เมื่อได้ยินคำของเสิ่นล่าง ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึง เป็ครั้งแรกที่เสิ่นล่างอารมณ์เสียได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจได้ เพราะสถานการณ์บนลานประลองไม่สู้ดีนัก
เจี้ยนอู๋เฉินที่อยู่ด้านล่างยิ้มออกมาเล็กน้อย
ส่วนหานเฟิงบนลานประลอง ไอพลังทั่วทั้งร่างกำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เสิ่นเสวียนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้ มันเหมือนกับเคล็ดวิชาเพิ่มพลังตนเองของการบำเพ็ญเพียร แต่สิ่งที่ต้องแลกมีมูลค่ามหาศาลเช่นกัน
“เฮอะ เคล็ดวิชาลับตระกูลหาน เ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว”
เมื่อได้ยินคำของเสิ่นล่าง หานเฟิงที่ไอพลังกำลังแข็งแกร่งขึ้นพลันยิ้มเย็นออกมา
ขณะนี้พลังบนร่างของเขาเพิ่มขึ้นไม่หยุด ไอพลังที่แผ่ซ่านออกมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าขั้นแม่ทัพระดับสูงสุดไปแล้ว คล้ายว่าจะทะลวงไปถึงขั้นบรรพบุรุษได้ทุกเมื่อ
เสิ่นเหวินเทาเห็นดังนั้นมุมปากพลันกระตุกรัว เขาไม่เคยมีเคล็ดวิชาลึกลับเช่นนี้ด้วยซ้ำ หรือว่าหานเฟิง้าทะลวงเลื่อนไปสู่ขั้นบรรพบุรุษจริงๆ
“รับความตายไปซะ!”
หานเฟิงะโเสียงดังก้อง พลังของเขาพุ่งถึงขีดสุด กระทั่งทะลวงผ่านคอขวดออกมา
จากนั้นพลังทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาราวกับกระแสน้ำหลาก ไอพลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า
ขั้นบรรพบุรุษ!
ขั้นบรรพบุรุษในอายุยี่สิบปี! ผู้แข็งแกร่งขั้นบรรพบุรุษที่อายุน้อยที่สุดในเมืองอวี่ฮว่า
“ไม้อ่อนดัดง่าย”
เจี้ยนอู๋เฉินมองหานเฟิงที่อยู่บนลานประลองพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ซือหม่าหว่านเอ๋อร์มองเจี้ยนอู๋เฉินด้วยแววตาสับสน นางกล่าว “ท่านทำแบบนี้เป็การทำร้ายเขา”
“ทำร้ายเขาอย่างนั้นหรือ ฮ่าๆ เ้ายังเด็กนัก เ้าควรบอกว่าข้าทำให้เขาประสบความสำเร็จ ระดับที่ทั้งชีวิตตระกูลหานมิอาจเอื้อมถึง ข้ากลับทำให้เขาไปถึงได้”
ซือหม่าหว่านเอ๋อร์ไม่กล่าวอะไรอีก มีเพียงสายตาที่มองเจี้ยนอู๋เฉินฉายความหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย
คนผู้นี้น่ากลัวมาก!
เทียบกับการสนทนาของทั้งสองคนนั้น หานเฟิงบนลานประลองเรียกได้ว่าสง่างามไร้ที่ติ พลังบนร่างแผ่ซ่านไปรอบๆ อย่างมิอาจควบคุมได้ ไอพลังต่อสู้พลุ่งพล่านออกมารุนแรง ก่อให้เกิดความแปรปรวน
“ขั้นบรรพบุรุษ”
เสิ่นเสวียนกล่าวพึมพำ พลังของหานเฟิงเพิ่มขึ้นมากจนเหนือความคาดหมายของเขาไปแล้ว เขาเคยคาดเดาถึงพลังของหานเฟิงมาก่อน แม้เป็การฝืนร่างกาย อย่างมากก็เพิ่มได้ถึงขั้นแม่ทัพระดับสูงสุดเท่านั้น เทียบได้กับขั้นปี้กู่ระดับปลายแห่งการบำเพ็ญเพียร แต่เมื่อถึงขั้นบรรพบุรุษกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ขั้นบรรพบุรุษเทียบได้กับขั้นแก่นทองคำแห่งการบำเพ็ญเพียร ขั้นแก่นทองคำเป็รองเพียงขั้นหยวนก่อกำเนิดเท่านั้น เมื่อถึงขั้นนี้จะเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไป ขั้นบรรพบุรุษก็เช่นเดียวกัน สามารถเรียกได้ว่าเป็ปรมาจารย์บรรพบุรุษแห่งทวีปหลิงโซ่ว เพียงพอที่จะเห็นถึงฐานะของเขา
ตอนที่เสิ่นเสวียนสู้กับหานเฟิงก่อนหน้านี้ เขาแสดงคมหมัดปะทุออกไปแล้ว ทำให้กำลังภายในสามสายพุ่งเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย ทว่ามันใช้ได้กับขั้นแม่ทัพเท่านั้น อานุภาพของมันจะลดลงเมื่อใช้กับขั้นบรรพบุรุษ
ตอนนี้เสิ่นเสวียนเพิ่งอยู่ในขั้นปี้กู่ระดับต้น ต่างจากอีกฝ่ายหนึ่ง่พลัง คิดจะเอาชนะหานเฟิงให้ได้จำเป็ต้องส่งกำลังภายในคมหมัดปะทุเข้าไปในร่างให้มากพอ
หลังจากที่พลังของหานเฟิงเพิ่มขึ้นถึงขีดสุดแล้ว เขาพลันหายตัวไปปรากฏตรงหน้าเสิ่นเสวียนอย่างคาดไม่ถึง จากนั้นเขาก็ปล่อยพลังหมัดเข้าใส่หน้าอกของเสิ่นเสวียนอย่างจังจนกระเด็นออกไปทันที
ตึก ตึก ตึก!
เสิ่นเสวียนลงยืนที่พื้น ทว่าต้องก้าวถอยหลังไปสามก้าวจึงจะยืนได้อย่างมั่นคง
ไม่ว่าจะเป็พลัง ความเร็ว หรือสิ่งอื่นๆ ของหานเฟิงล้วนแข็งแกร่งขึ้นทั้งนั้น แต่เสิ่นเสวียนก็ไม่กลัว หลังจากตั้งหลักได้แล้ว เขาก็กระโจนเข้าใส่หานเฟิงอย่างรวดเร็ว
ท่าร่างมายาอัสนีเก้าด่านเคราะห์!
เสิ่นเสวียนแสดงท่าร่างออกมา เขาเคยแสดงท่าร่างนี้มาแล้วในหอประชุมเมื่อหลายวันก่อน ขณะนี้เขาอยู่ในขั้นปี้กู่แล้ว ทำให้เขารวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้มาก
ทว่าหานเฟิงมีเวลาอยู่ในขั้นพลังนี้ได้อย่างจำกัด เขาจำเป็ต้องสู้กับเสิ่นเสวียนให้จบโดยเร็ว จึงตั้งรับและแสดงพลังสังหารเข้าใส่เสิ่นเสวียนที่กระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว
แล้วทั้งสองคนก็สู้กันอีกครั้ง ภายใต้ท่าร่างมายาอัสนีเก้าด่านเคราะห์ ความเร็วของเสิ่นเสวียนไม่ได้ด้อยไปกว่าหานเฟิงเลย กระทั่งอาจเหนือกว่าด้วยซ้ำ
และในขณะนี้ หานเฟิงยิ่งสู้ก็ยิ่งใ ยิ่งสู้สีหน้าก็ยิ่งดูแย่ลง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเสิ่นเสวียนจะจัดการได้ยากขนาดนี้ ยิ่งอยากจะจัดการให้จบโดยเร็วยิ่งมิอาจจู่โจมก่อนได้ ทำให้การต่อสู้คล้ายจะหยุดชะงักไป
ทุกคนที่ดูการต่อสู้อยู่รอบๆ ต่างอ้าปากค้าง
เพราะการต่อสู้บนลานประลองหลุดไปจากความเข้าใจของพวกเขาแล้ว รวมไปถึงซือหม่าหว่านเอ๋อร์ที่ไม่อาจมองการต่อสู้ของอีกฝ่ายออก
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ ร่างของทั้งสองสลับสับเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ความเร็วในการออกหมัดทำให้เห็นเพียงเงาเลือนรางเท่านั้น
ในที่นี้ ผู้ที่มองเห็นการต่อสู้บนลานประลองได้ชัดเจนมีเพียงสี่คน คือเสิ่นล่าง เจี้ยนอู๋เฉิน ผู้าุโสอง และผู้าุโสามจากตระกูลเสิ่น
หลังจากทั้งสองคนสู้กันไปได้ประมาณครึ่งเค่อ[1] หานเฟิงกลับมีสีหน้าบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ
การเพิ่มพลังของเขามีเวลาจำกัด หากเป็อย่างนี้ต่อไปจนหมดเวลาเขาต้องพ่ายแพ้แน่ๆ คิดได้ดังนั้นเขาจึงแสดงพลังหมัดโจมตีเสิ่นเสวียนให้ถอยหลังไป แหวนบนนิ้วส่งแสงวาววาบ พลันมียาหนึ่งเม็ดปรากฏขึ้นในมือของเขาในขณะที่ทุกคนไม่ได้สนใจ แล้วเขาก็กลืนยาเข้าไปทันที
“บังอาจนัก กล้ากินยาอย่างนั้นหรือ!”
เสิ่นล่างสายตาว่องไว เขามองเห็นในทันทีจึงะโออกไป ขณะที่กำลังจะลงมือเข้าขัดขวาง เสียงของเจี้ยนอู๋เฉินกลับดังขึ้นอย่างเรียบเฉย
“อย่ารีบร้อนสิ ใครตั้งกฎว่ามิอาจกินยาได้”
เจี้ยนอู๋เฉินหันมองเสิ่นล่างด้วยแววตาโเี้ ทำให้เสิ่นล่างหวาดกลัวขึ้นมา
หากคิดสังหารจริงๆ ต่อให้มีเจี้ยนอู๋เฉินสองคนก็ยังมิอาจสู้เสิ่นล่างได้ ทว่าเมื่อคิดไปถึงอำนาจเื้ัของเจี้ยนอู๋เฉิน เสิ่นล่างก็ทำได้เพียงยอมแพ้ไป
“ระวังตัวด้วย เขากินยาเข้าไปแล้ว อาจจะบ้าคลั่งขึ้นมาได้”
เสิ่นล่างไม่ได้ลงมือ แต่ส่งกระแสจิตไปหาเสิ่นเสวียนโดยให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน เช่นนี้แล้ว หากเกิดเื่ถึงชีวิตขึ้นมาจริงๆ เขาค่อยลงมือก็ยังไม่สาย อย่างน้อยที่สุดก็สามารถรักษาชีวิตของเสิ่นเสวียนไว้ได้
หลังจากหานเฟิงกินยาเรียบร้อยแล้ว ดวงตาของเขาพลันกลายเป็สีแดงราวกับเื ไอพลังต่อสู้พลุ่งพล่านรุนแรง ร่างกายของเขาก็ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย เสื้อผ้าเริ่มฉีกขาดเผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็มัดๆ
เสิ่นเสวียนไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อาการบ้าคลั่งในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็มีเหมือนกัน จากนั้นก็มีคนปรุงยาที่ทำให้บ้าคลั่งขึ้นมา หลังจากกินยาเข้าไปแล้วพลังจะเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น แต่ผลที่ตามมารุนแรงยิ่งนัก หานเฟิงผู้นี้ฝืนร่างกายของตนเองสองครั้งติดต่อกัน หลังจากทุกสิ่งหมดฤทธิ์ลงแล้ว เขาอาจกลายเป็คนไร้ความสามารถไปเลยก็ได้
“ตายซะเถอะ!”
ในแววตาของหานเฟิงเหลือประกายเด่นชัดอยู่เพียงเล็กน้อย เขาควบคุมร่างให้กระโจนไปตรงหน้าเสิ่นเสวียนด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเสิ่นเสวียนอย่างเห็นได้ชัด
ครั้งนี้เขาไม่ได้ปล่อยพลังหมัดสังหารออกไป กลับคว้าหมับเข้าที่คอของเสิ่นเสวียน
“เ้ากล้าดีอย่างไรมาสู้กับข้า!”
หานเฟิงมองเสิ่นเสวียนด้วยดวงตาแดงฉาน เจตจำนงสังหารปะทุออกมาอย่างดุเดือด หากไม่ใช่เพราะเสิ่นเสวียน เขาไม่มีทางมาถึงขั้นนี้ได้เลย เขาจะต้องสังหารเสิ่นเสวียนให้ได้
ฝ่ามือเปี่ยมไปด้วยพลังแข็งแกร่งกำลังบีบคอของเสิ่นเสวียนเอาไว้แน่น
“แค่ก แค่ก!”
เสิ่นเสวียนส่งเสียงไอไม่หยุด มือทั้งสองข้างจับมือของหานเฟิงเอาไว้ ้าดิ้นให้หลุด แต่พลังของทั้งสองคนต่างกันมากเกินไป ยากที่จะดิ้นให้หลุดได้
เมื่อเห็นว่าดิ้นไม่หลุด เสิ่นเสวียนจึงเปลี่ยนไปใช้พลังหมัดโจมตีใส่หานเฟิงอย่างต่อเนื่อง ส่งกำลังภายในเข้าสู่ร่างของอีกฝ่ายไม่หยุดหย่อน
“ท่านพี่!”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยกำมือแน่น นางมองเสิ่นเสวียนด้วยสีหน้าเป็กังวล นางเชื่อมั่นในตัวเสิ่นเสวียน แต่ก็เป็ห่วงเขาเช่นกัน
“ไม่เลว แทนที่จะเลือกคนไม่เชื่อฟัง ไม่สู้เลือกคนกล้าตายดีกว่า”
เจี้ยนอู๋เฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น เพียงแต่เมื่อซือหม่าหว่านเอ๋อร์ได้ยิน กลับทำให้นางตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา คนแบบนี้นางจำเป็ต้องออกห่าง มิฉะนั้นอาจนำภัยมาสู่ตนเองได้
การต่อสู้มาถึงตรงนี้ คนตระกูลเสิ่นที่อยู่รอบๆ ต่างยอมรับในตัวเสิ่นเสวียนแล้ว กล่าวตามตรง ไม่มีคนรุ่นเยาว์ในตระกูลทำได้อย่างที่เสิ่นเสวียนทำ ตอนนี้เสิ่นเสวียนกำลังเป็ตัวแทนของตระกูลเสิ่น ทุกคนต่างให้กำลังใจเสิ่นเสวียนอยู่เงียบๆ
ทว่าคนส่วนใหญ่ต่างรู้ดีว่าเสิ่นเสวียนใช้โชคไปหมดแล้ว
หลังจากนี้เสิ่นเสวียนอาจกลายเป็ยอดบุรุษ แต่ก็อาจเป็ยอดบุรุษที่เหลือแต่ชื่อติดไว้บนกำแพงได้เช่นกัน
“ตายซะ! ตายซะเถอะ!”
หานเฟิงกัดฟันพลางกล่าวไม่หยุด พลังฝ่ามือเหมือนจะถึงขีดสุดแล้ว แต่เสิ่นเสวียนยังคงหายใจได้ มิอาจสังหารเขาได้เลย
ส่วนกำปั้นของเขาอีกข้างก็โจมตีใส่หน้าอกของเสิ่นเสวียนอย่างต่อเนื่อง แต่ละหมัดทำให้เสิ่นเสวียนกระอักเืออกมา
แต่เสิ่นเสวียนยังคงยืนหยัดต่อไป
เสิ่นล่างอยากจะลงมือ แต่ความรู้สึกกำลังบอกเขาว่าเสิ่นเสวียนยังจัดการสถานการณ์ได้อยู่ ทำให้เขาฝืนอดกลั้นไว้ไม่ได้โจมตีออกไป
ไม่รู้ว่าโดนโจมตีไปกี่ครั้ง เสิ่นเสวียนรู้สึกชาไปทั้งร่าง เขาอ้าปากที่เต็มไปด้วยเืกล่าวออกมาเบาๆ
“คมหมัดปะทุ”
หลังจากสิ้นเสียง กำลังภายในทั้งหมดที่ถูกส่งเข้าไปในร่างของหานเฟิงเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกัน
....................................................
[1] เค่อ คือหน่วยเวลาของจีนสมัยโบราณ (1 เค่อ = 15 นาที)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้