เขาจึงไม่้าให้เอ้อร์หลางไปเป็ลูกบุญธรรมผู้อื่นแม้แต่น้อย ไม่เพียงเอ้อร์หลางคงไม่อาจยอมรับได้ กระทั่งเขาผู้เป็บิดาก็ไม่อาจยอมรับ
สองพ่อลูกต้าซานต้าหลางถกเถียงกันบนโต๊ะอาหารนั่นเอง
จ้าวซื่อเรียกลูกสาวทั้งสองกลับห้องก็จริง แต่ในใจนางเองยังคิดว่าวิธีการของหลินต้าหลางนี้ดีมาก
จังหวะนั้นเองหลินต้าหลางก็พูดเสียงเย็นใส่บิดา “ท่านพ่อ ท่านไม่ยินยอม แต่ไม่คิดหรือว่าจริงๆ เอ้อร์หลางอาจจะอยากเป็ลูกบุญธรรมบ้านสามแทบตายก็ได้!”
จ้าวซื่อรีบเข้ามาจะช่วยทันที
แต่หลินต้าซานกลับมองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว น้ำเสียงแทบจะคำราม “ข้าบอกว่าไม่ ข้ามีลูกชายสามคน ทั้งสามคนกลับกลายเป็ลูกบุญธรรมผู้อื่นทั้งหมด เช่นนั้นข้า หลินต้าซานจะเป็ตัวอะไร? ผู้อื่นจะพูดถึงข้าว่ายังไง?”
เื่ของหลินต้าซานนี้จริงๆ ก็เกี่ยวพันกับหน้าตา ดังนั้นจึงไม่ยินยอมตกลง
แต่ปู่หลินยิ่งไม่เห็นด้วยมากกว่า เขาไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าตราบใดที่หลินฟู่อินยังอยู่ คนบ้านสามย่อมไม่มีทางรับผู้อื่นมาเป็ทายาทสืบทอด
มื้ออาหารที่บ้านใหญ่จบลงอย่างไม่สวยงามนัก แน่นอนว่าเื่นี้หลินฟู่อินไม่รับรู้ด้วย เพราะนางกำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่หน้าบ้านใหม่ของบ้านสองพร้อมกับทุกคน
อาหารกลางวันที่นี่เรียบง่ายมาก มีผักสามอย่าง น้ำแกงฟักทองและไข่เยี่ยวม้าที่หลินฟู่อินเคยส่งมาให้ก่อนหน้า โดยเฟิงซื่อนำไข่นี่ไปยำ
เพราะว่าวันมะรืนจะจัดพิธีวางคานแล้ว หลินฟู่อินคนบ้านสามที่เป็หลานแท้ๆ แน่นอนว่าต้องมาช่วยด้วย
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วนางก็ช่วยเฟิงซื่อวางแผนรายการอาหารที่จะทำในงาน
พวกอาหารจานเนื้อเตรียมการเอาไว้แล้ว ให้คนขายเนื้อสกุลหวังเตรียมเนื้อหมูเอาไว้สิบยี่สิบจิน นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเป็พิเศษ
หลินฟู่อินมองหน้าเฟิงซื่อ “ท่านป้าสองเ้าคะ เวลาจะจัดงานใหญ่ๆ นี่หมู่บ้านเรามีธรรมเนียมอะไรหรือไม่?”
เฟิงซื่อหน้าแดงขึ้นมา พูดอย่างท้อแท้ “ที่จริงธรรมเนียมค่อนข้างใหญ่โตเชียว หนึ่งโต๊ะต้องมีอาหารจานเนื้อขนาดใหญ่อย่างน้อยสองอย่าง จานเล็กสามอย่าง มังสวิรัติสี่อย่างและน้ำแกงหนึ่งอย่าง แต่ดูบ้านเราก็ยากจนเช่นนี้ จะจัดงานเลี้ยงดีๆ ได้เช่นไร?”
หลินฟู่อินลองคิดๆ ดู บ้านสองแยกตัวออกมาเช่นนี้ต้องเสียเงินไปมากทีเดียว หากไม่ใช่ว่ามีนางสนับสนุนการเงิน มีหลินเฟินหลินฟางตั้งอกตั้งใจทำงานหนัก มีหรือจะสร้างบ้านได้เร็วเพียงนี้?
แม้หลินต้าเหอและภรรยาจะมาช่วยนางทำงานอยู่บ้าง หลินฟู่อินก็ช่วยจ่ายชดเชยให้ค่อนข้างมาก แต่อย่างไรเงินทองก็ต้องใช้ออกไป
“พูดจริงๆ ข้าไปขอให้พี่ชายหายืมเงินมาสำหรับจัดงานเลี้ยงวางคานครั้งนี้ละ” เฟิงซื่อเป็สตรีฉลาด แต่หากไม่มีทรัพย์สินอะไร พี่ใหญ่ของนางก็ไม่ได้ร่ำรวย เขาจะหายืมเงินได้แค่ไหนกันเชียว?
หลินฟู่อินพยักหน้า “ทราบแล้วเ้าค่ะ ท่านป้าสองไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยท่านวางแผนเอง” ไม่รอให้เฟิงซื่อตอบ นางก็ถามอีกครั้ง “จานใหญ่เอาไว้ก่อน จานมังสวิรัติ สวนผักบ้านข้ามีผักเยอะ ทำได้สี่ห้าอย่างก็ยังเหลือ”
“ฟู่อิน จานผักพวกนี้ข้าขอให้บ้านยายของอาเฟินทำก็ได้ เ้าไม่ต้องเป็ห่วง”
“เช่นนั้นน้ำแกง ทำน้ำแกงกระดูก เมื่อหลายวันก่อนฝนตก ให้ลุงสองลองเข้าป่าไปหาเก็บเห็ดขาวมาให้มากหน่อย นำมาต้มกับน้ำแกงกระดูกอร่อยมาก” ดวงตาของหลินฟู่อินแวววาว เช่นนี้ปัญหาเื่น้ำแกงก็จบแล้ว