“ครั้งนี้ฉือเอ๋อร์ทำโจ๊กตับหมู ท่านอ๋องพอทานได้หรือไม่เ้าคะ” รอจนท่านอ๋องทานจนเหลือแต่ถ้วยว่างเปล่า หนิงมู่ฉือรับถ้วยมา ยิ้มอย่างหยอกเย้าพร้อมกับเอ่ยถาม “โจ๊กที่ท่านทานช่วยบำรุงร่างกาย ส่วนตับหมูที่ท่านทานช่วยบำรุงเื ท่านอ๋องจะได้มีแรงฟื้นคืนกลับมาดังเดิม”
โจ๊กมีรสชาติหวานละมุนลิ้น ไร้กลิ่นคาว รสชาติอร่อยมาก ท่าทางของท่านอ๋องกลับมาสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ได้ผลดียิ่งกว่ายาที่หมอเขียนไว้ให้เสียอีก
“นางหนูหนิง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตับหมูจะอร่อยถึงเพียงนี้ เ้ามีสูตรลับใดหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้วเ้าค่ะ เพียงแต่เป็สูตรที่ข้าไม่อาจเปิดเผยได้ หากท่านอ๋องอยากทานข้าจะทำให้ท่านอ๋องทานทุกวันเลย” หนิงมู่ฉือยิ้มขณะเอ่ย แม้ใบหน้าของนางจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่อาจปิดบังความกังวลในแววตาได้ ในใจนางมีเื่หนึ่งที่อย่างไรก็ไม่สามารถสลัดให้หลุดออกไปได้
ครั้นท่านอ๋องทานอิ่มและนอนหลับไปแล้ว นางเดินออกจากตำหนักอ๋องโดยไม่ให้ผู้ใดรู้ ตรงไปยังจวนแม่ทัพเพื่อไปหาหลินมู่
ชีวิตของหลินมู่ในจวนแม่ทัพไม่ได้ราบรื่นดั่งที่หวัง เขามักจะถูกพวกผู้คุ้มกันคนอื่นๆ กลั่นแกล้งอยู่เสมอ หนิงมู่ฉือเดินมาถึงหน้าประตูจวนแม่ทัพก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าหลินมู่กำลังทำหน้าที่เป็คนเฝ้าประตู!
หลังหลินมู่เห็นหนิงมู่ฉือทั้งสีหน้าและแววตาดูใอย่างเห็นได้ชัด หันไปเอ่ยกับคนเฝ้าประตูอีกคนว่า “พี่ชาย ข้าต้องไปปลดทุกข์สักหน่อย เ้ายืนเฝ้าอยู่คนเดียวไปก่อนนะ”
คนเฝ้าประตูอีกคนมองอย่างรำคาญ “ไปๆ รีบไปเถอะไป ี้เีแล้วยังจะเื่มากอีก รีบกลับมาก็แล้วกัน”
“ได้” หลินมู่พยักหน้า ก่อนจะส่งสัญญาณทางสายตาให้หนิงมู่ฉือ ในใจหนิงมู่ฉือตอนนี้รู้สึกปวดร้าวยิ่งนัก หลินมู่เป็ถึงผู้คุ้มกันส่วนตัวของนาง เหตุใดตอนนี้ถึงกลายมาเป็เพียงคนยืนเฝ้าประตูไปได้ เหตุใดถึงปล่อยให้คนรังแกได้ตามใจเช่นนี้
นางเดินตามหลินมู่ไปยังที่รกร้างไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง หลินมู่เห็นหนิงมู่ฉือก็ดีใจยิ่งนัก คุกเข่าทำความเคารพ “ข้าน้อยคาราวะคุณหนูขอรับ”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเจือแววสะอื้นและเต็มไปด้วยความคิดถึงอย่างเห็นได้ชัด
ได้ยินเสียงอีกฝ่าย นางรู้สึกเศร้าใจยิ่งกว่าเดิม
นางพยักหน้า ใช้มืออันสั่นเทาประคองหลินมู่ให้ลุกขึ้นยืน “เหตุใดเ้าถึงมาทำงานในจวนแม่ทัพเจียงได้!”
หลินมู่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “คุณหนู คุณหนูคงไม่ทราบ ข้าน้อยรู้สึกมานานแล้วว่าแม่ทัพเจียงต้องมีแผนการบางอย่างเป็แน่ จึงเข้ามาทำงานในจวนเพื่อสืบหาเบาะแสขอรับ”
นางยิ้มอ่อน “หาเบาะแสของแม่ทัพเจียง? แต่ตอนนี้เ้าเป็เพียงคนเฝ้าประตู แล้วเ้าจะหาเบาะแสของเขาได้อย่างไร”
หลินมู่ถึงกับพูดไม่ออก มองหนิงมู่ฉืออย่างปวดใจ “คุณหนู ข้าน้อยรู้ว่าเป็เพราะท่านได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจในวังจึงไปที่เยี่ยนฉือ แต่ข้าน้อยอยากช่วยท่านแบ่งเบาภาระจริงๆ ถึงได้ทำเช่นนี้”
นางถอนหายใจออกมา เอามือกุมตรงหัวใจซึ่งอยู่ข้างใต้หน้าอก “ยังดีที่ใจของเ้ายังมีข้า มิเช่นนั้นข้าคงไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร”
“ครั้งนี้ข้าไม่เพียงแค่มาหาเ้าเท่านั้น แต่ข้ายังคิดจะเอาฐานะบ่าวที่มีความผิดติดตัวให้หลุดพ้นจากตัวด้วย ข้าถึงจะใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ” นางนึกถึงวันนั้นที่นางกับจ้าวซีเหอเดินทางกลับเข้ามาในเมืองหลวง ประโยคที่ทหารเฝ้าประตูพูด มันทำให้ภายในใจนางเป็ทุกข์
“คุณหนู…”
“ช่างเถิด เ้าอยู่ข้างนอกก็ระวังตัวด้วย สถานะตอนนี้ของข้าไม่เหมาะจะทำตัวสนิทสนมกับเ้า ข้าไปก่อนนะ” นางตบไหล่หลินมู่เบาๆ สองทีพร้อมกับยิ้ม ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปยังตำหนักอ๋อง
หลินมู่พยักหน้า ก่อนจะเดินกลับไปเฝ้าประตูเช่นเดิม เขามองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
หนิงมู่ฉือกลับตำหนักอ๋องด้วยใจที่หนักหน่วง นางนั่งเอามือเท้าคาง ในสมองขบคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะเอาฐานะบ่าวที่มีความผิดติดตัวให้หลุดพ้นจากตนเองได้ คิดไปคิดมา นางคิดได้ว่ามีแต่ต้องพึ่งพระสนมเต๋อเฟยให้ช่วยเท่านั้น
นางลุกขึ้นยืน เดินไปหาท่านอ๋องที่เรือน ท่านอ๋องเพิ่งดื่มยาตามด้วยลูกอมน้ำผึ้งที่นางทำให้ ครั้นท่านอ๋องเห็นนางมาหาจึงถามอย่างแปลกใจว่า “นางหนู มีเื่ใดหรือ เหตุใดถึงหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้น”
นางถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะเริ่มเอ่ยอย่างไร “ท่านอ๋อง ฉือเอ๋อร์มีเื่อยากจะขอร้องเ้าค่ะ”
“นางหนูหนิง มีเื่ใดก็พูดมาเถอะ” ท่านอ๋องรู้ดีว่าน้อยครั้งนักที่หนิงมู่ฉือจะเอ่ยขอร้องใคร ถึงกับเอ่ยขอร้องเช่นนี้ แสดงว่าต้องเป็เื่สำคัญ
คิ้วนางขมวดเป็ปม “ท่านอ๋อง ข้า…อยากเข้าวังอีกสักครั้งเ้าค่ะ”
ท่านอ๋องมีสีหน้าแปลกใจ เอ่ยถามอย่างสงสัยระคนงุนงง “เข้าวัง? นางหนูหนิง เ้ามีเื่อะไรใช่หรือไม่”
“ท่านอ๋องไม่ต้องเป็กังวลไปนะเ้าคะ ฉือเอ๋อร์เพียงแต่มีเื่เล็กน้อยที่ต้องจัดการ หวังว่าท่านอ๋องจะช่วยทำให้ฉือเอ๋อร์สมหวังด้วย หากท่านอ๋องทำให้ฉือเอ๋อร์สมหวัง ฉือเอ๋อร์จะซาบซึ้งใจยิ่งนัก” หนิงมู่ฉือคุกเข่าลง เอาศีรษะโขกพื้น
ทันใดนั้นเองจ้าวซีเหอก็วิ่งเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าตื่นตระหนก มองหนิงมู่ฉือที่คุกเข่าอยู่ด้วยสีหน้าท่าทางไม่สบอารมณ์สุดขีด “ท่านพ่อห้ามรับปากนางเด็ดขาดนะขอรับ”
หนิงมู่ฉือหันไปมองจ้าวซีเหอด้วยสายตานึกไม่ถึง ก่อนจะหันมาเอ่ยกับท่านอ๋องท่านอ๋อง “ท่านอ๋อง ท่านให้โอกาสนี้แก่ฉือเอ๋อร์เถิดนะเ้าคะ”
จ้าวซีเหอส่งสายตาให้บิดา ท่านอ๋องรู้ดีว่าสายตาเช่นนี้ของบุตรชายหมายความว่าอย่างไรจึงพยักหน้า ก่อนจะลูบเคราพร้อมกับเอ่ยว่า “นางหนูหนิง เ้าเข้าวังได้หรือไม่ได้ข้าตัดสินใจเองไม่ได้หรอก ต้องให้ฝ่าาเป็คนประทานอนุญาต”
จ้าวซีเหอได้ยินเช่นนั้นรู้สึกทั้งโล่งอกและดีใจ
หนิงมู่ฉือลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย “แต่ท่านอ๋องมีป้ายทองที่สามารถเข้าออกวังเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ใช่หรือเ้าคะ”
ท่านอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไป นางหนูหนิงคนนี้ช่างฉลาดเหลือเกิน คิดพร้อมกับถอนหายใจออกมา ก่อนจะแกล้งทำเป็ไม่มีแรง “นางหนูหนิง ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากให้เ้าเข้าวัง เพียงแต่ข้าเองก็จนปัญญา ป้ายทองนั้นอยู่กับซีเหอ”
ท่านอ๋องมองไปทางบุตรชายอย่างหมายรอชมเื่สนุกของคู่รัก
เยี่ยงนี้เป็การเล่นงานกันชัด จู่ๆ ท่านอ๋องก็โยนปัญหาใส่ศีรษะจ้าวซีเหอดังโครม ทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออกไปต่อไม่ถูก “ข้า…ใช่ อยู่กับข้าเอง ข้าไม่อนุญาตให้เ้าเข้าวัง!”
หนิงมู่ฉือเอ่ยถามเสียงดังอย่างไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใดเ้าคะ!”
“ก็ไม่มีเหตุผลใด ข้าแค่ไม่อยากให้เ้าเข้าวัง” เอ่ยจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่พอใจ ขณะที่ในใจรู้ดีว่าที่หนิงมู่ฉือ้าเข้าวังเป็เพราะเหตุใด
เพราะหญิงสาว้าเอาฐานะบ่าวที่มีความผิดติดตัวออกไปอย่างไรเล่า เขาจะคอยดูว่านางจะมาขอให้เขาช่วยเมื่อไหร่!
หนิงมู่ฉือมองจ้าวซีเหอที่เดินจากไปพร้อมกับกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ แต่นางก็จนปัญญา ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ได้แต่หันมายอบกายบอกลาท่านอ๋อง “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปปรึกษาเื่นี้กับซื่อจื่อก่อนนะเ้าคะ ท่านอ๋องพักผ่อนเถอะเ้าค่ะ ฉือเอ๋อร์ขอตัวก่อนเ้าค่ะ”