“มึงอยู่ไหน” ช่างเป็เช้าที่ไม่น่าอภิรมย์นักเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังปลุกให้ม่านหยี่ตื่นขึ้นจากภวังค์ ั์ตาสีโศกจ้องมองหน้าจอของเครื่องมือสื่อสารราคาแพงที่ซึ่งรามสูรเพิ่งซื้อให้เขาเป็ของขวัญวันครบรอบคบกัน ในตอนนั้นม่านหยี่อดละอายใจไม่ได้ที่เขาทำได้เพียงเลี้ยงบะหมี่เกี๊ยวรามเป็การตอบแทน และดูเหมือนว่าความละอายใจนั้นจะเพิ่มพูนขึ้นจนล้นปรี่ออกจากอกเมื่อในใจของเขารู้ดีว่าปลายสายนี้คือบิดาบังเกิดเกล้า
“อยู่กับราม” มือบางกำแน่นเข้าหากันจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บแสบจากปลายเล็บที่จิกลงบนฝ่ามือของตนเอง
“ที่ไหน พูด! อย่ามาเล่นลิ้นกับกู”
“ที่เกาะ”
“อ้อ...ฮ่าๆๆๆ ขนาดนั้นเลยเหรอวะ ลูกเขยกูมันหลงมึงหัวปักหัวปำถึงขั้นพากลับบ้านเลยเหรอวะ” น้ำเสียงสะใจเป็สิ่งที่เขาไม่อยากได้ยินจากพ่อมากที่สุด เขาเกลียด เกลียดทุกอย่างที่เป็ของบิดา
“ถามหน่อยได้มั้ย...ครับ”
“มึงจะถามอะไร”
“พ่อรู้ใช่มั้ย”
“รู้อะไร”
“เื่เกาะ”
“หมายถึงเื่ไหน มึงไม่เจาะจงกูก็ตอบมึงไม่ได้” ดูเหมือนว่านายหัวศิลาจะอารมณ์ดีจนกระทั่งสามารถเจียดเวลามาเล่นทายคำกับลูกชายได้ทั้งวัน
“บ้านของรามอยู่บนเกาะ เกาะของพ่อก็อยู่ติดเกาะของเขา”
“รู้สิวะ มีแค่มึงที่โง่เอง ไม่รู้อะไรซักอย่าง”
ม่านหยี่อยากะโให้สุดเสียงว่าที่เขาไม่รู้อะไรก็เป็เพราะอย่างไรล่ะ ที่เขาถูกส่งให้ไปอยู่ไกลบ้าน ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งติดต่อกลับไปหาแม่ถ้าหากพ่อไม่อนุญาต ปัญหาและอุปสรรคในชีวิตของม่านหยี่นั้นเริ่มต้นจากผู้เป็พ่อคนเดียวเท่านั้น
“พ่อเคยเป็เพื่อนพ่อกับแม่ของรามใช่มั้ย”
“มึงจะอยากรู้ไปทำไม หรือมึงไปรู้อะไรดี ๆ มาแล้วไม่บอกกู”
“ไม่รู้ แค่ถาม บังเอิญไปได้ยินรามคุยโทรศัพท์มา” ความกระดากอายในการเอ่ยคำว่าพ่อมันล้นออกมาจากปากจนทำให้ม่านไม่สามารถเรียกพ่อได้เต็มปาก
“ใช่ กูเคยเป็เพื่อนพ่อกับแม่มัน เพื่อนรักเลยล่ะ แต่สุดท้ายก็ไม่มีมิตรแท้ในหมู่โจร”
“...”
“ฉากหน้าพ่อพระแม่พระที่มึงเห็น มันก็เคยระยำหยำเปมาก่อนทั้งนั้นล่ะวะ มีแค่กูนี่ที่ยังมั่นคงในเส้นทางที่กูเลือก จำไว้นะม่าน มึงจะล้มเหลวถ้ามึงอ่อนแอ มึงจะโดนเหยียบซ้ำถ้าใจมึงไม่แข็งแกร่งพอ”
น้ำคำสั่งสอนน่านับถือเ่าั้มันจะดูศักดิ์สิทธิ์และน่าศรัทธามากกว่านี้ถ้าหากคนที่พร่ำพ่นประโยคยืดยาวนั้นไม่ใช่บิดาของเขา บิดาที่ไร้ความรัก ไร้ปรานี ไร้ซึ่งเมตตาแม้กระทั่งลูกชายและภรรยาที่ป่วยใกล้ตาย
“แม่เป็ไงบ้าง”
“อาการคงที่”
“คงที่ยังไง”
“ก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ตามประสาคนป่วย มึงจะอะไรกันนักกันหนา! ทำหน้าที่ของมึงให้ดีม่านหยี่ อย่าริอ่านมาทำเสียงแข็งใส่กู!”
ม่านถอนหายใจออกมาหนัก ๆ เมื่อพบว่าตนเองเป็ต้นเหตุทำให้บิดาอารมณ์ขุ่นมัวอีกแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าคำพูดประโยคไหนที่ไปสะกิดต่อมความโกรธของพ่อเข้าให้
“เป็ไง บ้านผัวใหญ่โตใช่มั้ยล่ะ เห็นว่าพาไปดูฟาร์มมุกด้วยนี่”
“พ่อรู้ได้ยังไง” ครั้งนี้ม่านหยี่ถามเสียงแข็ง
“คนของกูมีอยู่ทุกที่ กูไม่ได้โง่พอจะปล่อยมึงวิ่งพล่านไปทั่วโดยที่ไม่จับตามองมึงหรอกนะ อย่าคิดจะทำอะไรโง่ ๆ คำพูดและการกระทำสิ้นคิดของมึงจะพาหายนะมาถึงตัวมึงซักวัน แล้ววันนั้นมึงจะต้องโทษตัวเองไปตลอดชีวิต”
“...”
“ไว้เจอกัน”
ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งการคุยโทรศัพท์กับบิดาก็เป็เื่น่ากลัวและน่าหนักใจ เขาไม่ชอบอารมณ์หลังจากที่คุยกับพ่อเสร็จ เพราะมันมักจะมีเื่ไม่ดีให้ม่านหยี่ต้องทำ เขาเกลียดความรู้สึกที่ว่าพ่อกำลังจะชนะ เกลียดความรู้สึกที่พ่อรู้ทุกอย่าง ควบคุมทุกอย่าง และเขาเป็เพียงหมากตัวหนึ่งในเกมนี้ ผู้ชายคนนั้นกำลังใช้เขาและแม่เป็เครื่องมือเดินเกมในครั้งนี้ และมันจะเป็ดังเช่นหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา ‘บิดามักจะชนะอยู่เสมอ...’
ร่างบางเดินกลับเข้าไปในห้องนอนซึ่งหน้าต่างทุกบานถูกเปิดอ้าเอาไว้สำหรับรับสายลมทะเลในตอนเช้าตรู่ ม่านสีหม่นขยับน้อย ๆ ราวกับทักทายกันในตอนเช้า ร่างหนาหนักของรามสูรนอนคว่ำหน้าอยู่กับเตียงนุ่ม แผ่นร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นแผ่นหลังกว้าง กล้ามเนื้อเป็มัดวางตัวอยู่ในที่ของมันอย่างสวยงาม ร่างแกร่งหายใจเข้าออกเป็จังหวะสม่ำเสมอทำให้ม่านรู้ว่ารามกำลังหลับลึกอยู่ในตอนเช้า ๆ แบบนี้ ส่วนม่านหยี่ก็ทรุดกายลงนั่งยังอีกฟากหนึ่งของเตียงหลังกว้าง เขาค่อย ๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้จนสามารถจ้องมองรามสูรได้อย่างเต็มตาโดยที่ไม่รบกวนการนอนหลับของอีกฝ่าย แน่ล่ะเวลารามหลับนะเอาช้างมาฉุดก็ไม่ตื่นหรอก
หลายครั้งเขาก็หวังอยากแบ่งความแข็งแกร่งของรามสูรมาให้ตัวเองได้บ้าง แม้เพียงน้อยนิดคงดีกว่าที่มีอยู่ในตอนนี้ รามเติบโตท่ามกลางครอบครัว อาจไม่ได้สมบูรณ์แบบดังเช่นครอบครัวในฝันของใครหลาย ๆ คน ทว่าก็เกือบจะดีที่สุดเท่าที่เขาพอจะจินตนาการได้ รามสูรถูกเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดโดยมารดาแต่ถึงอย่างนั้นก็ได้รับความเมตตาและใจดีจากบิดามาถ่วงดุลเอาไว้ อย่างนั้นเลยทำให้รามเป็รามอย่างทุกวันนี้ เป็รามสูรที่ใจดี เก่งกาจและแข็งแกร่ง ทว่าในความใจดีก็มีความเด็ดขาด ในความแข็งแกร่งก็มีความอ่อนโยน และในความเก่งกาจก็มีความเมตตา รามสูรสามารถเป็ทุกอย่างที่อยากจะเป็ได้ ทำทุกอย่างตามความ้าของตัวเอง และรับผิดชอบหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยไม่มีส่วนไหนที่ตกหล่น รามทำมันได้ดีเสมอ ตรงกันข้ามกับเขาม่านหยี่รู้สึกว่าตนเองนั้นเป็เพียงคนอ่อนแอ โง่เขลา และประมาท ทุก ๆ การกระทำของเขาที่ทำลงไปมันมักจะมีผลร้ายตามมาเสมอ ไม่ว่าจะกระทำโดยไม่ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ความบังเอิญที่ช่างขมขื่นมันมักจะทำให้รสชาติชีวิตขื่นขม
มือบางค่อย ๆ ยื่นออกไปวางเบา ๆ บนหัวทุยของคนรัก เรียวนิ้วทั้งห้าถูกสอดเข้าไปขยุ้มกลุ่มผมสีดำขลับพอให้คนนอนหลับได้รู้สึกผ่อนคลาย กลิ่นแชมพูจาง ๆ ลอยปะทะจมูกของเขา และม่านหยี่ก็นั่งลูบหัวรามสูรอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งคนรักของเขารู้สึกตัวขึ้นใน่สายของวัน
“ทำไมม่านมาอยู่นี่ รามเดินหาซะทั่วเลย”
“ไม่รู้จะทำอะไรอะเลยมารดน้ำต้นไม้รอเธอละกัน”
“นอนไม่หลับเหรอ”
“ห้ะ? อ๋อ...ใช่” ม่านหยี่โยกตัวออกให้ห่างจากคนรักเมื่อฝ่ายนั้นยกมือหนาขึ้นมาโอบดวงหน้าของเขาเอาไว้ รามเกลี่ยนิ้วโป้งไปมาบริเวณใต้ตาของคนรักที่บวมช้ำ รวมถึงเกลี่ยเนินแก้มใสที่วันนี้มันไร้สีเืฝาด
“ไม่ชินสถานที่หรือว่าเพราะมีอะไรให้คิดเหรอม่าน”
“แค่ไม่ชินสถานที่น่ะ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวก็ชิน”
“...ครับ”
รามยังคงไม่ละมือออกจากดวงหน้าของคนรัก ตลอดระยะเวลาเกือบสี่ปีที่คบกันมาบางครั้งเขาก็ดูเข้าใจและเข้าถึงตัวตนทั้งหมดของม่านหยี่แล้ว แต่บางครั้งมันก็ไม่ใช่แบบนั้น ม่านดูเหมือนมีเื่ให้คิดอยู่ตลอดเวลา เป็เื่ใหญ่พอที่จะทำให้คนตรงหน้าลุกขึ้นไปคุยโทรศัพท์ใน่กลางดึกของวัน เป็เื่สำคัญพอที่จะทำให้ม่านเลือกที่จะโกหกเขาในบางครั้ง หรือทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันเป็แค่สิ่งที่รามสูรคิดมากไปเอง
ถ้าเป็อย่างนั้นก็ดีสินะ เขาก็อยากเป็แค่คนที่คิดมากไปเองเหมือนกัน...
“เราเห็นเหมือนมีคนอยู่ตรงนั้น รามไปดูหน่อยได้มั้ย”
“ตรงไหนม่าน”
“นั่นน่ะ”
ม่านหยี่ชี้มือไปยังพุ่มดอกแก้วบริเวณหน้าบ้าน ก่อนหน้านี้เขาเห็นเหมือนมีคนแอบอยู่ตรงนั้น แต่แล้วรามก็ออกมาและเราสองคนก็คุยกัน ม่านหยี่เลยไม่ได้สังเกตมันอีก จนกระทั่งตอนนี้
แคกๆๆๆ
ร่างบางสะดุ้งโหยงเมื่อพุ่มไม้ด้านหลังของเขาสั่นอย่างรุนแรง ไม่เพียงเท่านั้นพุ่มดอกแก้วสีขาวที่วางตัวกันเป็แนวยาวยังยืนต้นสั่นอย่างรุนแรงไปทั้งแนวรั้ว เสียงนกร้องะโก้องออกมาจากแนวหน้าผาสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังของตัวบ้าน เขาไม่รู้ว่าเพราะผาสูงชันนั่นมันใหญ่โตจนบดบังแสงสว่างของดวงอาทิตย์หรือเพราะบรรยากาศวันนี้มันดูวังเวงด้วยตัวของมันเอง
“ราม!” ม่านหยี่เผลอเรียกชื่อคนรักที่กำลังเดินไปอีกทาง ร่างสูงหันขวับกลับมาพบว่าม่านหน้าถอดสีและยืนตัวสั่น ปกติม่านหยี่ไม่ค่อยกลัวอะไรนอกจาก
“งู!” รามสูรโพล่งหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าม่านหยี่กำลังทำสีหน้าอย่างไร ปกติแล้วม่านไม่ค่อยกลัวอะไรนอกจากงู ฉะนั้นจินตนาการของคนกลัวงูก็จะคิดว่าทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นมันเป็เพราะงูตัวใหญ่เลื้อยผ่าน
“ไม่หรอกม่าน” รามสูรที่ยืนอยู่ห่างออกไปทำสีหน้าขบขันที่ซึ่งม่านไม่เข้าใจ มันใช่เื่น่าตลกที่ไหนกัน
“แล้วมันอะไรล่ะ” ขายาวสองข้างก้าวเดินไม่ออก มือเรียวแข็งตรึงจับสายยางรดน้ำต้นไม้เอาไว้อย่างนั้นไม่ปล่อย เพราะเขา้าหาที่ยึดเหนี่ยวถึงแม้มันจะมีลักษณะเหมือน ‘งู’ ที่กลัวอยู่ก็ตาม
“ฮึ่ยยย!!!” ม่านหยี่โยนสายยางทิ้งให้ห่างออกไปจากตัว จากนั้นก็วิ่งแจ้นเข้าไปอยู่ข้าง ๆ รามสูร จินตนาการว่าถ้าหากงูใหญ่พุ่งออกมาจากพุ่มไม้รามต้องช่วยเขาได้แน่ ๆ หรือไม่ก็เป็รามนี่แหละที่ทำให้กลัวยิ่งกว่าเดิม
“คิกๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ” หนึ่งคนกลัวหนึ่งคนขำยืนหันรีหันขวางเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาจากพุ่มไม้
“งูสายพันธุ์ใหม่หัวเราะได้เหรอ”
“ไม่ต้องมาพูดเลย” ม่านหยี่ตีแขนคนรักดังพั้ว! ต้นเหตุเพราะล้อเขา
“ฮ่าๆๆ”
“ถ้าเป็ผีนะจะขำให้ฟันร่วง”
“เอ้า! พอไม่ใช่งูก็ขอให้เป็ผีเลย” รามสูรส่ายหน้าเพราะม่านหยี่เข้าใจว่าเขากลัวผีมาั้แ่ปีหนึ่งจนกระทั่งตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วหน้าอย่างไอ้รามมันไม่เคยกลัวอะไร ทุกอย่างที่เคยยกมาอ้างว่ากลัวก็เพราะอยากไปไหนมาไหนกับม่านหยี่เพียงเท่านั้น
“คิกๆๆๆ” เสียงหัวเราะแล่นไปตามริ้วของทิวไม้ พุ่มดอกแก้วสั่นรุนแรงจนกระทั่งดอกสีขาวของมันร่วงหล่นลงพื้น เสียงหัวเราะคิกคักนั่นดังเข้าใกล้พวกเขาเรื่อย ๆ
“เฮ้ยยย!!!”//“เฮ้ยยย!!!”
เกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นเมื่อมี ‘เด็กน้อย’ คนหนึ่งวิ่งปราดออกมาอย่างเร็วรี่ รามสูรที่อยู่ใกล้กว่าเขาทันได้คว้าเอาคอเสื้อของเด็กคนนั้นเอาไว้ เสื้อบอลสีแดงถูกดึงยืดจนมันแทบจะหลุดออกจากตัว ผีเด็กคนนั้นดิ้นขลุกขลักและหัวเราะเสียงดังอยู่ในอ้อมแขนของรามสูร
“ฮ่าๆๆๆๆ”
“ไอ้เข้ม ไอ้เด็กผี!”
เด็กผีที่ชื่อเข้มดูท่าจะสะใจมากที่ได้แกล้งนายหัวรามสูร เด็กน้อยหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งและทรุดตัวลงไปนั่งกองกับพื้นพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดที่รัดแน่นของนายหัว
“นาย ฮ่าๆๆๆๆ”
“นี่! แกล้งดีนักอยากเป็ผีรึไง!” รามสูรดีดหน้าผากเด็กน้อยเสียงดัง เด็กเข้มยังคงนั่งหัวเราะไม่หยุด มือสองข้างกุมหน้าผากของตนเองเอาไว้คาดว่าคงเจ็บไม่น้อย
“นายปล่อยผม ฮ่าๆๆๆ”
“ขอโทษก่อน”
“ขอโทษ!”
“ไม่ใช่ขอโทษอย่างนั้น ขอโทษครับก่อน”
“ขอโทษครับ” เด็กน้อยนั่งขัดสมาธิกับพื้นพร้อมกับยกมือสองข้างขึ้นมาไหว้ขอโทษนายหัวรามสูร
“ขอโทษครับพี่ม่าน”
“ขอโทษครับพี่ม่าน”
รามสูรเหมือนพ่อตัวโตที่บังคับให้ลูกต้องขอโทษเขาเวลาทำผิด แบบนี้ก็ดูตลกดีเหมือนกัน แต่เมื่อครู่เขาตลกไม่ออกเลยล่ะ
“พ่อไปไหน”
“ไปท้ายเกาะ”
“ไหนคำว่าครับ”
“ครับ”
“พูดดี ๆ” ร่างสูงย่อกายแกร่งนั่งลงข้าง ๆ เด็กน้อย มือหนายกขึ้นลูบเบา ๆ ไปยังหัวเกรียนของเด็กน้อย
“ไปท้ายเกาะครับนายหัว”
“เอออย่างนั้น” ที่ใกล้เคียงที่สุดที่เขาพอจะจินตนาการได้ รามสูรในเวอร์ชันเป็พ่อคนคงจะให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้
เขาไม่เคยคิดเื่ลูกเลยจนกระทั่งได้รู้ว่าถ้ารามได้มีโอกาสเป็พ่อคนจะดีขนาดไหน
และเขาเองคงให้โอกาสนั้นกับรามสูรไม่ได้...
“หิวมั้ย กินอะไรมารึยัง”
“หิว...ครับ”
“ไปในครัวไป” เด็กน้อยะโลุกขึ้นปัดตูดเปื้อนฝุ่นของตนเองเสียงดังตุบตับก่อนที่จะวิ่งปรู๊ดออกไป
“ลูกน้องเหรอ”
“ใช่ลูกน้อง สงสัยวันนี้โรงเรียนหยุด ปกติเดอะแก๊งมีเป็สิบเลยนะ แต่น่าจะเช้าอยู่เลยน่าจะยังไม่ตื่นกัน”
“...”
“ลูกพี่พลน่ะ ชื่อเข้ม แม่ออกจากเกาะไปเมื่อหลายปีก่อน”
“ทำไมล่ะ”
“มีแฟนใหม่น่ะ” รามทำสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ นั่นทำให้ม่านเข้าใจได้ทันทีว่าแม่ของเข้มออกจากเกาะไปกับคนรักคนใหม่
“ไปดูอู่ต่อเรือกันมั้ย”
“อืม...ไปสิ” ม่านหยี่ควรจะเลิกสงสัยในความร่ำรวยของรามสูรได้แล้ว แต่เขายังไม่สามารถทำใจให้ชินได้เลยเมื่อรับรู้ว่ารามมีกิจการต่าง ๆ อีกมากมาย ไม่ใช่แค่เพียงโรงแรมหรูห้าดาวบนฝั่งและบนเกาะ ฟาร์มไข่มุกกลางทะเล และธุรกิจท่องเที่ยว
วันนี้บนโต๊ะอาหารเช้าออกจะแปลกตาไปหน่อยเมื่อผู้ร่วมรับประทานอาหารประกอบไปด้วยรามสูร ม่านหยี่ อัสนี และยังมีลูกคนงานอย่างเข้มที่นั่งกินหมูทอดอย่างเอร็ดอร่อยอยู่
“กินดี ๆ อย่าทำเลอะ”
“ครับนายหัว” เด็กเข้มรับคำสั่งนายหัวอัสนีและปฏิบัติตามโดยทันที อาการเชื่อฟังอย่างง่ายดายโดยไม่ต่อล้อต่อเถียงหรือเล่นตัวอย่างนั้นทำให้ม่านหยี่ใอยู่ไม่น้อย ราวกับไม่ใช่เข้มคนเมื่อเช้าที่แกล้งเขากับราม
“มันกลัวไอ้อัส เคยโดนดุน่ะ” รามสูรเห็นคนรักทำหน้าตาเหลือจะเชื่อก็แอบขำอยู่ในใจก่อนที่จะอธิบายให้ม่านฟัง
ม่านหยี่พยักหน้ารับ ก็พอเข้าใจได้ที่เด็กเข้มกลัวพี่อัส ขนาดเขาไม่เคยโดนดุก็ยังกลัวเลย
อู่ต่อเรือของชัยพิพัฒน์กรุ๊ปมีอยู่สองที่คือบนฝั่งและบนเกาะ โรงเรือนขนาดใหญ่สามหลังตั้งเรียงกันอยู่บริเวณริมหาดทรายใกล้ตีนเขา อาศัยร่มเงาของแนวต้นไม้ใหญ่เป็ที่หลบแดดและที่วางแคร่ไม้สำหรับให้คนงานพักผ่อนหย่อนใจและสังสรรค์ในตอนเย็น ถัดไปจากนั้นไม่เท่าไหร่ก็เป็เขตป่าชายเลนที่มีไม้ยืนต้นสูงหยั่งรากลึกลงไปยังโคลนเลน
“อันนี้อู่ใหญ่เอาไว้ต่อเรือกับซ่อมเรือ ส่วนอู่บนฝั่งเอาไว้ซ่อมเรือ”
“อ๋อ”
“ปกติต่อเรือขายตามออร์เดอร์ คนงานเลยไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ฝีมือทั้งนั้นนะ จริง ๆ แล้วมันจะไม่มีอู่ตรงนี้หรอก แต่แม่รามให้ทำเป็อู่เพราะชาวบ้านจะได้มีอาชีพ”
บางทีมารดาของรามสูรอาจไม่ได้ใจั์ใจมารอย่างที่เขาคิด...หรือเปล่านะ
รามจอดรถ ATV เอาไว้ที่ลานกว้างในหมู่บ้านก่อนที่จะพาม่านเดินตามถนนสายเล็ก ๆ ซึ่งปูลาดเป็ทางยาวลงไปบนหาด เขาเห็นเพียงแค่หลังคาโรงเรือนที่ตั้งอยู่ถัดจากหมู่บ้านไป ทว่าก่อนที่สองคนจะเดินไปถึงโรงเรือนก็ต้องสะดุดตากับกลุ่มคนสองสามคนที่กำลังยืนคุยธุระกันอยู่ในบ้านของชาวบ้าน เสียงเห่าดังของสุนัขสามตัวดังระงมไปทั่วทั้งซอยแคบ
“เกิดอะไรขึ้น มีอะไรกัน ราม!!!” ม่านหยี่ไม่ทันคว้าแขนของคนรักเอาไว้ รามสูรเดินดุ่ม ๆ เข้าไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเกรงใจเ้าของบ้าน หรือเพราะความโกรธเกลียดมันสุมขึ้นมาในอกจนทำให้ลืมเลือนเื่นั้นไปแล้ว ม่านยืนมองคนรักก้าวอาด ๆ เข้าไปจนเกือบจะประชิดถึงตัวของแขกไม่ได้รับเชิญแล้ว แทนที่แขกคนนั้นจะตื่นกลัวหรือใการกระทำที่ดูเหมือนคุกคามนั่น ผู้ชายคนนั้นยังหันกลับมามองรามสูรอย่างยิ้ม ๆ และไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่รอยยิ้มเย็นนั่นมาให้คนเป็ลูกอย่างม่านหยี่ด้วย
“พ่อ!” กลัวเหลือเกินว่าเสียงอุทานเพียงแ่เบาของตนเองจะดังจนรามสูรได้ยินเข้า สองขาของเขาก้าวเดินไม่ออก มันนิ่งงัน และตรึงตัวเขาเอาไว้กับที่ ความกลัวแล่นพล่านจากสมองไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ม่านหยี่หวาดกลัวบิดาขึ้นสมอง กลัวจนเกือบลืมไปว่าตอนนี้เขามีรามสูรคุ้มครองอยู่และเขากับนายหัวศิลาผู้เป็พ่อไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“ราม! รามสูร อย่า!” ม่านรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อรามสูรโกรธจนเืขึ้นหน้า มือแกร่งข้างหนึ่งกำแน่นเข้าหากัน ร่างสูงเงื้อหมัดขึ้นในขณะที่เดินเข้าไปจนเกือบประชิดตัวนายหัวศิลาแล้ว ทว่าก่อนที่จะได้ซัดหมัดใส่อดีตเพื่อนรักของพ่อกับแม่ รามสูรก็โดนลูกน้องของนายหัวศิลาผลักหน้าอกออกไปให้ห่างจากผู้เป็นายเสียก่อน รามสูรเซถอยหลังห่างออกมา เขาตั้งท่าว่าจะซัดมันให้ได้แต่กลับโดนแรงดึงของม่านหยี่รั้งเอาไว้เสียก่อน
“ปล่อยเราม่าน เราจะเอาเืปากมันออก”
“รามอย่า!” ม่านหยี่ทั้งฉุดทั้งดึงคนรักเอาไว้ ถึงแม้ว่าส่วนสูงของเขาและรามสูรจะใกล้เคียงกันแต่พละกำลังและกล้ามเนื้อมันคนละเื่เลย รามสูรแข็งแรง บึกบึน แรงเยอะเสียจนเขาต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีรั้งเอาไว้ไม่ให้รามพุ่งตัวเข้าไปหาเื่นายหัวศิลาได้
“มึงไม่สมควรอยู่ที่นี่! ออกไป!” รามสูรไม่ค่อยแสดงอารมณ์ด้านไม่ดีให้เขาเห็นสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แล้วรามจะเป็เหมือนหมาตัวโตใจดีที่ชอบเล่นหยอกล้อและทำให้ม่านหยี่หัวเราะไปวัน ๆ ไม่ใช่รามสูรที่ใจร้อน อารมณ์ร้อนและหยาบคายแบบนี้
“อาก็แค่มาเยี่ยมกิจการงานของลูกหลานและเพื่อนเก่าเท่านั้น ไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้ไม่ใจดำไปหรือยังไงราม”
“ใครลูกหลานมึง!” ดูเหมือนว่าสติของรามสูรได้ขาดผึงไปแล้ว!
“รามอย่า”
“กูชอบนะ เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแบบมึง เหมือนเห็นตัวเองตอนยังหนุ่ม” ั์ตาสีน้ำหมึกฉับพลันฉายแววความพิโรธ มันทอวับเพียงเสี้ยววินาที อาจมีเพียงม่านหยี่เท่านั้นที่ทันได้เห็นมัน
“โง่เง่า บ้าดีเดือด และก็ชอบความทรมานเป็ชีวิตจิตใจ”
“ไม่มีใครเป็โรคจิตแบบมึงหรอก”
“หึๆๆ เดี๋ยวมึงก็ได้รู้ราม เดี๋ยวมึงจะได้เห็นนรกที่มึงเลือกเอง”
คำว่านรกที่เลือกเองนั้นมันทำให้ม่านหยี่หวาดกลัว นรกที่รามสูรเลือกคือเขา...
“มึงออกไปจากที่นี่ก่อนที่กูจะฆ่ามึง”
“เฮ้ย! แค่เพราะแม่มึงกับกูไม่ถูกกัน ถึงขั้นขู่ฆ่ากูเลยเหรอ ให้เกียรติกูหน่อยสิหลานรัก อย่างน้อยกูก็เคยเป็เพื่อนพ่อกับแม่มึง ทำแบบนี้มันเกินไปหน่อยนะว่ามั้ย?” ลูกน้องสองคนของนายหัวศิลาเอียงคอไปมาพร้อมกับหักนิ้วมือทั้งสองข้างของตนเองเสียงดังกรอบแกรบ แสดงอาการข่มขู่เพื่อเตือนรามสูรว่าพวกมันพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ
“กูแค่มาคุยธุระของกู คุยเสร็จก็จะไป แค่นั้นเอง ไม่เห็นต้องเป็เื่ราวใหญ่โตอะไรเลย...ใช่มั้ย?” วลีสุดท้ายนั้นนายหัวศิลาหันไปคุยกับชาวบ้านที่นั่งตัวสั่นเทิ้มอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ ชายแก่คนนั้นทำได้เพียงส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากรามสูรและม่านหยี่ผ่านทางแววตาเท่านั้น
“มึงไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่ ที่มึงทำได้คือไสหัวออกไปซะ!”
“ใครห้ามกู ไหน? ใครหน้าไหนมันห้ามกูได้!” นายหัวศิลาวาดแขนสองข้างออกกว้าง ทำราวกับว่าเขาไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น
“มึงเหรอ? หรือว่าคนของมึง แม่มึง พี่ชายมึง หรือใคร? หรือมึงจะไปปลุกพ่อมึงขึ้นมาจากหลุมแล้วมาห้ามกู” น้ำเสียงเหยียดหยามเ่าั้ฉุดกระชากให้รามสูรพุ่งตัวเข้าหานายหัวศิลาอีกรอบ ลูกน้องร่างใหญ่ของอีกฝ่ายเสือกตัวเข้ามากันเ้านายเอาไว้ได้ทัน
“รามอย่า!” ม่านหยี่ส่ายหน้าทั้งยังพูดได้แต่คำซ้ำ ๆ เดิม ๆ ด้วยเพราะเขาเองหวาดกลัวเกินกว่าจะให้ความช่วยเหลือในศึกครั้งนี้ได้
“บางทีมึงควรจะเชื่อคำคนของมึงนะรามสูร อย่าทำอะไรโง่ ๆ อย่างที่แฟนมึงบอก” ไม่ทันมีใครฉุกคิดว่านายหัวศิลารู้ได้อย่างไรว่าม่านหยี่เป็คนรักของรามสูร เรียวคิ้วของรามขมวดมุ่นเข้าหากัน ชายหนุ่มกัดฟันเข้าหากันแน่นจนทำให้สันกรามคมเด่นชัดขึ้นมา เขาไม่ได้ถามชายแก่ตรงหน้าว่ารู้เื่ความสัมพันธ์ของเขากับม่านหยี่ได้อย่างไร
“สติราม มีสติให้มาก มึงก็ด้วย ทำอะไรหัดคิดเยอะ ๆ ที่ทำอยู่ตอนนี้น่ะดีแล้ว” จิ้งจอกเฒ่ายิ้มเย็นให้เขาและรามสูร ใบหน้าเ้าเล่ห์นั้นอาบเคลือบไปด้วยยาพิษและรอยยิ้มแห่งความพอใจในชัยชนะครั้งนี้ ม่านรู้ดีว่าประโยคหลังพ่อ้าที่จะเน้นย้ำกับเขา
“อย่าพูดกับคนของกู!” รามสูรดูน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวเมื่อนายหัวศิลาเดินเข้ามาเฉียดใกล้กับม่านหยี่และพูดกับเขา
“ทำไมกูจะพูดไม่ได้ ถ้าไม่อยากให้กูพูดกับมันมึงก็ขังมันเอาไว้อย่าให้เห็นเดือนเห็นตะวันสิ! ทำได้มั้ย! ฮ่าๆๆๆ” ชายแก่หัวเราะสะใจก่อนที่จะเดินชนไหล่ของม่านหยี่ออกไป รามทำท่าจะตามไปเอาเื่จนถึงที่สุด แต่ม่านกลับรั้งแขนคนรักเอาไว้พร้อมกับส่ายหน้า เขาไม่อยากให้เื่มันใหญ่โตไปมากกว่านี้ เพราะแค่การที่ได้พบบิดาบนเกาะของรามนั่นก็ทำให้เขาหวาดกลัวมากพอแล้ว
“ปล่อยเขาไปเถอะ”
“ม่าน”
“เถอะนะราม อย่าเลย” รามสูรฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้ายอมรับ สองคนจ้องมองชายแก่เ้าเล่ห์และลูกน้องเดินหายลับออกไปจากถนนสายเล็ก ๆ
“ลุงแก้วไม่เป็ไรใช่มั้ย” ดูเหมือนว่ารามสูรรู้จักกับชายแก่เ้าของบ้านหลังนี้ ร่างสูงทรุดกายลงนั่งที่แคร่ไม้เพื่อพูดคุยถามไถ่ถึงเื่ราวความเป็มาทั้งหมด ม่านฟังสำเนียงของคนใต้ไม่ออก ได้แต่จับประโยคภาษากลางที่รามสูรใช้สนทนา รามสูรพูดคุยกับลุงแก้วอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะขอตัวไปยังอู่ต่อเรือ
“กลับมั้ยม่าน ไหวรึเปล่า” สีหน้าของม่านหยี่ตอนนี้ไม่สู้ดีนัก ริมฝีปากสีชาดขบเม้มเข้าหากัน มือเรียวสองข้างประกบกำแน่นจนเห็นเส้นเืและกระดูกที่ปูดโปนออกมา ดวงหน้าหวานไร้สีเืและ่ขายาวของม่านหยี่ก็กระดิกสั่นอย่างที่ม่านชอบทำเวลาตื่นเต้นหรือหวาดกลัว
“ม่าน...ม่าน”
“ฮะ?!”
“รามเรียกม่านไม่ได้ยินรามเหรอ ม่านโอเครึเปล่า”
ม่านรู้สึกหวาดกลัวบิดา ความกลัวนั้นมันไม่หายไปถึงแม้ว่าบิดาจะจากไปแล้ว เขายังกลัวสีหน้า แววตา น้ำเสียง และฝ่ามือหนา เขาจำััเ็ปของมันได้ ความทรงจำโหดร้ายทารุณที่อยู่ภายใต้ก้นบึ้งของจิตใจถูกกวนให้ขุ่นและหวนคืนแก่ผู้เป็เ้าของมันอีกครั้ง
“กลับกันเถอะ เรา...เราร้อนยังไงไม่รู้ เหมือนจะไม่สบาย” ม่านหยี่เลือกที่จะโกหกออกไป ไม่รู้ว่าคนรักจะเชื่อคำโกหกนั้นหรือไม่แต่เขาก็ไม่อยากบอกเล่าถึงความผิดปกตินี้ให้รามฟัง เขาไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำที่เ็ปของตนเองขึ้นมาอีกแล้ว...
“ครับ กลับกันเถอะ”