ในสำนักเทียนอี้ คนชนชั้นสูงและทหาร ทั้งสองฝ่ายนั้นเหมือนไฟกับน้ำที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ พวกเขามักมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีต่อกัน และมีความตึงเครียดระหว่างทั้งสองฝ่าย
ในเมืองนี้ไม่เพียงพวกทหารจะชอบมาที่นี่ แต่เหล่าคนชั้นสูงก็ยังมาที่นี่บ่อยๆ อย่างไรก็ตามคนชนชั้นสูงมักจะไปเขตการค้า เพื่อแลกสิ่งของบางอย่างที่มีค่าต่อพวกเขา
แน่นอนว่าก็มีผู้คนจำนวนมาก ชอบมาที่ลานประลองเชลยแห่งนี้
ในสายตาของเหล่าทหาร เมื่อก้าวเข้าสู่ลานประลองเชลย จะสามารถไตร่ตรองและปรับปรุงตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ทว่าคนชนชั้นสูงมีน้อยมากที่จะเข้าสู่ลานประลองเชลย เพราะพวกเขาขี้ขลาดและไม่กล้าหาญพอ
แต่ในสายตาของคนชนชั้นสูงจำนวนมาก ที่เหล่าทหารเข้าสู่ลานประลองเชลยนั้นล้วนเป็คนโง่เขลาที่ใช้ชีวิตเดิมพันเพียงเพื่อหินหยวน มีเพียงคนไร้สมองเท่านั้นที่จะทำเช่นนี้
การที่คนชนชั้นสูงมายังลานประลองเชลย เพราะพวกเขา้าเห็นเหล่าทหารถูกกลืนกินโดยสัตว์อสูรปีศาจ รวมทั้งถูกทรมานโดยทาสผู้ฝึกยุทธ์ และทุกครั้งที่เห็นฉากนี้ พวกเขาจะตื่นเต้นเร้าใจเป็พิเศษ
“เ้าคือหลินเฟิงใช่มั้ย? เพราะ้าท้าทายเฮยม่อ ดังนั้นเ้าจะไปเป็นักโทษเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างนั้นสินะ?”
ชายหนุ่มชุดเหลืองที่อยู่ข้างๆ ไป๋เจ๋อเหลือบมองหลินเฟิง และกล่าวอย่างเยาะเย้ยว่า “ก่อนที่จะท้าทายเฮยม่อ เ้าอย่าถูกสัตว์อสูรปีศาจกลืนกินเสียก่อนล่ะ เพราะในสำนักยังมีคนมากมายที่รอดูเ้าอยู่!”
หลินเฟิงเหลือบมองไป๋เจ๋อ ชายผู้นี้รู้จักเขาอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากเขาก็เป็เป้าหมายของไป๋เจ๋อเช่นกัน อย่างไรก็ตามไป๋เจ๋อและผู้ชายอีกคนค่อนข้างดูถูกหลินเฟิงในขณะนี้
ดังนั้นหลินเฟิงเพียงแค่เหลือบมองชายหนุ่มชุดเหลือง จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางการมองไปที่ลานประลองเชลยด้วยความสงบเงียบและไม่สนใจ นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการตอบโต้อีกฝ่าย
คนชนชั้นสูงที่หยิ่งผยอง ในสายตาของพวกเขา และเมื่อพวกเขาจะพูดอะไรผู้คนต้องรับฟัง มิอาจมองข้ามได้
แต่หลินเฟิงไม่ได้สนใจตอบโต้อีกฝ่าย ซึ่งทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มชุดเหลืองกลายเป็เคร่งขรึม
“เ้าหูหนวกงั้นเหรอ ไม่ได้ยินที่ข้าพูดกับเ้าหรือไง?” ชายหนุ่มชุดเหลืองกล่าวอย่างเ็า เสียงของเขาเข้าไปในโสตประสาทของหลินเฟิง แต่หลินเฟิงก็ยังคงนิ่งเงียบเป็การตอบสนอง
“ข้าถามเ้าอยู่!” หลินเฟิงยังคงนิ่งเงียบ ชายหนุ่มชุดเหลืองยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนยั่วยุ โดยเฉพาะเหล่าผู้คนที่อยู่รอบข้างเริ่มหันมามอง นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกโกรธ จากนั้นร่างกายของเขาได้ปลดปล่อยลมปราณออกมา
“เสียงดังเสียจริง!” เวิ่นอ้าวเสวี่ยกล่าวขณะเกาหูของเขา จากนั้นได้หันหน้าไปทางชายหนุ่มชุดเหลือง และะโว่า “เ้ารู้ตัวหรือไม่ว่า ตัวเ้าเองเหมือนกับสุนัขที่เอาแต่เห่า?”
สีหน้าของชายหนุ่มชุดเหลืองแข็งทื่อ จากนั้นหัวใจของเขาเต้นระรัวอย่างเดือดดาล เพราะแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครกล้าด่าเขาว่าเป็หมา
“หรือเ้าเป็หมาที่ไม่มีสมอง?”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยกล่าวเสริม จากนั้นยกมุมปากขึ้นอย่างเยาะเย้ย
“แม้กระทั่งเฮยม่อยังกล้าท้าทาย หรือเ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าเฮยม่อ? เ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?”
แววตาของชายหนุ่มชุดเหลืองดูอึมครึมจนน่ากลัว เขาจ้องเขม็งไปที่เวิ่นอ้าวเสวี่ยและกล่าวว่า “หมา? เ้ารู้มั้ยว่าผู้ที่เ้ากำลังดูถูกอยู่นั้นเป็ใคร?”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยไร้คำพูด และหันกลับมาโดยไม่มองอีกฝ่าย เขานั่งลงบนเก้าอี้หินจากนั้นได้มีน้ำเสียงเ็าออกมาจากปากของเขา
“เพียงแค่ด้านหน้าชื่อมีคำว่า ‘อวี่’ ก็คิดว่าตัวเองสูงส่งแล้วหรือ เป็แค่สุนัขแท้ๆ กลับคิดว่าตัวเองสามารถทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่าการกระทำของตัวเองว่ามันไร้สาระแค่ไหน”
น้ำเสียงของเวิ่นอ้าวเสวี่ยยังคงสงบ ทำให้ชายหนุ่มชุดเหลืองมึนงง อีกฝ่ายก็รู้ว่าเขาแซ่อวี่ นอกจากนี้เวิ่นอ้าวเสวี่ยรู้ดี แต่ยังกล้าดูิ่เขาเช่นนี้ กล่าวได้ว่าเวิ่นอ้าวเสวี่ยไม่มีเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อหลิ่วเฟยได้ยินคำว่าแซ่อวี่ นางจึงหันไปมองชายหนุ่มชุดเหลือง
จากนั้นสายตาของหลิ่วเฟยหยุดชะงักที่เวิ่นอ้าวเสวี่ย
แม้ในเมืองหลวงจะมีอำนาจมากมายนับไม่ถ้วน แต่คนแซ่อวี่ยังคงได้รับความเคารพนับถือจากผู้คน ซึ่งเวิ่นอ้าวเสวี่ยรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายแซ่อวี่ แต่ยังคงไม่สนใจเช่นนี้ ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะไม่ง่ายเสียแล้ว!
“อวี่!”
หลินเฟิงพึมพำ แซ่นี้เขาเคยได้ยินมาก่อน และยังเคยได้ยินมากกว่าหนึ่งครั้ง
ในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ แน่นอนว่าเมืองหลวงมีอิทธิพลมากที่สุด ส่วนตระกูลที่ยิ่งใหญ่นั้นได้แก่ ตระกูลเยว่ ตระกูลอวี่ นิกายหมื่นอสูร นิกายเฮ่าเยว่ นิกายหยุนไห่ หมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน และนิกายหลั่วเซี่ย
ทั้งแปดมหาอำนาจนี้ ตอนนี้นิกายหยุนไห่ได้ถูกทำลายไปแล้ว จึงเหลือเพียงเจ็ดมหาอำนาจ ซึ่งสี่มหาอำนาจนั้นอยู่ในเมืองหลวง
ทว่าตระกูลอวี่ได้ปรากฏตัวฉับพลัน!
ชายหนุ่มชุดเหลืองผู้นี้หรือว่าจะเป็คนของตระกูลอวี่?
ในขณะนั้นมีเสียงคำรามดังขึ้นขัดจังหวะหลินเฟินที่กำลังครุ่นคิดอยู่ เขาหันไปมองต้นเสียงจากในกรงเหล็ก
การต่อสู้ของสัตว์อสูรปีศาจที่อยู่ในกรงได้จบลงแล้ว ผลคือสัตว์อสูรปีศาจถูกฆ่า ในขณะนั้นชายชราผู้หนึ่งได้นำหัวของสัตว์อสูรปีศาจขึ้นมาและเดินเข้าไปในกรง
เสียงคำรามเมื่อครู่นี้ มันเป็สัตว์อสูรปีศาจที่กำลังออกมา
“กิ้งก่า สัตว์อสูรระดับจิติญญา!”
ฝูงชนต่างรู้สึกตื่นเต้น เพราะกิ้งก่านั้นเป็สัตว์อสูรปีศาจที่ทระนงเป็อย่างมาก ในขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวก็ว่องไวและรวดเร็ว แล้วยังมีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังมาก
“ครั้งนี้ไม่รู้ว่าใครจะกล้าเข้าไปในกรง แต่มันคงน่าสนใจมาก”
ฝูงชนต่างครุ่นคิดและมีหลายคนเข้าใจกันดี เพราะกิ้งก่าตัวนี้เคยออกมาประลองในกรงนี้หลายหนแล้ว นอกจากนี้ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ถูกมันกลืนกินไป
“ผู้ดำเนินการของลานประลองเชลยไม่หยุดนำสัตว์อสูรปีศาจและทาสผู้ฝึกยุทธ์ออกมาต่อสู้ หากสัตว์อสูรปีศาจและทาสผู้ฝึกยุทธ์ถูกฆ่า พวกเขาจะต้องจ่ายด้วยหินหยวน ถ้าเป็เช่นนี้มันจะไม่ขาดทุนได้อย่างไรกัน?”
หลินเฟิงสงสัยเล็กน้อยจึงกล่าวถาม ผู้ดำเนินการลานประลองเชลยมีสัตว์อสูรปีศาจและทาสผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากมาย มีการต่อสู้ทุกวัน ไม่รู้ว่าเื้ัจะเป็เช่นไร?
“เมื่อได้รับเหล่าสัตว์อสูรปีศาจและทาสผู้ฝึกยุทธ์มา เพราะพละกำลังไม่แข็งแกร่งจึงต้องถูกฆ่า แม้แต่ผู้ดำเนินการลานประลองเชลยก็ไม่ได้สนใจ การต่อสู้ในลานประลองจึงได้ทำให้สัตว์อสูรปีศาจกระหายเื และทาสผู้ฝึกยุทธ์ก็แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ในเวลานี้พวกเขาจึงมีมูลค่ามากขึ้น ผู้ดำเนินการลานประลองเชลยอาจเลือกมาเพื่อใช้ส่วนตัว หรือเลือกบางส่วนไปประมูล ซึ่งนี่คือเป้าหมายของพวกเขา ก็เหมือนกับพวกเราที่พวกสัตว์อสูรปีศาจและทาสผู้ฝึกยุทธ์ต่างต้องพึ่งพาประสบการณ์ในการต่อสู้ และเ้าของลานประลองก็ใช้ประโยชน์จากพวกเรา เพื่อทำให้เหล่าสัตว์อสูรปีศาจและทาสผู้ฝึกยุทธ์แข็งแกร่งขึ้น”
หลินเฟิงประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยคิดไกลขนาดนี้ แน่นอนว่าทาสผู้ฝึกยุทธ์ที่รอดชีวิตจากการต่อสู้จะมีคุณค่าเป็อย่างมาก ถ้านำไปฝึกฝนพวกเขาจะกลายเป็นักสู้ที่แข็งแกร่ง และเ้าของลานประลองก็ได้ผลประโยชน์ด้วย
“ส่วนพวกเขาก็จะต้องจ่ายหินหยวนเป็ค่าชดเชย เมื่อพวกเราเข้าไปในเมืองก็ต้องจ่ายหินหยวน แม้ว่าไม่ใช่จำนวนที่เยอะ แต่สำหรับคนที่นี่ เ้าคิดว่ามันมีค่าเท่าไรกัน? นอกจากนี้แค่มานั่งด้านหน้าจำเป็ต้องจ่ายด้วยหินหยวนระดับกลาง 1 ก้อน เ้าคำนวณดูสิว่ามันจะเท่าไรกัน?”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยอธิบายกับหลินเฟิงอย่างอดทน หลินเฟิงยิ้มแล้วส่ายหน้า เขาคิดผิวเผินเกินไป เพียงแค่เห็นสัตว์อสูรปีศาจและทาสผู้ฝึกยุทธ์ถูกฆ่ายังต้องจ่ายด้วยหินหยวน แต่กลับดึงดูดผู้คนมากมายมาที่ลานประลองเชลยแห่งนี้
ในขณะนั้นชายชราที่ยืนอยู่กลางลานประลองประกาศว่า “กิ้งก่า สัตว์อสูรระดับจิติญญาขั้นที่ 4 ผลการต่อสู้คือชนะทั้งหมด 28 รอบ!”
เมื่อฝูงชนได้ยินที่ชายชราประกาศต่างต้องอ้าปากค้าง ชนะ 28 ครั้ง! ช่างน่ากลัวเสียจริง! ซึ่งนั่นหมายความว่าอสูรกิ้งก่าได้ฆ่าคนไปแล้ว 28 คน
“ผู้ชนะที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 จะได้รับหินหยวนระดับกลาง 20 ก้อน และผู้ชนะที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 จะได้รับหินหยวนระดับกลาง 100 ก้อน”
ชายชรากล่าวต่อ จากนั้นเดินไปที่ทางเข้าช่องกรงเหล็ก และรอดูการต่อสู้อยู่ตรงนั้น
“หินหยวนระดับกลาง 20 ก้อน ช่างเยอะเสียจริง!”
หลินเฟิงพึมพำ หินหยวนระดับกลาง 20 ก้อน เท่ากับหินหยวนระดับต่ำ 2000 ก้อน และยังสามารถฝึกฝนที่ชั้นสี่ของหอฝึกฝนได้เป็เวลา 2 ปี
2 ปี ช่างเป็ความคิดที่น่าหวาดกลัวเสียจริง
“การเดิมพันชีวิตเพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้รางวัล มันก็ช่างน่ากลัวเหมือนกัน”
หลินเฟิงพูดกับตัวเอง เขาตระหนักได้ว่านิกายหยุนไห่นั้นช่างยากจน เ้าของลานประลองนี้มีหินหยวนจำนวนมาก และไม่รู้ว่าจะน่ากลัวขนาดไหนกัน
หินหยวนระดับกลาง 20 ก้อนเพียงพอที่จะซื้อทาสผู้ฝึกยุทธ์ได้ นอกจากนี้ยังสามารถแลกเปลี่ยนเป็เคล็ดวิชาและทักษะการต่อสู้ได้
เมื่อคิดเกี่ยวกับมันแล้วหลินเฟิงจึงลุกขึ้นอย่างไม่ลังเล และกล่าวอย่างเ็าว่า “การต่อสู้นี้ ข้าจะเป็คนจัดการเอง!”