หนูวิ่งเพ่นพ่านผ่านเท้าไป กลิ่นเหม็นเน่าผสมปนเปกันหลายกลิ่นลอยเข้ามาในจมูกของนาง ทุกแห่งหนที่เห็นล้วนเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เด็กน้อยที่ยืนเท้าเปล่าอยู่หน้าประตูเ่าั้ล้วนมองมาที่นาง ั์ตาแต่ละคู่เต็มไปด้วยความปรารถนาต่ออาหาร หลิงมู่เอ๋อร์เดินผ่านพวกเขาไปตลอดทาง แต่ความรู้สึกภายในใจกลับหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่เพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงนั้น สิ่งที่นางเห็นล้วนเป็ภาพความรักใคร่ปรองดองกัน เหล่าประชาชนต่างใช้ชีวิตและมีงานทำอย่างมีความสุข ไม่เคยคิดว่าความเลวร้ายของทั้งหมดจะซ่อนตัวอยู่ในความลับเช่นนี้ เมืองหลวงไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด และผู้คนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีใครมองเห็นเหล่านี้ต่างหากถึงจะเป็สภาพที่แท้จริงของแว่นแคว้น นางไม่รู้ว่านี่เป็สิ่งที่ผู้มีอำนาจกำลังปิดหูขโมยกระดิ่ง [1] หรือว่ามีคน้าปกปิดความจริงทั้งหมดเอาไว้ ถ้าเป็อย่างหลัง เช่นนั้นแว่นแคว้นนี้ก็ทำให้ผู้คนผิดหวังแล้วจริงๆ
ในมิติของหลิงมู่เอ๋อร์ยังมีอาหารอยู่มากมาย นางหยิบอาหารออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยื่นให้กับเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่เห็นได้ชัดว่าอายุประมาณสองขวบที่อยู่ตรงข้าม
ั์ตาของเด็กผู้หญิงคนนั้นเต็มไปด้วยความปีติยินดี นางยื่นมือออกไปรับอย่างรีบร้อน แล้วสาวเท้าวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของสตรีนางหนึ่งดังออกมาจากด้านใน ก่อนที่สตรีนางนั้นจะอุ้มเด็กผู้หญิงวิ่งออกมา ในตอนที่เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ก็คุกเข่าลงบนพื้น ก่อนโขกศีรษะอย่างรุนแรงไปทางหลิงมู่เอ๋อร์อยู่หลายครั้ง
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้้าความซาบซึ้งในบุญคุณจากนางเลยแม้แต่น้อย หลิงมู่เอ๋อร์เบี่ยงตัวหนีแล้วเดินออกไปจากที่นั่น
“เด็กดี เห็นพี่สาวท่านนั้นแล้วใช่หรือไม่?นางเป็คนดี” หญิงวัยกลางคนเอ่ยกับเด็กสาวที่อยู่ในอ้อมแขน “พวกเรารีบเข้าไปในบ้านเร็ว บิดาเ้าหิวมาหลายวันแล้ว”
ที่อยู่ของจูชิงเฟิงอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของเขตพื้นที่คนจน กล่าวกันว่าหลังจากที่ขาทั้งสองข้างของเขาพิการแล้วยังต้องประสบกับเื่ของมารดาที่ป่วยหนักอีกด้วย จึงได้ใช้เงินทั้งหมดที่เก็บออมมาซื้อยาให้มารดาของเขา แต่สุดท้ายแล้วนางก็ได้เสียชีวิตลง และเขาก็ได้ย้ายมาอยู่ในเขตพื้นที่คนจนแห่งนี้ เขามีภรรยาหนึ่งคน และยังมีบุตรชายหนึ่งคน แต่ว่าบุตรชายของเขาตาบอดทั้งสองข้างั้แ่อยู่ในครรภ์
หลิงมู่เอ๋อร์ยื่นอยู่หน้าประตู มองประตูบานใหญ่ที่เก่าทรุดโทรมตรงหน้า บ้านหลังนี้ไม่แตกต่างอะไรกับบ้านทรุดโทรมหลังเดิมที่นางเคยอาศัยอยู่เลยแม้แต่น้อย เมืองหลวงยังสามารถหาสถานที่เช่นนี้ได้ นับว่าเป็เื่หายากแล้วจริงๆ จะเห็นได้ว่าในเมืองหลวงมีการแบ่งแยกระหว่างคนรวยกับคนจนอย่างชัดเจน คนรวยมีอำนาจบารมี สามารถทำสิ่งใดก็ได้ตามอำเภอใจ ส่วนคนจนนั้นเป็ชนชั้นที่ต่ำสุดในสังคม ย่อมตกอยู่ในที่นั่งลำบากมากที่สุด
ก็อกก็อกก็อก หลิงมู่เอ๋อร์เคาะประตู
หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งเปิดประตูออกมา ครั้นเห็นเงาร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ ั์ตาเต็มไปด้วยความสงสัย “แม่นางมาหาผู้ใดหรือ?”
หญิงวัยกลางสวมใส่เสื้อผ้าเก่าชำรุด ใช้เศษผ้าเก่าๆ หนึ่งชิ้นพันเส้นผมเอาไว้ นางจัดการตนเองได้อย่างสะอาดสะอ้าน เห็นได้ชัดว่านางเป็คนมีความสามารถ
หลิงมู่เอ๋อร์พินิจมองหญิงวัยกลางคน หญิงนางนั้นก็มองสังเกตนางเช่นเดียวกัน ถึงแม้จะกล่าวว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้แต่งกายโอ่อ่าร่ำรวย ทว่าบุคลิกท่วงท่าของนางทุกคนล้วนมองออก ดูก็รู้ว่าไม่ใช่แม่นางธรรมดา
“ที่นี่ใช่บ้านของนายท่านจูหรือไม่เ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ย่อกายคารวะไปทางหญิงวัยกลางคนนางนั้น “ข้าแซ่หลิง ได้รับการไหว้วานให้มาเยี่ยมนายท่านจูเ้าค่ะ”
ในเมื่อมาเยี่ยมจูชิงเฟิง แน่นอนว่าต้องนำสิ่งของคารวะมามอบให้ด้วย นางได้หยิบเอาตะกร้าหนึ่งใบออกมาจากมิติก่อนที่จะเคาะประตูแล้ว ด้านในบรรจุของว่างที่ทำเองหลากหลายชนิด
หญิงวัยกลางคนนางนั้นขมวดคิ้ว พลางกล่าวอย่างสงสัยว่า “แม่นางมาหาผิดคนแล้วกระมัง?พวกข้าไม่รู้จักท่าน”
มองไปแล้วหญิงวัยกลางคนนางนั้นดูจะอายุมากกว่าหยางซื่อสองสามปี นางและจูชิงเฟิงเป็สามีภรรยากันั้แ่อายุยังน้อย คนที่จูชิงเฟิงรู้จัก นางก็รู้จักเกือบทุกคน
“อาสะใภ้ท่านนี้” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างสุภาพ “ตอนที่นายท่านจูรับราชการเป็ขุนนางได้ช่วยเหลือผู้คนเอาไว้ไม่น้อย มีคนซาบซึ้งใจต่อเขา คิดอยากที่จะตอบแทนบุญคุณเขามาโดยตลอด ข้าน้อยไร้ความสามารถ เป็เพียงหมอคนหนึ่งเท่านั้น ข้าอยากจะดูอาการาเ็ที่ขาของนายท่านจู ไม่ทราบว่าท่านอาสะใภ้จะให้ข้าเข้าไปได้หรือไม่เ้าคะ?”
“เื่นี้… สามีของข้าเคยกล่าวว่าขาของเขาไม่จำเป็ต้องรักษาแล้ว” หญิงวัยกลางคนนางนั้นรู้สึกหวั่นไหว แต่เมื่อคิดถึงว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ได้ไปหาหมอมาแล้วมากมาย หมอเ่าั้ล้วนกล่าวเหมือนกัน ดูแล้วแม่นางท่านนี้ท่าทางเฉลียวฉลาดนัก แต่ว่าในด้านวิชาแพทย์นั้นไม่ใช่ว่าจะมีเพียงความฉลาดก็พอ หญิงวัยกลางคนไม่มีความเชื่อมั่นในตัวนางเลยแม้แต่น้อย
“ท่านอาสะใภ้ ข้าเพียงได้รับการไหว้วานให้มาตอบแทนบุญคุณของเขา ข้าไม่เก็บเงินแม้แต่อีแปะเดียวเ้าค่ะ ท่านอาสะใภ้ให้ข้าเข้าไปตรวจอาการสักหน่อยเถิด!ท่านผู้นั้นเคยได้รับความช่วยเหลือจากนายท่านจู จดจำเอาไว้อยู่ในใจมาโดยตลอด ท่านก็คงไม่อยากให้คนผู้นั้นรู้สึกติดค้างอยู่ในใจ คอยคิดแต่เื่นี้ไปตลอดชีวิตหรอกกระมังเ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“เ้ากล่าวว่ามีคนจดจำบุญคุณของเขามาโดยตลอด ไม่ทราบว่าคนที่เ้ากล่าวถึงนั้นคือผู้ใด?” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามต่อ “ถ้าเป็คนที่พวกเรารู้จัก เ้าพูดออกมาแล้วให้พวกข้าไปพบก็เพียงพอแล้ว”
“ท่านอาสะใภ้อาจจะไม่รู้จัก อย่างไรเสียคนผู้นั้นก็เคยเป็แค่คนสามัญชนคนธรรมดา ไม่ได้รับความสลักสำคัญอันใด เขาได้รับความช่วยเหลือจากนายท่านจูโดยบังเอิญ สำหรับนายท่านจูแล้วไม่นับเป็เื่อันใด แต่สำหรับเขากลับเป็การช่วยชีวิตที่ยิ่งใหญ่” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวโน้มน้าวต่อ
“สามีของข้าอารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก หลายปีมานี้กล่าวว่าไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าพบ แม่นางอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย” หญิงวัยกลางคนส่ายหน้าถอนหายใจพลางกล่าว
“ท่านแม่ ให้นางเข้ามาเถิดขอรับ!” เสียงไพเราะเสียงหนึ่งดังออกมาจากในเรือน
หญิงวัยกลางคนมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยความใ รีบร้อนวิ่งเหยาะๆ ก้าวเล็กเข้าไป นางประคองเขาไว้ พลางกล่าวตื่นตระหนก “ออกมาได้อย่างไร?”
“อุดอู้อยู่แต่ภายในห้องทั้งวันก็รู้สึกเบื่อหน่าย จึงอยากออกมาสูดอากาศบ้างขอรับ” ชายหนุ่มมีรูปโฉมหล่อเหลา เวลายิ้มขึ้นมาก็พาให้คนรู้สึกอบอุ่นเป็อย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มีประกายแวววาว เบื้องหน้ามีแต่ความว่างเปล่า เขา ‘มอง’ ไปยังทิศทางของหลิงมู่เอ๋อร์ พลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ทำให้แม่นางหัวเราะเยาะแล้ว ท่านพ่อของข้าอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก หวังว่าท่านจะให้อภัยด้วย”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวราบเรียบว่า “เดิมทีข้าก็มาเพื่อตอบแทนบุญคุณ ในเมื่อรับการไหว้วานมาแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องรักษาคำมั่นสัญญา ข้าไม่ถือสาสิ่งใด”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ เช่นนั้นก็ให้แม่นางเข้ามาดูอาการท่านพ่อเถิดขอรับ!ท่านแม่ ท่านก็เข้าไปดูสักหน่อย เพื่อไม่ให้ท่านพ่อละเลยต่อแขก” ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก
“ข้าช่วยดูอาการให้คุณชายก่อนแล้วกันเ้าค่ะ!” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่ชายหนุ่ม นางมีสิ่งที่คาดเดาได้อยู่ในใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าการคาดเดานี้จะถูกต้องหรือไม่ เพราะฉะนั้นต้องตรวจสอบดูเสียก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
ชายหนุ่มผงะไปครู่หนึ่ง นี่เป็ครั้งแรกที่มีคนพูดว่าจะช่วยดูอาการให้เขา หมอเ่าั้ทันทีที่ได้ยินว่าโรคของเขาเป็มาั้แ่อยู่ในครรภ์ของท่านแม่ ต่างก็พากันส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ นานมากแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าโรคของเขาไม่อาจรักษาให้หายได้ เขาจึงไม่เคยมีความคาดหวังกับเื่นี้
หญิงวัยกลางคนขมวดคิ้ว ั์ตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เดิมทีนางมีความรู้สึกที่ดีต่อหลิงมู่เอ๋อร์ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าหญิงสาวนางนี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง
หมอที่แท้จริงมองเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าโรคของบุตรชายนางนั้นไม่อาจที่จะรักษาให้หายได้ ทว่านางกลับอยากจะมาสะกิดาแในใจของเขา คิดว่าพวกเขาเป็คนใจดีอย่างนั้นหรือ?
หญิงวัยกลางคนคิดจะบันดาลโทสะออกมา แต่ถูกชายหนุ่มจับมือของนางเอาไว้ เขายิ้มบางพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ให้แม่นางท่านนี้ช่วยข้าดูสักหน่อยเถิด”
หลิงมู่เอ๋อร์ััได้ถึงความไม่พอใจของหญิงวัยกลางคนมาั้แ่แรกแล้ว แต่ชายหนุ่มผู้นี้ั้แ่ต้นจนถึงตอนท้ายกลับมีเพียงสีหน้าเรียบนิ่งดั่งสายลมเย็นให้ความรู้สึกสบายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนผู้นี้อ่อนโยนจริงๆ!
เดิมทีหลิงมู่เอ๋อร์ยังมีท่าทีครึ่งๆ กลางๆ ไม่แน่ใจว่าอยากจะรักษาเขาให้หายหรือไม่ แต่ตอนนี้นางอยากจะรักษาอาการของชายหนุ่มผู้นี้ให้หายดีได้จริงๆ คนดีต้องได้รับสิ่งที่ดีเป็การตอบแทน ชายหนุ่มที่นิสัยดีถึงเพียงนี้ ทั้งปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจ จะถูกจำกัดให้อยู่แต่ในเรือนสี่ประสานเล็กๆ เช่นนี้ตลอดไปได้อย่างไร?เขาควรที่จะได้ออกไปัักับโลกกว้างถึงจะถูกต้อง
หญิงวัยกลางคนได้ยินชายหนุ่มยินยอมให้หลิงมู่เอ๋อร์ตรวจรักษาโรคให้ ก็ทำได้แต่เพียงนำพวกเขาเข้าไปในห้อง
ขนาดห้องเล็กเป็อย่างยิ่ง แต่ก็เก็บกวาดได้อย่างสะอาดสะอ้าน เห็นได้ชัดว่านายหญิงเป็คนคล่องแคล่วมีระเบียบ เสียงไอที่แก่ชราดังมาจากห้องด้านข้าง หลิงมู่เอ๋อร์เดาว่าจูชิงเฟิงที่นิสัยไม่ค่อยดีผู้นั้นน่าจะอยู่ห้องข้างๆ นี้
ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ หลิงมู่เอ๋อร์เข้าไปใกล้เขา และทำการตรวจดูดวงตา
กลิ่นหอมหวานจางๆ ลอยเข้าสู่จมูกของชายหนุ่ม ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงมือเล็กที่อ่อนนุ่มคู่นั้นััเข้าที่หางตาของเขา ก่อนจะยกเปลือกตาของเขาขึ้น
“เ้าทำอันใด?” หญิงวัยกลางคนเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ใช้เข็มหนึ่งเล่มฝังเข้าไปที่บริเวณหางตาของเขา นางร้องออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงของหญิงวัยกลางคน นางจึงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “อาสะใภ้ไม่ต้องใไปเ้าค่ะ ข้าไม่มีทางทำร้ายเขาแน่นอน ท่านกระวนกระวายใจเช่นนี้ กลับจะกระทบต่อการรักษาของข้าได้ง่าย พี่ใหญ่ท่านนี้ ข้าได้ฝังเข็มให้ท่านไปสองเข็ม ท่านมองเห็นเส้นแสงเล็กๆ บ้างหรือไม่เ้าคะ?”
ชายหนุ่มหลับตาลง ในตอนที่ลืมตาอีกครั้งนั้น ก็พยายามเพ่งมองออกไปยังเบื้องหน้า เขานิ่งค้างอยู่อย่างนั้นเป็เวลาครู่ใหญ่ และไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักพักใหญ่ทีเดียว
หญิงวัยกลางคนรู้ผลลัพธ์ั้แ่แรกแล้ว ดังนั้นก็เลยไม่ได้รู้สึกผิดหวังอันใด นางมีแต่เ็ปใจที่ชายหนุ่มได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอีกครั้ง และนั่นยิ่งทำให้นางรู้สึกไม่ชอบใจหลิงมู่เอ๋อร์มากขึ้นไปอีก
ชายหนุ่มมีนิสัยเหมือนกับมารดา อ่อนโยนมีมารยาท ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ จะเห็นได้ว่าหญิงวัยกลางคนไม่ได้เป็คนที่ไร้เหตุผล เพียงแค่หลิงมู่เอ๋อร์ไปสะกิดจุดอ่อนของนางก็เท่านั้น ความรู้สึกของชายหนุ่มเป็จุดอ่อนของคนที่เป็มารดา สำหรับนางแล้วนั่นเป็สิ่งที่มีค่ามากกว่าชีวิตของตนเองเสียอีก
“เหมือนว่าข้าจะมองเห็นอะไรบางอย่างที่เป็สีขาว ข้าไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน ดังนั้น ข้าจึงไม่รู้ว่านั้นคือสิ่งใด” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่สับสน “ท่านแม่ช่วยบอกข้าได้หรือไม่ สิ่งนั้นคืออะไรกัน?ข้ารู้สึกร้อนที่ดวงตา ยังมีความรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อย นี่เป็เพราะอะไรกัน?”
“หากข้าไม่ได้เดาผิด ดวงตาของท่านยังพอมีทางรักษาได้ ขอเพียงแค่ให้เวลาข้าสามเดือน จะต้องทำการฝังเข็มควบคู่กับการประคบยา และดื่มยาอีกหนึ่งเดือน เช่นนี้ก็จะกลับมามองเห็นฟ้าใหม่ได้อีกครั้งเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวด้วยท่าทางมั่นใจที่เปี่ยมล้น
“เ้าว่าอย่างไรนะ?” คำพูดที่เหมือนกันออกจากปากของคนทั้งสองคน หนึ่งในนั้นคือหญิงวัยกลางคนที่ห่วงใยต่อชายหนุ่ม และอีกหนึ่งคนก็คือชายชราผู้หนึ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์มองชายชราที่ถือไม้เท้าอยู่ตรงหน้าประตู ชายชรามีท่าทีเ็าและใบหน้าเคร่งขรึม ชะตาชีวิตที่ทุกข์ระทมไม่ได้ทำให้เขาก้มก้มศีรษะลงต่ำเลย เขายังคงมีท่าทางที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่เหมือนดั่งแต่ก่อน ร่างกายของเขามองดูแล้วไม่ค่อยดีนัก เกิดจากการขาดสารอาหารมาเป็เวลานาน อีกทั้งประกอบกับต้องลมเย็นอีกด้วย น่าจะป่วยมามากกว่าหนึ่งถึงสองวันแล้วอย่างแน่นอน
รอบดวงตาของหญิงวัยกลางคนมีน้ำตาไหลลงมาพร้อมด้วยท่าทางราวกับไม่อยากจะเชื่อ ชายชราดูสงบนิ่งเยือกเย็นมากกว่า แต่หลิงมู่เอ๋อร์สังเกตได้ถึงร่างกายที่สั่นเทาของเขา
ครั้นได้พบทั้งสองคนแล้ว นางจึงพูดซ้ำอีกหนึ่งรอบ “อาการไม่ได้เลวร้าย ไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิดไว้ ข้ามีความมั่นใจถึงแปดส่วนว่าจะรักษาเขาให้หายได้เ้าค่ะ”
“ดี ถ้าเ้าสามารถรักษาดวงตาของเขาให้หายได้ เ้าก็จะเป็ผู้มีพระคุณของจูชิงเฟิงเช่นข้าแล้ว” ชายชราผู้หัวแข็งมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างจริงจัง “ขอเพียงเ้าร้องขอ ข้าจะตอบตกลงเ้าทุกอย่าง”
ถึงอย่างไรชายชราก็รับราชการอยู่ในเมืองหลวงมาเป็เวลานาน ไม่ได้ไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกเหมือนกับหญิงวัยกลางคน คำพูดเ่าั้ของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่อาจหลอกชายชราผู้นี้ได้
ถ้ามีคนอยากจะตอบแทนบุญคุณเขาจริงๆ เหตุใดพวกเขาที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาเป็เวลานานกลับไม่เคยได้พบเจอ?ชีวิตของพวกเขาลำบากกว่าที่คิดเอาไว้มาก
หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่ได้หวังว่าชายชราจะต้องเชื่อในคำพูดของนางเช่นกัน นางเพียงแค่้าหาข้ออ้างในการเข้ามาก็เท่านั้น ตอนนี้ไม่จำเป็ต้องใช้แล้ว แน่นอนว่าก็ไม่จำเป็จะต้องกล่าวถ้อยคำสุภาพเ่าั้อีกแล้วด้วย
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยความ้าของนางอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าพวกท่านเชื่อมั่นในตัวข้า เช่นนั้นก็ไปอาศัยที่บ้านของข้าสักระยะหนึ่งเป็อย่างไรเ้าคะ?ขอกล่าวความจริงไม่ปิดบัง โรงหมอของข้าจะเปิดทำการในเร็วๆ นี้แล้ว ที่นั่นมีอุปกรณ์ที่ข้า้าทุกอย่าง อยู่ที่นี่ข้าไม่อาจแสดงความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่ แน่นอนว่า พวกท่านก็ไม่ได้อาศัยเปล่าๆ ในบ้านของข้ามีพี่น้องอยู่สองสามคนที่เลื่อมใสศรัทธาต่อนายท่านจู พวกเขาอยากเชิญให้นายท่านจูสั่งสอนเป็อาจารย์ของพวกเขาเ้าค่ะ"
อาจารย์กับฟูจื่อ [2] ไม่เหมือนกัน ฟังดูแล้วมีความคล้ายคลึงกัน แต่ในความเป็จริงแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในตอนที่มานั้นนางอยากจะกล่าวว่าเป็ฟูจื่อ เพิ่งจะมาเปลี่ยนความคิดก่อนที่จะมาถึงนั่นเอง
เชิงอรรถ
[1] ปิดหูขโมยกระดิ่ง (掩耳盗铃) หมายถึง การพยายามหลอกตัวเอง หรือพยายามปกปิดในเื่ที่ทราบดีว่าไม่มีทางปกปิดได้สำเร็จ
[2] ฟูจื่อ (夫子) หมายถึง คำที่ใช้เรียกยกย่องนักปราชญ์ในสมัยโบราณ หรือเป็คำที่นักเรียนใช้เรียกครูในสมัยโบราณ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้