หลี่ฝูคังยิ้มไม่หุบ “ยี่สิบตำลึง”
หลี่หรูอี้กล่าวอย่างยินดี “รวมกับสิบตำลึงของเมื่อวานแล้ว ทั้งหมดก็สามสิบตำลึง ใต้เท้าหลิวใจกว้างจริงๆ”
ได้ยินดังนั้นหลี่เจี้ยนอันก็ตื่นเต้นจนหายง่วงเป็ปลิดทิ้ง หัวเราะออกมาเสียงดัง แต่กลัวจะรบกวนจ้าวซื่อที่กำลังนอนหลับอยู่จึงรีบยกมือขึ้นปิดปาก
หลี่อิงฮว๋าก็ตื่นเต้นจนไม่ง่วงแล้วเช่นกัน “น้องห้า พวกเรายังจะนอนอีกหรือไม่”
หลี่หรูอี้หาวออกมาก่อนที่จะยกมือเล็กๆ ขึ้นโบก “นอนเ้าค่ะ ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลย พวกเรานอนอีกหนึ่งชั่วยามเถิด วันนี้พี่ใหญ่กับพี่รองอยู่บ้านเป็เพื่อนท่านแม่ ส่วนพวกเราสามคนก็ไปซื้ออาหารจากตำบลมาฉลองกัน”
“ในที่สุดก็ถึงคราวของข้า พี่สามและน้องห้า ออกไปด้านนอกบ้างแล้ว” หลี่ิ่หานดีใจจนะโโลดเต้น
ห้าพี่น้องพากันไปนอนพัก เดิมทีคิดจะนอนพักเพียงหนึ่งชั่วยาม แต่แล้วกลับนอนยาวไปถึงตอนกลางวัน กระทั่งจ้าวซื่อทำอาหารกลางวันเสร็จและยกขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
หลี่หรูอี้มองไปยังท้องอันใหญ่โตจนน่าใของจ้าวซื่อก่อนกล่าวอย่างเป็ห่วง “ท่านแม่เ้าคะ เหตุใดจึงไม่ปลุกพวกเราเล่า?”
แววตาของจ้าวซื่อเปล่งประกายความห่วงใย “พวกเ้าเหนื่อยกันมากแล้ว หากมิใช่ว่าถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วข้าคงไม่ปลุกพวกเ้าหรอก”
หลังกินอาหารกลางวันเสร็จ หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังก็พากันไปทำความสะอาดลานบ้านและบ่อน้ำ รวมถึงงานบ้านอย่างอื่น ส่วนหลี่หรูอี้ หลี่อิงฮว๋า และหลี่ิ่หาน ก็นั่งเกวียนไปยังตำบลจินจี
เมื่อมีคนเห็นสามพี่น้องก็กล่าวถามด้วยท่าทีเฝ้ารอ “ญาติข้ามากินขนมไหว้พระจันทร์รสหวานที่บ้านข้า พวกเขาอยากจะซื้อกลับไปเสียหน่อย เ้ายังขายขนมไหว้พระจันทร์รสหวานอยู่หรือไม่”
หลี่อิงฮว๋ายิ้มตอบว่า “ไม่ได้ขายแล้วขอรับ เมื่อวานขายหมดแล้ว วันนี้ก็ไม่ได้ขายแล้ว”
บ้านของลูกค้าเก่าคนหนึ่งเป็บ้านสองชั้น นางยืนตากเสื้อผ้าอยู่ชั้นบน เห็นเกวียนของบ้านหลี่เข้าพอดีจึงะโเรียกเสียงดัง “เด็กน้อยบ้านหลี่ บ้านเ้าจะขายขนมไหว้พระจันทร์รสหวานอีกเมื่อใดหรือ”
หลี่ิ่หานเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อพบว่าเป็คนรู้จักจึงะโตอบกลับไปว่า “ครอบครัวของพวกเราจะขายขนมไหว้พระจันทร์รสหวานอีกครั้งตอนเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีหน้าขอรับ”
ลูกค้ากล่าวอย่างผิดหวัง “อา... เวลานี้ของปีหน้าจึงจะขายหรือ อยากจะซื้อไปให้บ้านเดิม่ปีใหม่เสียหน่อย”
หลี่หรูอี้กระซิบบอกพี่ชายทั้งสองว่า “หากจะสั่งจำนวนมากก็รับคำสั่งจองก่อนปีใหม่ ให้นางไปสั่งที่บ้านพวกเราเอง”
หลี่อิงฮว๋ากรอกตาก่อนยิ้มและตอบว่า “ท่านป้าขอรับ บ้านของพวกเราอยู่ที่หมู่บ้านหลี่ หากท่าน้าจำนวนมาก ก็ไปสั่งจองได้ที่บ้านของพวกเราดีหรือไม่ขอรับ?”
“ได้ ข้าจะให้สามีไปที่บ้านพวกเ้าเอง” ลูกค้าเก่าท่านนี้เป็บุตรสาวคนเล็กของตระกูลเดิม ที่บ้านยังมีพี่สาวอยู่อีกสามคน เมื่อถึงเวลากลับไปสวัสดีปีใหม่ที่บ้านเดิม เหล่าพี่สาวน้องสาวมักเปรียบเทียบความกตัญญูกันจากของขวัญปีใหม่ที่นำไปมอบให้ทางบ้าน ปีใหม่ที่จะถึงนี้นางจึงอยากนำขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ไปมอบเป็ของขวัญ คิดว่าจะต้องเหนือกว่าของขวัญของพี่สาวทั้งสามคน จนท่านพ่อท่านแม่ยินดีมากเป็แน่
หลี่หรูอี้มองไปยังร้านค้าแผงลอยที่วางอยู่เต็มถนน ผู้คนเดินขวักไขว่ ดูท่าทางยังมีผู้คนมากมายที่มาซื้อของเพื่อฉลองเทศกาล “ตรงประตูร้านขายผ้ามีคนน้อย เช่นนั้นพวกเราไปร้านขายผ้าก่อนเถิด”
ผู้คนในตำบลรู้จักเกวียนลาของบ้านหลี่ดี แม้พี่น้องบ้านหลี่สวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาด แต่ที่บ้านคงไม่ได้ยากจนนัก
พนักงานร้านขายผ้าไม่คิดดูถูกคนบ้านหลี่ รีบเดินเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
ในโลกก่อนหลี่หรูอี้เป็เด็กกำพร้า ภายหลังจึงได้มาเป็หมอทหาร นางมีความเด็ดเดี่ยวมากความสามารถ ไม่มีนิสัยเดินดูของอย่างเดียวโดยไม่ซื้อ และมักจะเดินตรงไปยังสิ่งที่้า ขอเพียงราคาสมเหตุสมผลก็จะซื้อทันที และไม่เคยเสียเวลาไปกับสิ่งนี้มาก่อน
“ข้า้าซื้อผ้าฝ้าย”
ก่อนหน้านี้พนักงานเห็นเด็กชายบ้านหลี่จนชินตาแล้ว นี่เป็ครั้งแรกที่เห็นแม่นางน้อยของบ้านหลี่ นางมีรูปโฉมจิ้มลิ้มน่ารักเป็อย่างยิ่ง แม้มีอายุน้อยที่สุด แต่กลับเป็ผู้ตัดสินใจ จึงรีบเข้ามาแนะนำฝ้ายและผ้าฝ้ายในร้านให้นางอย่างละเอียด
“ผ้าฝ้ายร้านเรามีสีดำ สีขาว สีน้ำเงิน สีแดง และสีเขียว ทั้งหมดห้าสีขอรับ แต่ละสีมีผ้าที่คุณภาพต่างกันสองประเภท สีและคุณภาพที่ต่างกัน ราคาก็แตกต่างกันด้วย”
แคว้นต้าโจวเป็แคว้นที่ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์ ความรู้ทางการแพทย์เท่ากับยุคสามก๊กในโลกก่อนของหลี่หรูอี้ ส่วนด้านอาหาร วัฒนธรรม สิ่งปลูกสร้าง การค้า หรือการติดต่อสื่อสารล้วนล้าหลังมาก แต่กลับมีระบบการสอบเคอจวี่[1] ทั้งยังมีผ้าฝ้ายและฝ้ายอีกด้วย เสื้อผ้าที่ผู้คนสวมใส่ก็ค่อนข้างมีความเป็มาซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็อาภรณ์สมัยราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์หยวน หรือราชวงศ์ิล้วนมีทั้งสิ้น
หลี่หรูอี้ชอบอาภรณ์ที่ทำจากผ้าฝ้ายเพราะไม่ระคายผิว แต่ผ้าฝ้ายของแคว้นต้าโจวเนื้อแข็งกว่าของโลกเดิม คงผสมป่านเอาไว้ด้วยกระมัง
หลี่ิ่หานถามด้วยรอยยิ้ม “น้องห้า เ้าจะซื้อผ้าฝ้ายไปเย็บชุดใหม่ให้พวกเราหรือ”
“ใช่แล้วเ้าค่ะ ข้าจะซื้อผ้าฝ้ายและฝ้ายสำหรับตัดเย็บชุดฤดูหนาวของปีนี้” หลี่หรูอี้ยื่นมือไปััเนื้อผ้าฝ้ายสีเขียวทั้งสองชนิดที่พนักงานนำมาวางให้ตรงหน้า
พนักงานรีบอธิบายเพิ่มเติม “ผ้าสีเขียวทางซ้ายมือเป็ผ้าฝ้ายที่มีคุณภาพค่อนข้างดี ฉื่อละแปดทองแดง ส่วนผ้าฝ้ายทางขวามือฉื่อละหกทองแดง”
ผ้าของแคว้นต้าโจวหนึ่งพับมีสี่จั้ง หนึ่งจั้งมีสิบฉื่อ
ผ้าฝ้ายสีเขียวคุณภาพธรรมดาจั้งละหกทองแดง ผ้าฝ้ายคุณภาพดีราคาแปดทองแดง
ผ้าฝ้ายเป็ผ้าที่ทำจากมือล้วนๆ โดยการนำฝ้ายมาทอเป็ผ้า จากนั้นจึงนำมาย้อมสีจนกลายเป็ผ้าฝ้ายสีต่างๆ
ผ้าฝ้ายหนึ่งพับต้องใช้คนที่มีทักษะฝีมือคนหนึ่งมาทอใช้เวลาเจ็ดวัน หากจะย้อมสีบนผ้าฝ้ายสีขาวก็ต้องใช้คนที่เชี่ยวชาญการย้อมสีหนึ่งคนมาย้อมผ้าเป็เวลาสามวัน รวมทั้งหมดต้องใช้คนงานสองคนทำงานสิบวัน
ผ้าฝ้ายนั้นมีต้นทุนด้านค่าแรงสูงจึงมีราคาแพงมาก คนทั่วไปเมื่อนำผ้าฝ้ายไปตัดเย็บเป็ชุด ซึ่งปกติจะสวมใส่ได้หลายปี
ตลอดชีวิตผู้คนในหมู่บ้านหลี่อาจไม่เคยสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายเลย สวมใส่กันแต่เพียงชุดผ้าป่านที่มีราคาถูก
หลี่หรูอี้ถามอีกครั้ง “แบบใดหดตัวน้อยกว่า?”
พนักงานได้ยินดังนั้นก็ทราบทันทีว่า หลี่หรูอี้มีความเข้าใจเื่ผ้าเป็อย่างดี จึงยกผ้าฝ้ายสีเขียวทางด้านซ้ายมือขึ้น “น้องสาวตัวน้อย ผ้าที่มีราคาแพงมีการหดตัวน้อยกว่า”
ยิ่งเป็ผ้าที่มีการหดตัวมาก ปริมาณฝ้ายที่ผสมอยู่ด้านในก็ยิ่งมาก ดูแล้วผ้าฝ้ายราคาแพงคงจะมีวัสดุอื่นนอกจากป่านผสมอยู่ด้วย
หลี่หรูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจซื้อผ้าฝ้ายสีเขียว สีน้ำเงินและสีแดงทั้งสองประเภทมาอย่างละสี่พับ “พี่ชายเ้าคะ พวกเราซื้อผ้าฝ้ายราคาแพงมากเช่นนี้ ทั้งยังจะซื้อฝ้ายเพิ่มอีก ท่านก็ลดราคาให้พวกเราหน่อยเถิด”
พนักงานยิ้มก่อนที่จะรีบไปปลุกผู้ดูแลร้านที่กำลังนอนกลางวันอยู่หลังร้านให้มาตอบเื่นี้
ทางด้านหลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานก็รีบถามหลี่หรูอี้ “น้องห้า เหตุใดเ้าจึงซื้อผ้าฝ้ายมากเพียงนี้เล่า?”
“น้องห้า ทั้งหมดก็เก้าสิบหกจั้งเชียว มีผ้าฝ้ายมากเช่นนี้พอจะเปิดร้านขายผ้าได้เลย”
หลี่หรูอี้ยิ้ม “พวกเราทั้งครอบครัวต้องมีชุดสำหรับฤดูหนาวคนละสองชุด ผ้าห่มก็ต้องใช้ผ้าฝ้ายเย็บ ข้ายังกลัวว่าจะไม่พออยู่เลยเ้าค่ะ”
หลี่ิ่หานเบิกตากว้าง “ผ้าห่มที่บ้านก็จะทำใหม่หรือ”
หลี่หรูอี้กระซิบตอบ “แน่นอนเ้าค่ะ ่ฤดูหนาวอากาศหนาวเพียงนั้น ต่อให้มีเตียงเตาแล้วก็ยังต้องใช้ผ้าห่มหนาๆ”
หลี่อิงฮว๋านึกไปถึงยามค่ำคืนของฤดูหนาวปีที่ผ่านมา ที่เขาต้องนอนขดตัวเบียดกับหลี่ิ่หานเพื่อไม่ให้หนาวตาย คิดได้ดังนั้นจึงเลิกคิ้วกล่าวขึ้นว่า “ผ้าห่มของบ้านเรามิได้ยัดฝ้ายไว้ด้านในแต่เป็กก หลายปีมานี้ผ้าห่มก็ขาดไปมากแล้ว ไม่อุ่นเลยสักนิด ข้าเห็นด้วยกับน้องห้า”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าก็เห็นด้วยกับน้องห้า” หลี่ิ่หานปรายตามองไปยังหลี่อิงฮว๋า เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ถามว่า เหตุใดต้องมีชุดใหม่คนละสองชุดก็รู้สึกยินดีในใจ
ผู้ดูแลร้านออกมาพบพี่น้องบ้านหลี่ด้วยตนเอง เมื่อทราบว่าบ้านหลี่้าซื้อฝ้ายชั้นดีสี่สิบชั่งและฝ้ายชั้นกลางสามสิบชั่ง รอยยิ้มบนใบหน้าก็กว้างยิ่งขึ้น ซื้อของมากเช่นนี้ต้องทำให้บ้านหลี่พอใจสักหน่อย ภายหลังจะได้กลับมาซื้ออีก ดังนั้นจึงคิดราคาทั้งหมดหกตำลึงเงินเจ็ดร้อยทองแดง ลดไปถึงห้าร้อยทองแดง
ห่างออกไปนอกอำเภอฉางผิงยี่สิบลี้ หลี่ซานและหลี่สือกำลังซื้อผ้าอยู่ที่ร้านผ้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] การสอบเคอจวี่ คือการสอบเข้ารับราชการของชาวจีนสมัยโบราณ เริ่มปรากฏใช้ครั้งแรกสมัยราชวงศ์สุย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้