ใบหน้าเล็กส่งยิ้มอ้อน ราวกับว่าการที่ได้เอาผ้าห่มไปคลุมบนร่างของพี่สาวนั้น นางจะได้รับความสุขกลับมามากมายอย่างไรอย่างนั้น
มองผ้าห่มที่มีรูแล้วเฉินเนี้ยนหรานก็ถอนหายใจ พยายามใช้มันห่มเด็กทั้งสองคนไว้ “พวกเ้ามาห่มด้วยกันเถิด เบียดเข้ามาจะได้ไม่หนาว”
เด็กหญิงหัวเราะแหะๆ กอดคอเธอด้วยท่าทางออดอ้อน “ท่านพี่ มีท่านนี่ดีจริงๆ เลย”
น้องห้าเห็นท่าทางแนบชิดของทั้งสองคนก็กลอกตา สุดท้ายก็ตามมาเบียดด้วย “ท่านพี่ข้าเองก็อยากจะเบียดกับท่านด้วย”
ดวงตากลมโตสดใสคู่นั้นมองมาที่ตน มันสะท้อนอาการขอร้องอ้อนวอนออกมา ออดอ้อนจนทำให้ใจของเฉินเนี้ยนหรานอ่อนยวบไปหมด มือทั้งสองข้างของเธอยื่นไปโอบเด็กน้อยเอาไว้ “ได้สิ เบียดกันให้หมดนี่แหละ”
“ท่านพี่…” หลังจากน้องห้าเบียดเข้ามาแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้า
เฉินเนี้ยนหรานลูบหัวของนาง “มีอะไรอยากจะพูดก็พูดมาเถิด” ฟ้ายิ่งมืดขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของน้องห้าในตอนกลางคืนสว่างสดใสจนเธอปวดใจ
“ท่านพี่ คุณชายสกุลโจว…เป็ชายที่เหมือนกับเทพเซียนจริงๆ หรือเ้าคะ?”
เฉินเนี้ยนหรานชะงักไป คิดไม่ถึงว่าน้องสาวของตัวเองจะถามคำถามนี้
“ท่านพี่ ท่านอย่าเข้าใจผิดนะ ข้าได้ยินป้าหลิวข้างบ้านพูดมา นางบอกว่าคุณชายสกุลโจวหน้าตาเหมือนเทพเซียนเลย”
คิ้วของเฉินเนี้ยนหรานขมวดเข้าหากันแน่น จะต้องรู้ว่าเื่ที่นางไปเป็หญิงอุ่นเตียงของสกุลโจว มีเพียงท่านพ่อท่านแม่เท่านั้นที่รู้ ทำไมคนอื่นถึงเอ่ยถามออกมาได้?
“น้องห้า ทำไมเ้าถึงอยากถามถึงคุณชายสกุลโจวเล่า?”
น้องห้าก้มหน้าลง ซุกเข้าไปในอ้อมกอดของพี่สาวอย่างรู้สึกผิด “ท่านแม่บอกว่า ท่านพี่ไปเป็สาวใช้ที่จวนสกุลโจว ป้าหลิวเองก็เลยรู้ จากนั้นนางก็บอกว่าจวนสกุลโจวมีคุณชายห้าที่หน้าตาเหมือนเทพเซียน ข้าก็คิดมาตลอดว่าชายที่หน้าตาเหมือนเทพเซียนนั่นจะเป็อย่างไร!”
ได้ยินน้องสาวพูดแบบนี้ เฉินเนี้ยนหรานก็พอจะเข้าใจแล้ว เื่ที่ตนเองไปเป็หญิงอุ่นเรือนยังไม่ได้ถูกเผยแพร่ไป คิดไปแล้วครอบครัวนางก็กังวลเื่หน้าตาในสังคมอยู่เหมือนกัน ที่น้องสาวแปลกใจก็เป็เพราะได้ยินถึงความหล่อของโจวอ้าวเสวียน
ในห้วงความคิดปรากฏภาพใบหน้าหล่อเหลาลอยขึ้นมา ทั้งๆ ที่ยังมีความเป็หนุ่มน้อย ใบหน้ายังไม่โตเต็มวัยอย่างคนหนุ่ม แต่ก็มักจะทำหน้าตึง ตอนที่อยู่ต่อหน้าเธอก็จะทำท่าทางเคร่งขรึม ทว่าบางครั้งกลับหลุดทำท่าทางน่ารัก ออดอ้อน..
คิดถึงตรงนี้ริมฝีปากของเฉินเนี้ยนหรานก็ยกขึ้น รอยยิ้มนี้ทำให้น้องห้าที่มองอยู่ถึงกับมองเหม่อ “ท่านพี่ ท่านยิ้มแล้วงดงามจริงๆ ”
เมื่อรู้ว่าตัวเองสติหลุดไปแล้ว เฉินเนี้ยนหรานรีบลูบหัวน้องสาว “เด็กดี นอนกันเถิด”
----------------------------------
จวนสกุลโจว
“คุณชาย ที่ข้าไปสอบถามมาได้ความมาดังนี้ขอรับ”
“ออกไปได้”
ประตูค่อยๆ ปิด ชายหนุ่มวางหนังสือในมือลง ก่อนจะเอื้อมหยิบดอกไม้ออกมาหนึ่งดอกแล้วยกยิ้ม
“ไม่รู้ว่าเ้าจะเผชิญหน้ากับคนชั่วร้ายมากมายแบบนั้นได้อย่างไร ทว่าความจริงแล้วเ้าสามารถมาหาข้าได้ที่นี่…”
ดอกไม้ดอกนั้นไม่ค่อยสวยเท่าไร กลับกันยังถือว่าเป็ดอกที่ค่อนข้างโรยราแล้ว
แต่ชายหนุ่มมองแล้ว กลับรู้สึกว่ามันงดงามมากที่สุด
ภาพรอยยิ้มของเด็กสาวคนนั้นปรากฏขึ้นมาในห้วงคำนึง ริมฝีปากของเขาค่อยๆ ยกขึ้น
“ข้ารอเ้ามาขอความช่วยเหลือจากข้าอยู่นะ!”
-----------------------
หนิงต้าหราน [1] ที่นอนอยู่บนเตียง จะนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ
นางพลิกตัวไปมาอยู่นาน จนทำให้ชายที่อยู่ข้างตัวตื่นขึ้นมา
“ทำไมแม่ถึงยังไม่นอนอีก?”
นางเอื้อมมือหยิกชายข้างตัวด้วยความหงุดหงิด “นอนๆๆ วันๆ รู้จักแต่กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน ไม่ได้คิดเลยว่าครอบครัวลำบาก จะไม่มีข้าวกินกันอยู่แล้ว”
เฉินจื่อทงเองก็ทำหน้ามุ่ย “เมียคนนี้นี่ เ้าพูดอะไรน่ะ วันๆ ข้าเองก็ทำงานนะ วางใจเถิด ครอบครัวเราจะต้องมีเงิน ลูกชายของเราฉลาดขนาดนั้น ขนาดท่านอาจารย์ยังชมเขาเลย ต่อไปจะต้องมีหน้ามีตาแน่ เราจะไม่มีเงินกันได้อย่างไร”
หนิงต้าหรานชอบฟังคำพูดนี้มากที่สุด นางจึงพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี “แน่สิ ลูกชายของเราต้องดีที่สุดอยู่แล้ว เพียงแต่ใกล้จะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแล้ว หากยังไม่จ่ายเงินเกรงว่าท่านอาจารย์จะไม่รับสอนต่อน่ะสิ เ้าดูสิ ในบ้านแม้แต่ข้าวก็ยังไม่มีจะกินแล้ว ลูกสาวสองคนที่แต่งออกไปก็ไม่ได้เงินกลับมา โดยเฉพาะนังลูกคนโตนั่น หลังจากแต่งออกไปก็ไม่กลับมาที่เรือนอีกเลย พอพวกเราไม่มีจะกินแล้วไปหา แต่นางกลับดึงหน้าตะคอกไล่กลับมาเสียได้ เฮ้อ ลูกสาวแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน?”
หากลูกสาวคนโตอยู่ที่นี่จะต้องพูดกลับมาแน่ว่า แล้วมีพ่อแม่แบบพวกเ้าที่ไหนกันล่ะ ไม่พูดถึงตอนฝ่ายชายเอาค่าสินสอดอันน้อยนิดมาแต่งข้าออกไปนะ ของชำร่วยยังเป็เตียงมือสองกับผ้าห่มขาดๆ เพราะเื่นี้ข้าจึงถูกคนในหมู่บ้านหัวเราะเยาะ พวกเ้าทำกับข้าแบบนี้ แล้วทำไมข้าจะต้องเอาของในบ้านสามีไปให้บ้านเ้าด้วย?!
“พอแล้ว เ้าไม่ต้องไปคิดถึงลูกสาวคนโตนั่นแล้ว สามีนางก็ใช่ว่าจะเป็คนที่จะไปมาหาสู่กันได้ง่ายๆ กลับเป็ลูกสี่ของเราตอนนี้สิ ไปอยู่ที่จวนสกุลโจวมาหนึ่งปี ทางนั้นเลี้ยงดูนางอย่างดีจนไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ เ้าว่าพวกเราก็มีลูกที่ดีนะ เกิดลูกสาวมาก็ไม่ได้แย่อะไร แถมยังมีลูกสี่ที่สวยขนาดนี้ แม่ยังต้องกังวลว่าจะไม่มีเงินอีกหรือ ยายเฒ่าสวี่ก็บอกแล้วว่าจะให้เงินมากถึงยี่สิบก้วนเชียวนะ ยี่สิบก้วนเอาไปจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกชายได้ตั้งหลายปี”
พอพูดถึงเื่เฉินเนี้ยนหราน หนิงต้าหรานก็ตื่นเต้นขึ้นมา
ความจริงแล้วเงินยี่สิบก้วนนางก็อยากได้จนคอเกร็งไปหมด
“ข้าเองก็อยากจะปรึกษากับเ้าเื่นี้เหมือนกัน วันนี้ก่อนที่พวกเราจะกลับมา ยายเฒ่าสวี่ได้ส่งจดหมายมา บอกให้พวกเรารีบเอานางไปให้ ไม่เช่นนั้นจะพลาดเรือรอบนี้ กว่านางจะรับซื้ออีกก็ต้องเป็ปีหน้าถึงจะได้ พ่อว่า พรุ่งนี้พวกเราไปพูดโน้มน้าวลูกสี่อีกสักรอบไหม หากนางไม่ยอมจริงๆ…คืนพรุ่งนี้พวกเรา…”
พูดถึงตอนนี้นางก็กดเสียงซุบซิบกับชายกลางคน
“ได้ ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเราก็ต้องส่งคนไปให้ยายเฒ่าสวี่จัดการไปให้ได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเด็กหญิงคนหนึ่งจะสามารถขัดขืนพวกยายเฒ่าสวี่ได้”
เฉินเนี้ยนหรานยังไม่รู้ว่าในคืนนั้น บิดามารดาใจร้ายของตนได้ตัดสินใจแล้วว่าหากใช้ไม้อ่อนไม่ได้ ก็จะใช้ไม้แข็งพูดโน้มน้าวให้นางขึ้นเรือไปให้ได้…
---------------------------------
“ไม่มีอะไรจะพูดเ้าค่ะ ข้าไม่มีทางขายตัวไปเป็สาวใช้อีกแล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่ อย่างไรข้าก็เป็ลูกสาวของพวกท่านนะ พวกท่านขายข้าไปแล้วครั้งหนึ่งยังไม่พอ ยังจะมีรอบสองอีกหรือ? เงินยี่สิบก้วนทำพวกท่านตาบอดไปแล้วหรือเ้าคะ? วันนี้ไม่ว่าพวกท่านจะพูดอย่างไร ข้าก็ไม่มีทางทำตามความ้าของพวกท่านอีก หากอยากจะเป็สาวใช้นัก ท่านแม่ก็ไปเป็เองเถิด หากไม่ได้จริงๆ ท่านถือว่าข้าเป็ลูกที่ไม่รักดีก็ได้เ้าค่ะ”
เฉินเนี้ยนหรานยิ้มเย็นแล้วพูดความคิดของตัวเองออกมา มองใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวของคู่สามีภรรยาตรงหน้าอย่างเ็า ั้แ่หลังจากอาหารเช้าของวันนี้ หนิงต้าหรานก็เอาแต่พูดโน้มน้าว ให้เธอทำเพื่อครอบครัวไว้ก่อน ให้คิดถึงการเรียนของน้องชายเป็หลัก…ความหมายก็คือให้เธอยินยอมไปเป็สาวใช้ในเมืองเสีย
“เ้า เ้าลูกไม่รักดี! ์! เ้าช่างอกตัญญูจริงๆ ข้าคลอดลูกอกตัญญูแบบเ้าออกมาได้อย่างไร!” เมื่อเห็นว่าใช้ไม้อ่อนไม่ได้แล้ว หนิงต้าหรานก็เริ่มโวยวายออกมา
เฉินจื่อทงกวาดตามองลูกสาวตัวเองด้วยสายตาเ็า เอามือตบโต๊ะ “เหล่าต้า เหล่าเอ้อร์ พวกเ้าเข้ามาจับนางเอาไว้ ตอนนี้ยังไม่แต่งงานออกไป พ่อแม่พูดอะไรก็ต้องเป็เช่นนั้น…ถุย แก นังลูกชั่ว…”
พอพูดจบ ประตูที่เดิมทีปิดสนิทก็มีลูกชายพุ่งเข้ามา ทั้งสองคนจับเฉินเนี้ยนหรานที่กำลังจะวิ่งหนีไป
“น้องสาว เ้าจะโกรธพวกเราไม่ได้หรอกนะ หากเ้าไม่เห็นด้วยก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเราเองก็ต้องจ่ายเงิน เฮ้อ หากเ้าจะโกรธก็ไปโกรธที่เ้าเกิดมาในครอบครัวยากจนแล้วกัน” เฉินเอ้อร์ถอนหายใจ จับตัวน้องสาวของตัวเองไปแล้วโน้มน้าวไป
เฉินเนี้ยนหรานขัดขืนอยู่ครู่หนึ่งและไม่ขยับตัวมั่วซั่วอีก ทำได้เพียงแต่มองคนพวกนี้ด้วยสายตาเ็า
ตอนนี้ที่พึ่งของเธอ ขอเพียงน้องสาวของเธอฉลาดสักหน่อย ไปเรียกป้าสะใภ้ใหญ่ของตัวเองมาตามที่ตกลงกันไว้ เพราะวันนี้ตอนตื่นนอนตอนเช้าเธอได้กำชับน้องหกเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว หากว่าเห็นเธอมีอะไรผิดปกติจะต้องไปเรียกป้าสะใภ้มา…
“ท่านแม่ ข้าเป็ลูกของท่านจริงหรือ? ท่านขายข้าครั้งแล้วครั้งเล่า จิตใจของท่านทำด้วยอะไร? ั้แ่เล็กจนโตข้าลำบากเหนื่อยยากก็เพื่อแบ่งเบาภาระของท่าน ตอนนั้นท่านบอกว่าให้ข้าทำเพื่อการเรียนของน้องชาย ข้าก็ทำตามอย่างไม่โต้แย้ง ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตอนนั้นก็ได้เงินมาถึงยี่สิบก้วน ท่านไปสู่ขอพี่สะใภ้รอง จ่ายค่าเล่าเรียนให้น้องชาย เช่นนั้นเงินนั้นก็ควรจะยังเหลืออยู่ เหตุใดตอนนี้ถึงได้พูดว่าครอบครัวเราไม่มีอะไรกิน? อีกอย่าง น้องเล็กเรียนหนังสือ แล้วทำให้คนทั้งบ้านต้องลำบาก ใจของท่านทนได้อย่างไร? พวกเราไม่มีเงินตรงนี้ เช่นนั้นทำไมจะต้องให้น้องชายไปเรียนด้วย?”
คำถามแกมตำหนินี้ดูเหมือนกำลังถามหนิงต้าหราน ความจริงแล้วกำลังพูดให้พี่ชายหน้าโง่ฉลาดขึ้นมาบ้างต่างหาก หากบ้านหลังนี้ยังยึดถือหลักแบบนี้อยู่ ไม่ช้าก็เร็วก็คงถึงคราวพวกเขา
ตาของเหล่าเอ้อร์วาวขึ้น กำหมัดแน่น เชือกที่มัดเฉินเนี้ยนหรานอยู่ก็ผ่อนลงนิดหน่อย
ตอนแรกหนิงต้าหรานยังแค่ชะงักไป แค่ต่อมาพอได้สติกลับพบว่าคำพูดของลูกคนที่สี่นั้นกำลังสร้างความแตกแยกให้นางกับลูกชายสองคน
นางสะบัดมือตบไปที่หน้าของเฉินเนี้ยนหราน “นังลูกชั่ว เ้าคือก้อนเนื้อที่หลุดออกมาจากร่างของข้า ข้าอยากจะขายเ้ามันก็เป็เื่ของข้า อย่างมากข้าก็แค่เสียชื่อเสียง แต่ว่าการเรียนของลูกชายจะต้องมาก่อน เสียสละเ้าไปแล้วอย่างไร? ข้าคลอดเ้ามาก็เพื่อเอามาใช้เสียสละนี่แหละ”
ลูกชายสกุลเฉินทั้งสองเมื่อได้ฟัง ในใจกลับรู้สึกเย็นเยียบ
แม่ของพวกเขาตอนนี้สามารถพูดแบบนี้ใส่น้องสี่ได้ ต่อไปก็สามารถพูดกับพวกเขาแบบนี้ได้เช่นกัน
เฉินเนี้ยนหรานส่ายหน้า ใจก็ผ่อนคลายลง “ท่านแม่หนอท่านแม่ อะไรๆ ท่านก็บอกเพื่อน้องเล็ก เพื่อความมีหน้ามีตาที่ท่านใฝ่ฝันถึง ท่านรู้หรือไม่ว่ามันห่างไกลความจริงแค่ไหน หากต้องรอจนถึงตอนที่ส่งน้องชายจนมีหน้ามีตาแล้ว เกรงว่าพวกเราทั้งบ้านก็คงเหนื่อยตายกันเสียก่อน ข้าเป็ผู้หญิงคนหนึ่งดีชั่วอย่างไรสุดท้ายก็ต้องแต่งงานออกไป แต่ว่าพี่ชายทั้งสอง พวกท่าน…”
คำพูดต่อมาเธอไม่ได้เอ่ยต่อ แต่กลับมองไปทางพี่ชายที่จับตัวเองอยู่อย่างเย้ยหยัน เพียงแค่มองสีหน้าขาวซีดของพวกเขา แล้วยังร่างกายสั่นเทานี้ เธอก็รู้แล้วว่าการเพาะเมล็ดความร้านฉานในวันนี้ประสบความสำเร็จแล้ว
หนิงต้าหรานโมโหมาก นางพุ่งเข้ามาหมายจะฉีกปากของลูกสาว แต่กลับถูกลูกชายคนโตจับแขนเอาไว้ “ท่านแม่ ที่น้องสี่พูดมาก็ไม่ผิด ครอบครัวของเราไม่สามารถพากันอดตายทั้งบ้านเพื่อน้องชายคนเดียวได้ น้องชายเป็ลูกของท่าน พวกเราเองก็เป็ ส่งเขาเล่าเรียนพวกเราไม่เกี่ยงที่จะช่วยเหลือ แต่ว่าพวกเราจะเอาชีวิตทั้งบ้านไปแขวนไว้เพื่อเขาคนเดียวไม่ได้ ดังนั้นครอบครัวของข้า…ข้าว่าเราควรจะแยกกันอยู่ดีกว่า”
“ข้าเองก็เห็นด้วยที่จะแยกครอบครัว!”
หนิงต้าหรานมองลูกชายทั้งสองคนที่เมื่อครู่ยังช่วยจับลูกคนที่สี่อยู่ ตอนนี้กลับหันมาหาเื่แยกบ้าน ในใจของนางเย็นวาบ ยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้โฮออกมา “สามี เ้าดูลูกชายลูกสาวที่เ้าสั่งสอนมาสิ พวกเรายังมีชีวิตอยู่ พวกลูกก็อยากจะแยกบ้านแล้ว เื่... เื่นี้จะทำได้อย่างไร?”
---------------
เชิงอรรถ
[1] หนิงต้าหราน เป็ชื่อจริงของเฉินหนิงซื่อ เฉินของเฉินหนิงซื่อนั้นมาจากสกุลเฉินที่นางแต่งเข้ามา ส่วนหนิงของเฉินหนิงซื่อมาจากสกุลเดิมของนาง