ในโรงเตี๊ยม หลี่จิ่นกำลังเก็บของใส่หีบหวายด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ
หงโฉวยกกะละมังใส่น้ำเข้ามา บิดผ้าให้แห้งแล้วถูห้องพักรอบหนึ่ง
ไม่คิดจะสนใจลวี่จิ่นซึ่งทำหน้าเศร้า
"หงโฉว เ้าว่าจวิ้นจู่คล้อยตามคุณหนูเซวียผู้นั้นเกินไปหรือไม่ นี่ถึงกับไม่สวมหมวกม่านออกไปข้างนอกเชียวนะ"
ลวี่จิ่นขบริมฝีปากล่าง คิดอยากหาแนวร่วม
"จวิ้นจู่ทำสิ่งใดย่อมจะมีเหตุผลของตนเอง" หงโฉวเอ่ยเสียงเรียบ ปรกติเห็นมีไหวพริบดี ไม่รู้ว่าสมองไปโดนอะไรถึงคิดไม่ได้
"ข้ารู้ จวิ้นจู่ทำตัวสนิทสนมนางเป็พิเศษเพราะคุณชายผูหยาง แต่สตรีจากสถานที่เล็กๆ ไหนเลยจะคู่ควรให้จวิ้นจู่ปฏิบัติด้วยความใส่ใจ"
ในเมืองหลวงมีสตรีชั้นสูง และคุณหนูจากตระกูลผู้มียศถาบรรดาศักดิ์มากมายเพียรพยายามจะเอาอกเอาใจท่านหญิงแต่มิอาจเข้าถึง คุณหนูเซวียมาจากไหนก็ไม่รู้กลับได้รับความใส่ใจ แต่อีกฝ่ายกลับมิได้ปลาบปลื้มแม้แต่น้อย
ทั้งยังทำสีหน้าเรียบเฉยราวกับสมควรจะเป็เช่นนี้อยู่แล้ว ทำให้ลวี่จิ่นรู้สึกขุ่นเคืองใจมาก
"ลวี่จิ่น คำพูดบางอย่างเ้าไม่สมควรเอ่ย" หงโฉวสีหน้าเคร่งขรึม "หากยังทำนิสัยเช่นนี้อยู่ คนที่ต้องลำบากก็คือเ้าเอง"
นางแสดงท่าทีเฉียบขาด สีหน้าเคร่งขรึม ลวี่จิ่นแข็งทื่อไปชั่วขณะ ดวงตารูปผลซิ่งฉายแววตัดพ้อ "ที่นี่ก็มีแต่พวกเราสองคน ข้าถึงพูดแบบนี้ ปรกติข้าไม่เป็อย่างนี้เสียหน่อย"
"อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเลยนะ เ้าคิดดูดีๆ ่นี้ดวงหน้าของจวิ้นจู่มีรอยยิ้มมากขึ้นหรือไม่ แล้วเหตุใดถึงยิ้มล่ะ เ้าไม่สังเกตบ้างเลยรึ" หงโฉวทำท่าเหมือนหมดวาจาเพียงเท่านี้
ลวี่จิ่นลังเลไปชั่วขณะ สาเหตุย่อมเป็เพราะว่าคุณชายผูหยางเริ่มคุยกับท่านหญิงมากขึ้น แม้ว่าคุณหนูเซวียจะมีผลงานอยู่บ้างก็ตาม
หงโฉวตวัดสายตาใส่นาง ไม่คิดจะเกลี้ยกล่อมต่อไป
ครานี้ที่ท่านหญิงพาลวี่จิ่นมาเพราะหลันอิงไม่สบาย หวงซุ่ยก็ลากลับบ้าน มิเช่นนั้นโอกาสไหนเลยจะมาถึงนาง
ยามท่านหญิงหย่งเจียกลับมา ในมือยังถือตะกร้าสานด้วยตนเอง
ข้างในใส่ของเล่นจุกจิกมากมาย ทั้งตุ๊กตาดินปั้น ตุ๊กตาน้ำตาลปั้น ตุ๊กตาน้ำตาลเป่าลม กระดาษลวดลายมงคล ตั๊กแตนสานไม้ไผ่ เป็ต้น
"จวิ้นจู่ ท่านซื้อของมามากมายเชียวนะเ้าคะ" หงโฉวยิ้มพลางนำของเล่นจากในตะกร้าออกมาวางทีละชิ้น
"ใช่แล้ว ข้ากับเสี่ยวหรั่นเดินไป ซื้อไป ของที่ซื้อก็เลยเยอะโดยไม่รู้ตัว" ท่านหญิงหย่งเจียอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด
ผิวพรรณผุดผ่องแลดูเปล่งประกายขึ้นมา
"คุณหนูเซวียก็ซื้อเยอะหรือเ้าคะ" หงโฉวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
"อื้อ นางซื้อเยอะกว่าข้าอีก เห็นบอกว่าจะซื้อไปฝากเสี่ยวเหล่ยกับหลันฮวา" ท่านหญิงหย่งเจียหยิบตุ๊กตาดินปั้นรูปสัตว์ขึ้นมา แววตาเปลี่ยนเป็อ่อนโยน
วันนี้เขาคุยกับนางมากขึ้น ล้วนแต่อาศัยใบบุญของเซวียเสี่ยวหรั่นทั้งนั้น
เซวียเสี่ยวหรั่นหิ้วสิ่งของไปห้องของเซวียเสี่ยวเหล่ย ก็พบว่าบนโต๊ะแปดเซียนในห้องของเขามีของกินเล่นวางอยู่กองหนึ่ง
"ให้พวกเ้าไปเดินเล่น ซื้อของกินมาก็เสียเปล่าน่ะสิ" เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
"คิกๆ ทุกคราที่พวกเราออกไปเดินเล่นก็เป็เช่นนี้เองมิใช่หรือ" อูหลันฮวาวิ่งมาดูของในตะกร้า "คุณหนูซื้ออะไรมาเ้าคะ"
"ฮ่าๆ ดีที่ข้าไม่ได้ซื้อแต่ของกิน มิเช่นนั้นต้องกินไม่หมดแน่ๆ" เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกว่าโชคดี เพราะออกไปข้างนอกกับท่านหญิงหย่งเจีย ท่านหญิงไม่อาจกินของสะเปะสะปะ ดังนั้นตนเองจึงเลือกซื้อของเล่นเป็ส่วนใหญ่ ของกินมีบ้างเล็กน้อย
แท้จริงแล้วเธออยากซื้อขนมมากกว่า ทุกคนจะได้กินอย่างมีความสุขร่วมกัน
"เอ้า เทพธิดาเหลียนฮวาตัวนี้ให้เ้า เสี่ยวเหล่ย เทพหน้าดำอันนี้เป็ของเ้า"
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบตุ๊กตาดินปั้นให้พวกเขาสองคน
ดวงตาของเซวียเสี่ยวเหล่ยกับอูหลันฮวาทอประกายระยิบระยับ ยื่นมือออกไปรับ
"พวกเราก็อยู่ที่ตลาด เหตุใดไม่เห็นแผงตุ๊กตาดินปั้นเลยเล่า?" อูหลันฮวารับของมาแล้ว ก็ยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันขาว
เซวียเสี่ยวเหล่ยหมุนตุ๊กตาดินปั้นในมือ ดวงหน้าของคนพูดน้อยพลันเปล่งประกาย ของหลายอย่างในหมู่บ้านของเขาไม่มี แต่ไรมาเขาไม่เคยเห็นตุ๊กตาดินปั้นตัวจิ๋วเช่นนี้มาก่อน ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
"ใครใช้ให้พวกเอามัวแต่ห่วงกินกันล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะเสียงดัง
เช้าวันต่อมา พวกเขาออกเดินทางแต่เช้าตรู่
ยิ่งใกล้เมืองหลวงเท่าไร หัวใจของทุกคนยิ่งมีความสุข เดินทางมายาวนาน หากตีแผ่นทองด้วยเหล็กก็คงบุบบี้กลายเป็โคลนเหลวกองหนึ่งไปแล้ว
ในที่สุดก่อนพระอาทิตย์จะลับหลังเขา ก็ได้เห็นกำแพงเมืองสูงใหญ่และแข็งแกร่ง
กำแพงเมืองทั้งโอ่อ่า สง่างาม แลดูแปลกตา ธงบนกำแพงโบกสะบัดไปตามสายลม
ขณะที่แสงสายัณห์สีแดงสาดส่องไปบนกำแพงเมืองเก่าแก่ ให้ความรู้สึกสงบเงียบและเป็สุข แต่หลังจากดวงตะวันลับของฟ้า กำแพงในความมืดก็แลดูเคร่งขรึมและอึมครึม
พวกเขาผ่านเข้าประตูเมืองอย่างราบรื่น ขณะที่มาถึงทางแยก รถม้าของท่านหญิงก็เลี้ยวแยกไปอีกทาง
"เสี่ยวหรั่น พรุ่งนี้ข้าจะไปดูเรือนหลังใหม่ของพวกเ้านะ" ท่านหญิงหย่งเจียฝากถ้อยคำไว้ก่อนจากไป
ผูหยางชิงหลันมองขบวนรถยาวเหยียดหายลับไปตรงทางแยก ก่อนที่จะสั่งให้ขบวนรถที่เหลือมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง
เรือนสามทางเข้าหลังเล็กของผูหยางชิงหลันมีคนดูแลอย่างเหมาะสม การตกแต่งพื้นฐานภายในก็เตรียมไว้อย่างพรั่งพร้อม พวกเซวียเสี่ยวหรั่นสามารถย้ายเข้าไปอยู่ได้ทันที
ม่านราตรีโรยตัวลงมา รถม้าที่หลั่งไหลอยู่บนถนนยังคงมีไม่น้อย แสงโคมจากร้านค้ายิ่งสว่างไสว ส่องแสงเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ
"คุณหนู ในที่สุดพวกเราก็มาถึงเมืองหลวงแคว้นฉีกันแล้ว" อูหลันฮวาตื่นเต้นมาก พวกเขาเดินทางมาจากขู่หลิ่งถุน การเดินทางตลอดสองเดือนกว่าไม่ง่ายเลย
"ใช่แล้ว ในที่สุดก็ถึงเสียที" เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกโล่งอกเช่นเดียวกัน
ั้แ่วันที่หนึ่งเดือนสี่เดินทางมาถึงกลางเดือนหก แม่เ้า... แค่นึกดูเฉยๆ เธอก็รู้สึกเหมือนก้นถูกกระแทกจนสั่น
"ข้างนอกคึกคักน่าดู สมกับเป็เมืองที่ยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรืองสูงสุดแห่งแคว้นฉี" อูหลันฮวาเข้ามาริมหน้าต่างมองออกไปข้างนอกอย่างอดไม่ได้
"จะไม่คึกคักได้หรือ เมืองหลวงของแคว้นฉีเชียวนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นก็มองออกไปเช่นกัน
แสงยามราตรียังไม่สว่างเต็มที่ แต่อาคารสูงรอบด้านยังคงสร้างความตื่นตะลึงให้เซวียเสี่ยวหรั่น
สิ่งปลูกสร้างสามสี่ชั้นเรียงรายเป็ทิวแถว และยังมีที่สูงกว่านั้นเป็หอห้าหกชั้น
"โอ้โห คุณหนู รีบดูตรงนั้น มีหอสูงมากทีเดียว" พอตื่นเต้น อูหลันฮวาก็เริ่มพูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ
เซวียเสี่ยวหรั่นมองไป โอ จริงเสียด้วย นับดูจากความมืดเหมือนจะเป็หอสูงราวเจ็ดแปดชั้น
"นี่เป็อาคารสูงสุดในเมืองหลวงแล้วหรือ?"
"ไม่ใช่อยู่แล้ว หอที่มีจำนวนชั้นสูงสุดอยู่ในวังหลวงโน่น" ผูหยางชิงหลันยิ้มพลางตอบกลับมา
"สูงแค่ไหนหรือเ้าคะ?" อูหลันฮวาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"หอดูดาวสูงสิบเอ็ดชั้น" ผูหยางชิงหลันบอก
"ว้าว..." อูหลันฮวาอุทานเสียงดัง
"ต่อไปถ้ามีโอกาสก็ให้เสี่ยวชีพาพวกเ้าไปดู ดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนงดงามมากเชียวล่ะ" ผูหยางชิงหลันหัวเราะเบาๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะตาม เธอแค่รู้สึกทึ่งกับความคิดสร้างสรรค์ของคนโบราณเท่านั้น แต่มิได้สนใจหอสูงดูดาวอะไรนั่นสักเท่าไร
