คนพวกนี้พอเห็นว่าอีกฝ่ายเป็ผู้แข็งแกร่งจากสำนัก ก็กลายเป็หญ้าบนกำแพงที่คล้อยไปตามลมง่ายๆ เอนเอียงไปทางเ้าอ้วนปากร้ายคนนี้กันทันที! เมื่อจำนวนเสียงสู้ไม่ได้แล้ว หลิ่วอิงกัดฟันจนดังกรอด มองไปที่ชายอ้วนจ้าวเหวินจัว จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความโกรธในใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นะเื “นั่นสินะ ท่านปรมาจารย์เป็ถึงผู้าุโในสำนักิญญาเมฆา ข้าคิดว่าท่านคงไม่ลงมือสังหารคนของพวกเราทั้งหกตระกูล ท่านปรมาจารย์คงมาที่นี่ได้สักพักแล้ว ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์พอจะบอกพวกเราได้หรือไม่ ว่าคนร้ายจากตระกูลใดที่เป็คนสังหารคนของพวกเราทั้งหกตระกูล” ในขณะที่พูดคำว่าสังหาร หลิ่วอิงก็ชี้ไปยังสองศพด้านข้าง
“คำพูด่แรกฟังดูดี ใครฆ่าคนของพวกเ้า ข้าย่อมรู้จักดีเช่นกัน ทว่าเ้าและข้าไม่ใช่คนรู้จักมักคุ้น และเมื่อครู่พวกเ้ายังเกือบจะยิงสหายของข้าตายอีก คิดว่าข้ายังจะบอกพวกเ้าอีกหรือ!” จ้าวเหวินจัวพูดช้าๆ
“ท่าน!” หลิ่วอิงโกรธจนแทบคลั่ง
เจิ้งอวิ๋นหลงจึงเข้ามาไกล่เกลี่ยอีกครั้ง ยกมือคารวะและกล่าว “ท่านปรมาจารย์ ท่านปรมาจารย์ เื่นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพวกเราทุกคน ขอท่านปรมาจารย์ได้โปรดช่วยบอกพวกเราด้วยเถิด ข้า...”
เจิ้งอวิ๋นหลงยังพูดไม่ทันจบ คนในตระกูลหลิ่วคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังก็เริ่มทนไม่ไหวกับการที่จ้าวเหวินจัวทำให้หัวหน้าของตัวเองโกรธซ้ำแล้วซ้ำเล่า นักยุทธ์คนหนึ่งอดรนทนไม่ไหว โพล่งออกมาทันที “ตรงขึ้นไปบนูเากันเลย หากเจอใครที่ไม่ใช่คนของพวกเราหกตระกูล ก็จับตัวเอาไว้ให้หมดทุกคน ในเมื่อไม่รู้ว่าเป็คนจากตระกูลไหน เช่นนั้นจะกลัวไปทำไม?”
‘แปะ แปะ แปะ!’ จ้าวเหวินจัวปรบมือ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ดี ดี ดี ตระกูลหลิ่วแห่งมู่อวิ๋นช่างอาจหาญยิ่งนัก เชิญเลย เชิญขึ้นไปบนเขาเพื่อจับตัวคนร้ายเลย!” กล่าวจบจ้าวเหวินจัวก็ทำท่าเชื้อเชิญด้วยการเอี้ยวตัวไปด้านข้าง เพื่อเปิดทาง พร้อมกับยกมือขวาขึ้นเชิญชวน
“พวกเราไปกันเถอะ!” นักยุทธ์คนนั้นอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมาเช่นกัน โบกมือเรียกพรรคพวกให้ขึ้นเขา!
“เดี๋ยวก่อน!” หลิ่วอิงยกมือขวาขึ้นมาสั่งหยุด สายตาดุจเหยี่ยวของเขาเริ่มสำรวจหมอกหนาทึบตรงหน้า หมอกนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง! เวลานี้บริเวณโดยรอบไม่มีหมอกเลย เฉพาะตรงเส้นทางขึ้นเขาเท่านั้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ นี่มันผิดปกติ!
ดวงตามีประกายแสงปรากฏขึ้น หลิ่วอิงเอื้อมมือไปหยิบป้ายหยกสื่อสารออกมา! และเปิดใช้งาน!
“เสี่ยวิ เสี่ยวิ!” เขารีบติดต่อเสี่ยวิ เพื่อสอบถามสถานการณ์ก่อน!
ภายในหมอกหนาทึบ! กลุ่มคนกำลังเดินเรียงแถวยาวเหยียด คนหนึ่งจับมืออีกคนหนึ่ง และเรียงต่อแถวกันเป็แนวยาวหลายร้อยหมี่ ผู้ที่ยืนอยู่หัวแถวคือชิวเทียนฉี่และเจี่ยงอิง ในขณะที่เซียวหลิงอวิ๋นเดินตามอยู่ท้ายแถว โดยมีเจิ้งอวิ๋นเผิงคอยดูแลระหว่างทาง ป้องกันไม่ให้ใครหลุดออกนอกแถวและหลงอยู่ในหมอก!
แท้จริงแล้ว เหล่านักยุทธ์ระดับล่างและคนงานที่ถูกทั้งหกตระกูลว่าจ้างมานี้ หลายคนต่างก็เคยประสบกับความน่ากลัวของหมอกนี้มาแล้วทั้งสิ้น ครั้นพอมีคนยินดีอาสาพาพวกเขาออกจากหมอกลึกลับนี้ ทุกคนต่างก็จับมือกันเอาไว้อย่างแ่า ไม่ยอมปล่อยมือจนกว่าจะเห็นแสงสว่างที่ปลายทาง!
“หึ่งๆๆ!” เสียงราวกับเสียงผึ้งดังขึ้น!
เซียวหลิงอวิ๋นมองไปที่ป้ายหยดสื่อสารขนาดเล็กในมือ พบว่าที่มาของเสียงหึ่ง ๆ ดังมาจากเ้าเครื่องนี้!
เขาจึงเปิดเครื่อง เสียงเรียกที่ดูรีบร้อนดังแว่วเข้าหู “เสี่ยวิ เสี่ยวิ...”
เสี่ยวิ? อ้อ หลิ่วิ! คนที่จะเรียกหลิ่วิว่าเสี่ยวิได้ หนำซ้ำยังเ้ามีแผ่นหยกสื่อสารประจำกาย ตัวตนของอีกฝ่ายชัดเจนโดยไม่ต้องสืบหา จะต้องเป็ผู้นำหลักของตระกูลหลิ่ว หลิ่วอิงเป็แน่แท้
มุมปากของเขากระตุกทันใด นิ้วมือของเขาก็แตะไปเบาๆ แล้วกดปิดเครื่องทันที!
การกระทำนี้ทำให้หลิ่วอิงที่อยู่ด้านนอกถึงกับงุนงง เมื่อครู่เสี่ยวิเพิ่งกดรับสายชัดๆ แต่ไม่มีการตอบกลับ ซ้ำร้ายยังปิดเครื่องไปอีก นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นกันแน่?
ความรู้สีกที่ตามมาคือความกังวลและความกลัว! หรือว่าจะเกิดเื่ขึ้นแล้ว!
จ้าวเหวินจัวพบว่าชายหนุ่มดวงตาเหยี่ยวคนนั้นหยิบแผ่นป้ายสื่อสารขึ้นมา และะโเรียกชื่ออย่างต่อเนื่องอยู่สักพัก จากนั้นสีหน้าดุร้ายของอีกฝ่ายก็เริ่มมืดดำลง แถมยังแฝงไปด้วยความกังวล!
เมื่อจ้าวเหวินจัวเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็ยิ้มเยาะอย่างสาแก่ใจ คิดจะพูดอะไรเพื่อเป็การกระตุ้นอีกฝ่ายสักหน่อย แต่ทันใดนั้น ภายในจิตของเขาก็ตรวจพบการเคลื่อนไหว จึงหันหน้ามองไปยังททางขึ้นเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ
เมื่อเห็นการกระทำของจ้าวเหวินจัวแล้ว หลี่เฉวียน เจิ้งอวิ๋นหลง และหลิ่วอิงต่างก็หันมองไปยังทางขึ้นเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกทึบด้วยเช่นกัน
ไม่กี่วินาทีต่อมา เงาคนเดินออกมาจากหมอกหนา คนจำนวนมากเดินตามออกมาจากหมอกคนแล้วคนเล่าอย่างต่อเนื่อง!
เมื่อเห็นเงาคนแรกแล้ว หลี่เฉวียนก็ยิ้มออกทันที
ส่วนสายตาของเจิ้งอวิ๋นหลงโฟกัสไปที่คนที่สอง! เจี่ยงอิง! ดี ดี ดี เด็กคนนี้ไม่เป็อะไร แต่เดี๋ยวนะ คนเหล่านี้คือ...
นอกจากคนของจวนเจิ้งอ๋องแล้ว คนของอีกห้าตระกูลต่างก็เบิกตากว้าง พยายามมองหาคนของตระกูลตัวเองในกลุ่มคนที่เดินออกมาเรื่อยๆ แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง!
“เฮ้อ ในที่สุดก็ออกมาได้แล้ว!”
“ขอบคุณ ขอบคุณ!” เหล่าคนงานเมื่อได้เห็นแสงสว่างของยามกลางวันอีกครั้ง หลายคนก็พากันคุกเข่าลงกับพื้น ขอบคุณ์ ขอบคุณชิวเทียนฉี่ และขอบคุณเจี่ยงอิง!
“ทางนี้ เจี่ยงอิง!” เมื่อเห็นว่าเจี่ยงอิงไม่ได้เดินมาหาตนเองเสียที เจิ้งอวิ๋นหลงจึงะโเรียกออกไป
แต่เจี่ยงอิงกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงยืนอยู่ข้างๆ ชายที่ออกมาเป็คนแรก พร้อมพูดอะไรบางอย่างกับชายหนุ่มคนนั้นเบาๆ!
“ท่านเจ็ด ท่านเจ็ดออกมาแล้ว!” ทันใดนั้นคนของจวนเจิ้งอ๋องที่อยู่ด้านหลังก็ส่งเสียงเรียกด้วยความยินดี!
เมื่อเจิ้งอวิ๋นหลงมองตามไปก็พบว่าเป็เจิ้งอวิ๋นเผิง น้องชายของเขานั่นเอง!
“น้องเจ็ด!” เจิ้งอวิ๋นหลงโบกมือเรียก
เจิ้งอวิ๋นเผิงที่เพิ่งเดินออกมาจากหมอก ได้ยินเสียงเรียกด้วยความยินดีของเหล่านักยุทธ์ในตระกูลของตัวเอง ตามด้วยเสียงเรียกของพี่รองของเขา!
มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มอันขมขื่น ก่อนจะยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อเป็การตอบกลับไป! รีบเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ ชิวเทียนฉี่ ไม่เดินไปไหนต่อ!
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ในเวลานี้เจิ้งอวิ๋นหลงถึงกับงุนงง!
สีหน้าของหลิ่วอิงยังคงมืดดำ หันหน้าไปหาเจิ้งอวิ๋นหลง “พี่รอง นี่มันไม่ถูกต้องแล้วนะ น้องเจ็ดกับหลานชายของท่านคิดจะแยกตัวกับพวกเราหรือไร?”
“น้องเจ็ด หลานอิง นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้น รีบๆ บอกมาเสีย!” เจิ้งอวิ๋นหลงมีสีหน้าเคร่งเครียด ะโถามด้วยน้ำเสียงเย็นะเื!
“พี่รอง ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย ท่านช่วยอดทนรอสักครู่!” เจิ้งอวิ๋นเผิงะโตอบกลับ!
หัวใจของเจิ้งอวิ๋นหลงเต้นรัว! ตัวเขารู้จักน้องเจ็ดของตัวเองเป็อย่างดี ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะมีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ การที่น้องเจ็ดพูดเช่นนี้ก็แสดงว่าก่อนหน้าได้มีการตกลงอะไรไปแล้วเป็แน่ และการตกลงนี้ก็ไม่น่าจะใช่เื่ดีสำหรับพวกเขา! แต่สำหรับอีกหลายๆ ตระกูล อาจจะไม่เป็เช่นนั้นก็ได้! ต้องใช่แน่ๆ การที่ปรมาจารย์จากสำนักิญญาเมฆาคนนี้ แสดงท่าทางเหมือน้าพุ่งเป้าไปที่ตระกูลหลิ่วเป็หลัก แต่ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ตระกูลเจิ้งอ๋องหรือตระกูลอื่นๆ ที่เหลือ หรือว่ากำลังหาแพะรับบาป...
เจิ้งอวิ๋นหลงเป็จิ้งจอกเฒ่าที่ฉลาดหลักแหลมนัก ทั้งยังเป็ผู้นำคนต่อไปของจวนเจิ้งอ๋องที่ได้รับการยืนยันสถานะเมื่อนานนานแล้ว หัวสมองที่แล่นฉิวของเขา ทำให้พอจะเข้าใจใจความสำคัญของเื่ราวทั้งหมดโดยไม่ยากเย็น!
เมื่อคิดออกมาได้เช่นนี้แล้ว ความคิดของเขาก็สงบลงทันที และยกมือขึ้นตอบน้องเจ็ด “ฮ่าๆ ดี!”
พูดจบ เจิ้งอวิ๋นหลงก็ไม่ยืนอยู่ข้างหลิ่วอิงอีกต่อไป หันไปทางจ้าวเหวินจัวพร้อมกับยกมือคารวะ ก่อนจะกลับไปขึ้นบนหลังม้า แล้วกลับไปรวมกับกองทัพใหญ่ด้านหลัง!
เมื่อเจิ้งอวิ๋นเผิงได้ยินเสียงหัวเราะและคำพูดสั้นๆ คำเดียวของพี่รอง และมองดูการกระทำของเขาแล้วก็เข้าใจได้ในทันที พี่รองของเขาสามารถเข้าใจความหมายที่สื่อออกไปได้อย่างถ่องแท้จริงๆ!
ทันใดนั้นก็ระบายลมหายใจยาวออกมา!
ชิวเทียนฉี่มองไปที่เจิ้งอวิ๋นเผิง พูดพึมพำเบาๆ “พวกเ้าตระกูลเจิ้งอ๋องนี่ฉลาดหลักแหลมเยี่ยงสัตว์ประหลาดกันทุกคนเลยนะ!”
เจิ้งอวิ๋นเผิงจึงตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะเช่นกัน “ฮึฮึ!”
ยังมีผู้คนเดินออกมาอย่างต่อเนื่อง คนกลุ่มแรกหลังจากที่ได้พักผ่อนสักครู่ก็เริ่มลุกขึ้นมา ยืนมองกองทหารม้าที่ยืนขวางทางกลับบ้านด้วยความหวาดกลัว!
ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีใครกล้าไปจากที่นี่แม้แต่คนเดียว!
ยามที่เหล่าเทพเซียนสู้กัน ประชาชนทั่วไปย่อมไม่มีสิทธิ์และพลังอะไรเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้อยู่แล้ว ทำได้แต่นั่งรออยู่เงียบๆ เป็ผู้ชมข้างสนามเท่านั้น รอให้เหล่าผู้กล้าสู้กันให้จบก่อน แล้วจึงค่อยกลับบ้านได้!
ดังนั้นจึงมีคนนั่งบ้าง ยืนบ้าง หรือขดตัวนิ่งๆ รอดูบ้าง
ใช้เวลาอยู่ประมาณครึ่งชั่วยามจนถึงคนสุดท้าย ไม่สิ สามคนสุดท้ายถึงจะถูก เพราะคนที่เดินออกมามีเชือกมัดผูกติดกับอีกสองคนที่เซไปเซมาอยู่ข้างหลัง!
เมื่อเห็นทั้งสองคนที่เซถลาลงไปกองอย่างหมดสภาพ ดวงตาของหลิ่วอิงก็เบิกกว้างทันใด เหล่าคนจากตระกูลหลิ่วที่อยู่ข้างหลังอารมณ์คุกรุ่นราวกับะเิลง!
เพราะคนที่ถูกมัดตัวลากออกมาอย่างน่าเวทนาทั้งสองนั้น ก็คือหลิ่วิและหลิ่วอวิ๋นเทาจากตระกูลหลิ่วนั่นเอง!
“ฮี้!” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับม้าที่พุ่งทะยานออกไป ตามด้วยนักยุทธ์อีกเจ็ดคนที่เหลือซึ่งควบม้าพุ่งออกไปด้วย ตรงไปยังทั้งสองคนที่ถูกมัดเอาไว้!
“ถอยกลับไป!” เสียงะโเย็นะเืดังขึ้นขัดจังหวะทันที!
ชั่วขณะต่อมา ฟุ่บ ฟุ่บ! เนื้อหนังสองชิ้นก็กระเด็นออกมา!
“อ๊าก!” ทั้งเนื้อและหนังถูกเฉือนออกไปอีกส่วนหนึ่ง อีกทั้งพลังปราณก็ถูกปิดผนึกเอาไว้อีก หลิ่วอวิ๋นเทาที่าเ็สาหัสอยู่ก่อนแล้วอดทนต่อความเ็ปที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ไม่ไหว อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความเ็ป!
หลิ่วิที่อยู่ข้างๆ ก็ถูกเฉือนเนื้อหนังออกไปด้วยเช่นกัน กัดฟันจนกรามแทบหลุด แต่ก็ยังอดทนอดกลั้นไม่ร้องออกมา ถือเป็การรักษาศักดิ์ศรีและหน้าตาของตัวเองเอาไว้ต่อหน้าคนในตระกูลตนเอง!
เซียวหลิงอวิ๋นไม่พูดอะไรออกไปสักคำ ชักดาบออกมาตัดเนื้อเฉือนหนังสองชิ้นออกจากร่างของเชลยทั้งสองอย่างเหี้ยมโหด วิธีการอันร้ายกาจนี้ ทำให้เหล่านักยุทธ์พากันตื่นตระหนกทันที!
คนแล้วคนเล่าต่างก็รีบดึงเชือกบังเหียน ม้าเกล็ดดำแปดตัวที่สง่างามต่างก็ยกกีบเท้าหน้าขึ้นสูงพร้อมกันและส่งเสียงร้อง ก่อนจะหยุดอยู่กับที่!
“ใครก็ตามที่เข้ามาใกล้อีกแม้เพียงหนึ่งจั้ง ข้าก็จะตัดเนื้อพวกเขาออกไปหนึ่งชั่ง ใครที่อยากกินอาหารจากชิ้นเนื้อพวกนี้ เชิญเข้ามาลองดูได้เลย!” เซียวหลิงอวิ๋นถือดาบภูติน้ำของหลิ่วิเอาไว้ในมือ แล้ววางพาดเอาไว้ที่คอของหลิ่วิ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นุ่มนวลราวกับเป็แค่การบอกเล่าเฉยๆ แต่ในสายตาของผู้คนที่อยู่ด้านหลังแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าคนที่ดุร้ายจากตระกูลหลิ่ว กลับดูเหี้ยมเกรียมอย่างยิ่ง!
แต่หลิ่วอิงกลับสงบเยือกเย็นได้อย่างน่าประหลาดในเวลานี้!
เขามองเซียวหลิงอวิ๋นที่อยู่ห่างออกไปเกือบสองร้อยเมตรด้วยสายตาเ็า ะโบอกเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยังไม่ยอมถอยม้ากลับ “พวกเ้าถอยกลับไปให้หมด!”
เมื่อได้ยินคำสั่งจากหัวหน้า เหล่านักยุทธ์ทั้งแปดคนของตระกูลหลิ่วจึงหันหัวม้าถอยกลับไปทีละคน เหมือนมมีลางสังหรร์ถึงอะไรบางอย่าง จึงไม่ได้กลับไปร่วมกับกองทัพใหญ่ทางด้านหลัง แต่แยกไปรวมตัวอีกที่โดยห่างออกไปสามสิบหมี่!
หลิ่วอิงก้าวเดินออกมาช้าๆ
เซียวหลิงอวิ๋นยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่ง ไม่พูดอะไร!
นับเลขอย่างเงียบๆ ในใจ หลังจากที่อีกฝ่ายเดินออกไปได้สิบก้าว ฟึ่บๆ แสงดาบสองเส้นก็สว่างวาบขึ้น เนื้อหนังอีกสองชิ้นก็กระเด็นลอยออกไป! ในขณะเดียวกันเสียงอันราบเรียบของเซียวหลิงอวิ๋นก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ดี หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ เนื้อหนังสองชิ้นนี้คือราคาที่พวกเ้าต้องจ่ายเนื่องจากไม่ปรึกษาข้า และตัดสินใจกันเอาเอง ถ้าหากเดินต่ออีกก้าวเดียว ข้าจะตัดแขนทั้งสองข้างของพวกเขาออกเสีย!”
“ว่าอย่างไร เจ็บใจอย่างนั้นหรือ? อยากฆ่าข้าก็เข้ามาได้เลย แล้วมาดูกันว่าการโจมตีของพวกเ้าจะเร็วกว่าดาบของข้าหรือไม่ ขอรับรองได้เลย เพียงพวกเ้าลงมือ หัวของพวกเขาจะต้องหลุดออกจากบ่าอย่างแน่นอน หากกล้าจะลองเข้ามาดูก็ได้”
ใบหน้าของหลิ่วอิงมืดคล้ำดำเขียว แต่ต้องหยุดก้าวเดินในทันที ไม่คิดทำเื่โง่ๆ เพื่อทำให้อีกฝ่ายโกรธ!
ชั่วขณะต่อมา คำพูดของจ้าวเหวินจัวที่ทำให้หลิ่วอิงเกลียดชังจนเข็ดฟันก็ดังกึกก้อง “ฮ่าๆๆ หลิงอวิ๋น เ้าเหยี่ยวหัวโล้นคนนี้ไม่มีความกล้าถึงเพียงนั้นหรอก ก่อนหน้านี้ยังไม่กล้าพนันกับข้าด้วยชีวิตนักยุทธ์ของตระกูลหลิ่วเลย ยิ่งเมื่อเห็นทายาทสายตรงของตระกูลหลิ่วสองคนนั้นอยู่ในเงื้อมมือของเ้าด้วยแล้ว พวกเขายิ่งไม่กล้าทำอะไรเสี่ยงขนาดนั้นแน่!”
