เมื่อเห็นเรือนหลังของจวนอ๋องนั้นเงียบสงบใบหน้าของเฮ้ออี้เทียนที่ไร้ซึ่งผ้าคลุมหน้านั้นประดับด้วยรอยยิ้มเย็น “หนึ่งล้านตำลึงทอง ม่อเวิ่นเฉิน ศีรษะของเ้านี่ช่างมีราคาเสียจริง”
ต่อให้มีค่าหัวถึงหนึ่งล้านตำลึงทองแต่มีเพียงตอนนี้เท่านั้นที่เฮ้ออี้เทียนถึงจะกล้าตกปากรับการค้าครั้งนี้เอาไว้เพราะในเวลานี้ม่อเวิ่นเฉินนั้นยังคงอยู่ในสถานภาพที่ไม่อาจปะทะฝีมือกับผู้อื่นได้
ม่อเวิ่นเฉินนั้นน่ากลัวเพียงใด ไม่มีผู้ใดไม่รู้ ตำนานนั้นมักทำให้ผู้คนหวาดผวาเสมอ
ทว่าความภาคภูมิใจของต้าเยียนที่เป็แคว้นมหาอำนาจของฝั่งตะวันออกนั้นมิได้เป็เพียงแค่ตำนานที่เล่าขานกันเท่านั้น
เขาใช้วิชาตัวเบานำตัวเองไปจนถึงเรือนหลักเพราะว่าภายในเรือนหลักนั้นมืดสนิททำให้มิอาจระบุตำแหน่งได้ชัดเจนอีกทั้งในตอนเช้าเฮ้ออี้เทียนก็ได้ดูแผนที่ของจวนอ๋องไปเพียงรอบเดียวเท่านั้น
ตอนนี้การกระทำทุกอย่างของเขาต้องดำเนินไปอย่างระมัดระวัง
เขาค่อยๆ คลำไปจนถึงประตูแววตาของเฮ้ออี้เทียนฉายประกายแห่งความตื่นเต้นออกมาแวบหนึ่งขอเพียงตัดศีรษะของม่อเวิ่นเฉินออกมาได้เช่นนั้นแล้วหอเงาคมก็จะได้เป็พี่ใหญ่ในหมู่นักฆ่า เป็ตำนานของโลกนักฆ่าในทันที
นี่เป็สิ่งที่เขาใฝ่ฝันหามาชั่วชีวิต
“รอเ้ามานานแล้ว” คิดมิถึงว่าเมื่อผลักประตูห้องเข้าไปห้องพักที่แต่เดิมมืดสนิทนั้นก็สว่างพรึบขึ้นมาในพริบตา
และภาพที่สะท้อนผ่านแสงเทียนที่สว่างไสวนั้นก็คือคนทั้งสองที่อยู่ในห้องพักมาก่อนแล้วคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นคือม่อเวิ่นเฉิน ส่วนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็คือเหลิ่งเหยียน
ผู้ที่เอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกมานั้นก็คือม่อเวิ่นเฉินผู้ที่มีสีหน้าเ็าแต่แฝงด้วยความเย้ยหยันอยู่บางส่วน
เฮ้ออี้เทียนนั้นอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาเป็เวลานานสำหรับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้เขาเพียงแต่รู้สึกใเพียงครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาปกติดังเดิมมือที่ถือดาบยกประสานกับอีกมือเพื่อคารวะบุคคลตรงหน้า “ท่านคงจะเป็ความภาคภูมิใจของต้าเยียนท่านอ๋องติ้งเป่ยโหวกระมังเป็เกียรติที่ได้พบจริงๆ”
“เช่นกันๆ” ม่อเวิ่นเฉินเองก็มิได้หงุดหงิดอันใดเขาเพียงมองไปที่เฮ้ออี้เทียนนิ่งๆ “กี่ตำลึง?”
คำถามถูกเอ่ยออกมาอย่างเรียบง่าย
ทว่าประโยคนี้กลับทำให้ใบหน้าของเฮ้ออี้เทียนขึ้นสีแดงจางๆเขาคาดคิดไม่ถึงว่าม่อเวิ่นเฉินจะถามคำถามเช่นนี้ โทสะบังเกิดขึ้นโดยทันใดคนพิการอย่างม่อเวิ่นเฉินกลับกล้าที่จะเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาเขายืดแผ่นหลังให้กลับมาตรงตามเดิม “ต้องล่วงเกินแล้ว”
ทันใดนั้นดาบในมือก็พุ่งออกไป
เหลิ่งเหยียนเองก็ดึงดาบออกมาในเวลาเดียวกันและยกขึ้นประชันกับเฮ้ออี้เทียน
เหลิ่งเหยียนนั้นติดตามข้างกายม่อเวิ่นเฉินมาั้แ่เล็กทว่าการมีอยู่ของเขานั้นน้อยคนนักที่จะรู้และในเวลานี้ดาบของเขาก็เคลื่อนไหวราวกับอสรพิษร้ายที่ผูกรัดกับเฮ้ออี้เทียนเอาไว้แน่น
ทำให้พละกำลังที่บุกเข้ามาในตอนแรกของเขาน้อยลงไปมาก
เขาค่อยๆ เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้ามากขึ้น ที่แท้หนึ่งล้านตำลึงทองนั้นมิใช่อะไรที่จะได้มาโดยง่ายเสียแล้ว
และชื่อเสียงของหอเงาคมนั้นก็ใช่ว่าจะได้รับมาโดยง่ายเช่นกัน
เพราะว่าในรายงานของเขามิได้เอ่ยถึงการมีตัวตนของบุรุษที่ชื่อเหลิ่งเหยียนแม้แต่น้อย
ทั้งสองมิได้พลิกตัวหลบกันและกัน ต่างฝ่ายต่างพุ่งดาบไปข้างหน้าล้วนแต่มีจุดประสงค์จะเด็ดเอาชีวิตของคนตรงหน้าให้ได้
ม่อเวิ่นเฉินที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในขณะนี้กลับกำลังลิ้มรสน้ำชาอย่างเบิกบานอารมณ์สีหน้าหาได้มีความตื่นเต้นหรือหวาดกลัวไม่
เสมือนว่าเขากำลังชื่นชมระบำดาบเบื้องหน้าอยู่
มีเพียงดวงตาสีนิลคู่นั้นที่เต็มไปด้วยไอสังหารและแรงอาฆาตจำนวนมากแม้ว่าไอสังหารนั้นจะไม่มีผู้ใดรู้สึกได้ก็ตาม
ซูฉีฉีที่นอนอยู่เรือนพักด้านข้างนั้นก็กำลังพลิกตัวเดิมนางตั้งใจว่าจะนอนต่อ ทว่าไม่นานนางก็ดันตัวเองให้ขึ้นมานั่งบนเตียงเนื่องจากนางได้ยินเสียงเหมือนดาบกำลังปะทะกันดังออกมาจากข้างนอก
นางมึนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกยืนขึ้นและหยิบเอายาถอนพิษที่อยู่บนโต๊ะไปซ่อนไว้ใต้เตียงของตนจากนั้นนางจึงเงื้อหูฟังอีกครั้งจนกระทั่งมั่นใจว่าตนนั้นไม่ได้หูฝาดไป
ดวงตากลมโตค่อยๆ หรี่ลงซูฉีฉีรู้ว่าจะต้องมีคนมาขัดขวางการกินยาถอนพิษของม่อเวิ่นเฉินเป็แน่คิดไม่ถึงว่าจะมีข่าวเล็ดลอดออกไปทั้งที่ตัวนางเองก็ระมัดระวังเป็อย่างมากแล้ว
เวลานี้ห้ามมิให้เกิดเื่ผิดพลาดใดๆ ขึ้นเป็อันขาด
ตอนนี้ซูฉีฉีกลับรู้สึกร้อนรนไม่น้อย ไม่มีความสงบนิ่งเหมือนดังเดิมอีกต่อไปนางรู้สึกเสียใจว่าเหตุใดนางถึงไม่ได้เอายาถอนพิษไปให้กับม่อเวิ่นเฉินในคืนนี้
ถ้าหากม่อเวิ่นเฉินดื่มยาถอนพิษไปแล้วปัญหาทั้งหลายในตอนนี้ก็จะแก้ไขไปได้อย่างง่ายดาย
เมื่อคิดได้ดังนี้ ในใจของซูฉีฉีก็กระวนกระวายมากขึ้น นางค่อยๆผลักประตูออก มุ่งหน้าเดินไปทางห้องพักของม่อเวิ่นเฉิน
เมื่อเห็นว่าเหลิ่งเหยียนกำลังสู้กับชายชุดดำคนหนึ่งซูฉีฉีก็ถึงกับนิ่งตะลึงด้วยความใเมื่อเห็นว่าตรงข้ามนั้นมีม่อเวิ่นเฉินที่กำลังทำสีหน้าสบายๆ อยู่ความกังวลในใจของนางก็ค่อยๆ ลดน้อยลง
นางอ้อมผ่านการสู้รบประชันฝีมือของบุคคลทั้งสอก่อนจะค่อยๆเดินขยับเข้าไปใกล้จุดที่ม่อเวิ่นเฉินกำลังนั่งพักอยู่
ในตอนที่ซูฉีฉีเข้ามาในห้องนั้นบุรุษทั้งสามก็ล้วนแต่สังเกตุเห็นแล้ว
ทว่าเหลิ่งเหยียนและเฮ้ออี้เทียนไม่มีเวลาไปสนใจเื่อื่นทั้งสองกำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการรับกระบวนท่าของฝ่ายตรงข้าม
ดูเหมือนว่าฝีมือของคนทั้งสองนั้นยากที่จะรู้แพ้รู้ชนะได้
เมื่อม่อเวิ่นเฉินเห็นซูฉีฉีเดินเข้ามาสีหน้าของเขาก็เขียวคล้ำในทันทีสายตาฉายแววเย็นะเืออกมาขณะที่ในใจกำลังด่าทอหญิงโง่ผู้นี้ว่านางจะโผล่มาที่นี่ทำไมกัน
ซูฉีฉีในตอนนี้ได้แต่กระทำทุกอย่างออกไปตามสัญชาตญาณนางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนนั้นเป็อะไรกันแน่
หลังจากที่เดินไปหยุดอยู่ข้างๆม่อเวิ่นเฉินแล้วซูฉีฉีก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาตอนนี้นางเพียงแต่รู้สึกว่ายืนอยู่ตรงนี้ทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมากจากนั้นนางก็จับจ้องไปที่การสู้รบของทั้งสองคนอย่างสงบนิ่งเช่นกัน
ทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงขลุ่ยดังเล็ดลอดเข้ามา
เฮ้ออี้เทียนที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นก็เผอเรอไปชั่วขณะทำให้กระบวนท่าช้าลงจังหวะหนึ่งเหลิ่งเหยียนจึงมีโอกาสแทงดาบลงไปบนไหล่ของเขาได้
ในขณะที่เหลิ่งเหยียนกำลังจะลงมือซ้ำนั้นเฮ้ออี้เทียนก็วาดกระบวนท่าหลอกและถอยหลังไปหลายก้าวก่อนจะเปลี่ยนทิศทางของดาบพร้อมพุ่งตัวเข้าใส่ม่อเวิ่นเฉินทันใดนั้นก็มีศรธนูพุ่งเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
ศรนั้นพุ่งตรงไปยังลำคอของม่อเวิ่นเฉิน
ศรสะกดรอยของเฮ้ออี้เทียนนั้นทั่วยุทธภพนี้ไม่มีผู้ใดเทียบได้ถือเป็กระบวนท่าที่ชั่วร้ายเป็อย่างยิ่งตอนนี้ไม่มีเวลามากพอให้เขาสามารถถ่วงเวลาได้อีกแล้ว
เขาเหลือเพียงวิธีนี้เท่านั้น
“ม่อเวิ่นเฉิน...” ซูฉีฉีตกตะลึงก่อนจะรีบผลักเก้าอี้ของคนข้างกายรวมถึงม่อเวิ่นเฉินที่นั่งอยู่บนนั้นออกอย่างรวดเร็ว
และลูกธนูเหล็กสีดำขนาดเล็กนั้นก็ได้พุ่งแทงลึกเข้าไปในแขนฝั่งซ้ายของซูฉีฉีเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
ถ้ามิใช่เพราะนางกำลังยืนอยู่หาได้นั่งอยู่บนเก้าอี้เช่นม่อเวิ่นเฉินไม่ ลูกธนูดอกนั้นคงแทงเข้าไปในคอของนางอย่างแน่นอน
“หญิงโง่” ม่อเวิ่นเฉินตวาดเสียงดังตอนนี้ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะขยับไม่ได้ทั้งหมดแต่เขาก็พยายามจะพยุงตัวเองขึ้นจากพื้นและดึงซูฉีฉีเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “ใครใช้ให้เ้าเอาตัวเองไปรับลูกธนูแทนข้ากัน”
เสียงคำรามของเขาดังก้องไปทั่ว เห็นได้ชัดว่าเขานั้นโมโหมากเพียงใด
และในขณะที่เฮ้ออี้เทียนปล่อยลูกธนูออกไปนั้นเหลยอวี๊เฟิงก็ได้บุกเข้ามาในห้องเป็ที่เรียบร้อยแล้วนักฆ่าของหอเงาคมกว่าห้าร้อยนายที่อยู่ด้านนอกได้เสียชีวิตลงอย่างอเนจอนาถภายใต้น้ำมือของเขาแล้ว
เสียงขลุ่ยเมื่อครู่ก็บรรเลงขึ้นเพื่อที่จะแจ้งแก่เฮ้ออี้เทียนว่าคนทั้งหมดไม่มีผู้ใดเหลือชีวิตรอด
เฮ้ออี้เทียนมิได้ลังเลอีกต่อไป เขารีบะโหนีออกจากทางหน้าต่างเหลิ่งเหยียนในตอนนั้นกำลังพะวงกับการตรวจสอบว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นได้รับาเ็หรือไม่จึงไม่ได้เข้าไปขวางเขาเอาไว้
ต่อให้เขาพุ่งออกไปขวางนั้นก็ใช่ว่าจะขวางไว้ได้สำเร็จ
“เวิ่นเฉิน เ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?” เหลยอวี๊เฟิงรีบเดินไปตรงหน้าม่อเวิ่นเฉินก่อนจะถามออกไปอย่างกังวล
แม้จะรู้ว่าเหลิ่งเหยียนอยู่ที่นี่ด้วย ทว่าเขาก็ยังไม่วางใจ
“หัวหน้าของกองทหารโลหิตอยู่ที่ใด?” ม่อเวิ่นเฉินไม่ได้หันไปมองเหลยอวี๊เฟิงแต่กลับเอ่ยถามเสียงเข้ม
“เสียชีวิตจากการสู้รบเมื่อครู่ไปแล้ว” เหลยอวี๊เฟิงก้มหน้าลงน้อยๆพวกเขาก็ยังคงดูถูกความสามารถของศัตรูเกินไป
เมื่อได้ยินว่าเสียชีวิตขณะสู้รบไปแล้วนั้นม่อเวิ่นเฉินก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน ดวงตาของเขาดำเข้มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
สีหน้าของซูฉีฉีที่อยู่ในอ้อมกอดเขานั้นขาวซีดทว่าแววตาของนางนั้นยังคงชัดเจนแจ่มแจ้ง “บนลูกธนูมีพิษ”
นางไม่รู้ว่าการที่ม่อเวิ่นเฉินโมโหนั้นหมายความว่าอย่างไรทว่าเขาโอบนางไว้ในอ้อมกอดนั้นแสดงให้เห็นว่าเขามิได้รังเกียจนางเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เหลิ่งเหยียนนั้นได้ออกไปจัดการกับสภาพอันเละเทะด้านนอกแล้วในขณะที่เหลยอวี๊เฟิงนั้นกำลังยืนอยู่ในห้องจ้องมองไปที่ซูฉีฉี “ทำเช่นไรดี?”
นางพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นและไม่ได้หันไปมองม่อเวิ่นเฉินอีก
ทางม่อเวิ่นเฉินเองก็ไม่ได้กล่าวอันใดออกมาเพิ่มและยอมให้เหลยอวี๊เฟิงพยุงตัวเองกลับขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ดังเดิม
ซูฉีฉีพับแขนเสื้อขึ้นก่อนจะเพ่งดูาแของตนสีหน้าของนางย่ำแย่แต่ไม่นานนักก็กลับมาสงบนิ่งดังเดิม “ไม่เป็ไร ข้ารู้วิชาแพทย์”
แต่ว่าสีหน้าที่หมองลงในชั่วขณะของนางนั้นม่อเวิ่นเฉินกลับเห็นมันอย่างชัดเจน
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็ขอดูเสียหน่อยว่าเ้าจะแก้พิษได้อย่างไร” คำพูดของม่อเวิ่นเฉินนั้นเหมือนเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจนักทว่าในเวลาเช่นนี้ ใครบ้างมีกะจิตกะใจกลับไปนอนต่อได้อีก
“คือว่า...” ซูฉีฉีนิ่งอึ้งด้วยความใ