มู่อวิ๋นจิ่นเดินหาไปรอบหนึ่งก็ไม่พบเงาของฉู่ลี่แม้แต่น้อย ยามนี้ตะวันลับฟ้า ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างกลับเข้าที่พักของตนเองกันไปเกือบหมด
มู่อวิ๋นจิ่นยกมือขึ้นกอดอก ภายในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้น จึงมุ่งหน้าตรงไปที่พักของหยางว่านซาน
หยางว่านซานไม่นึกไม่ฝันว่ามู่อวิ๋นจิ่นจะมาหายามดึก เมื่อเปิดประตูออกไปเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของมู่อวิ๋นจิ่น เขารีบโค้งคำนับ “คารวะพระชายาหนิงหวาง”
“องค์ชายไปไหนแล้ว?” มู่อวิ๋นจิ่นถามตรงไปตรงมา
หยางว่านซานชะงักไปครู่หนึ่ง องค์ชายหนิงหวางไปที่ไหน เขาได้ยินมาบ้าง ระหว่างที่กำลังจะเอ่ยปากตอบ เขาเห็นซ่งกัวที่อยู่ด้านหลังมู่อวิ๋นจิ่นส่ายหัวไปมา
ดังนั้นหยางว่านซานจึงเปลี่ยนคำตอบไป “ข้าน้อยมิทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“มิทราบอย่างนั้นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นรับรู้ถึงความผิดปกติ แล้วกัดฟันถามต่อไปว่า “แล้วฉินมู่เยว่ละ?”
“รอแม่ทัพฉินออกเดินทางไปที่ชายแดนในวันนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หยางว่านซานตอบ
มู่อวิ๋นจิ่นสูดลมหายใจหันหลังเดินกลับ โดยมองไปรอบๆ เรือนหยางว่านซาน
“ซ่งกัว ฉู่ลี่ไปที่ไหนกันแน่?” มู่อวิ๋นจิ่นหันไปถามด้วยน้ำเสียงที่ร้อนอกร้อนใจ
ซ่งกัวรู้ว่าเขามิอาจรับมือมู่อวิ๋นจิ่นได้โดยง่าย แต่นึกถึงสิ่งที่ฉู่ลี่กำชับนักหนา จึงสร้างเื่ตอบไปว่า “องค์ชายไปทำธุระนอกเมือง อีกสองวันจะกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปทำธุระ?” มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะเยาะ “ไปพร้อมกับฉินมู่เยว่?”
ซ่งกัวทำหน้าไม่ถูก ได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ
ระหว่างทางกลับเรือน แววตาของมู่อวิ๋นจิ่นแน่นิ่ง ไม่เอ่ยคำใดอีกเลย นางรู้สึกอึดอัดในใจ ที่ฉู่ลี่แอบลับหลังไปทำเื่บางอย่างกับฉินมู่เยว่
ในมโนทวารปรากฏภาพครั้งก่อนที่สองคนนั้น แอบไปลองทำให้ดอกบัวดำเบ่งบานที่เมืองธารรัตติกร ดูท่าแล้วธิดาหงส์อย่างฉินมู่เยว่ ย่อมสามารถช่วยเหลือฉู่ลี่ได้มิน้อย
คิดมาถึงตรงนี้ มู่อวิ๋นจิ่นกัดริมฝีปากหัวเราะขึ้น ภายในใจรู้สึกทรมานดั่งมีดกรีดหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซ่งกัวเห็นมู่อวิ๋นจิ่นกำลังหัวร้อนเืขึ้นหน้า ซึ่งเกิดลังเลใจว่าควรจะเล่าเื่ที่ฉู่ลี่และฉินมู่เยว่ไปจัดการคนที่อยู่ชายแดนให้มู่อวิ๋นจิ่นฟังดีไหม แต่คิดไปคิดมา เ้านายที่แท้จริงของเขาคือฉู่ลี่ ซ่งกัวจึงตัดสินใจไม่ละเมิดคำสั่ง
……
เมื่อเดินกลับมาถึงห้อง มู่อวิ๋นจิ่นเปิดตู้เสื้อผ้าดูพบอาภรณ์สองสามชุดของฉู่ลี่หายไป พร้อมกับปะติดปะต่อเื่ที่นางหลับจนตะวันโพล้เพล้เข้าด้วยกัน นางเลยทุบโต๊ะไม้ในห้องพังลงต่อหน้าต่อตา
เพื่อไปเล่นชู้กับฉินมู่เยว่ นึกไม่ถึงว่าฉู่ลี่จะใช้วิธีการเช่นนี้กับนางได้
เสี่ยวจวี๋ที่ยืนอยู่หน้าประตู ได้ยินเสียงโครมครามดังขึ้น จึงเคาะประตูอย่างร้อนใจ แต่ถูกมู่อวิ๋นจิ่นตวาดเสียงดังจนไม่กล้าเคาะอีกเลย
มู่อวิ๋นจิ่นเดินมาที่หน้าตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง เก็บอาภรณ์ของตนเองเตรียมจากไป แต่โคมไฟที่ตั้งอยู่กลับล้มลง
มู่อวิ๋นจิ่นวางอาภรณ์ลง หันกลับไปตั้งโคมไฟให้ตรง เหลือบเห็นเศษมุมผ้ายันต์วางอยู่ นางจึงสงบจิตสงบใจนึกถึงเื่อย่างขึ้นมาได้
ชายชุดขาวเอ่ยอย่างมั่นใจ อักษรบนผ้ายันต์เป็ของคนที่อยู่ชายแดน……
หากคิดไม่ผิดละก็ การมาที่เมืองชิงโจวของฉินมู่เยว่ในครั้งนี้ นางได้บอกเป้าหมายชัดเจนว่าเพื่อจัดการคนพวกนั้นนี่หน่า
คนที่ชายแดนพวกนั้นคิดทำเื่ใดกันแน่? เหตุใดอักษรของพวกเขาไปปรากฏบนยอดเขาชิงเฟิง ต้องมีเื่บางอย่างซ่อนเร้นเป็แน่
มู่อวิ๋นจิ่นคิดได้ดังนั้น ตัดสินใจกรรมเศษผ้ายันต์มุ่งหน้าไปทีู่เาชิงเฟิง เพื่อหาผ้ายันต์ที่สมบูรณ์กลับมา
เื่นี้คงไม่ได้ง่ายดายอย่างที่นางคิดไว้เป็แน่แท้……
……
มู่อวิ๋นจิ่นหยิบชุดเดินออกมาแล้วไปที่ห้องอาบน้ำ เห็นซ่งกัวยืนอยู่ที่ลาน จึงฉวยโอกาสที่เขาไม่ทันสังเกตแอบประตูห้องอาบน้ำเหาะออกไป
หลังจากออกจากเรือนได้แล้ว มู่อวิ๋นจิ่นพบว่าฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะไปูเาชิงเฟิง
ระหว่างทางในหัวของนางคิดเื่ที่ฉู่ลี่กับฉินมู่เยว่อยู่ด้วยกัน ใจของกลับร้อนรนเป็ไฟ คิดเพียงว่ารอให้ฉู่ลี่กลับมาเสียก่อน นางจะบอกลาให้ต่างคนต่างมีชีวิตเป็ของตนเองไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก
เ้าฉู่ลี่ผู้นี้สมควรตายนัก!
ตลอดเส้นทางฝนตกต่อเนื่องไม่มีทีท่าจะหยุด มู่อวิ๋นจิ่นจึงต้องใช้เวลาเป็เท่าตัวกว่าจะเดินถึงเชิงเขาชิงเฟิง ที่นั่นไม่มีฝนตกซักเม็ดเดียว มีเพียงลมยามค่ำคืนที่พัดจนเย็นสบายไปทั้งตัว
มู่อวิ๋นจิ่นยืนอยู่เชิงเขาชิงเฟิง เเหงนหน้ามองไปที่ยอดเขา หรี่ตามองพร้อมกับคิดบางอย่าง
บนยอดเขาที่สูงที่สุด มีควันไฟลอยโชนอยู่ มู่อวิ๋นจิ่นจึงเดาได้ว่าที่นั่นต้องมีคนอยู่ เลยเดินขึ้นเขาอย่างระมัดระวัง
มู่อวิ๋นจิ่นระวังทุกก้าวย่างที่เดินขึ้นเขา กลัวว่ารอบตัวของนางอาจมีกับดักอำพรางไว้
เมื่อเดินขึ้นมาใกล้ถึงยอดเขา มู่อวิ๋นจิ่นหาพุ่มหญ้าที่สูงแอบซ่อนตัวเข้าไป จากนั้นสอดส่องสายตาไปบริเวณที่มีควันไฟลอยพวยพุ่ง
ในเวลานี้ บนยอดเขามีนักพรตชุดดำกำลังใช้ดาบไม้ แทงทะลุผ้ายันต์ และกระถางธูปด้านล่างปักธูปจนเต็ม
นักพรตร่ายรำไปมา พร้อมกับพึมพำบางอย่างเสียงเบา
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วขึ้นดูท่าทางของนักพรต ราวกับกำลังกระทำพิธีบางอย่าง แต่มองดูอยู่พักหนึ่งก็ยังดูไม่ออกว่ามาจากสำนักไหน
หลังจากนั้นนักพรตหยุดยืนนิ่ง ยกมือสองข้างรวมพลังลมปราณด้านใน จนมือทั้งสองลุกเป็ไฟส่งพลังไปที่ดาบไม้ ดาบไม้แยกร่างจากหนึ่งเป็สาม พร้อมกับมีผ้ายันต์เสียบอยู่ทุกเล่ม
“ข้าขอสั่งให้เมืองชิงโจวฝนตกนับแต่บัดนี้ ”
นักพรตร่ายคาถาอาคมเสร็จสิ้น ดาบไม้ทั้งสามพุ่งขึ้นนภากาศ จากนั้นทะยานไปที่เมืองชิงโจว
มู่อวิ๋นจิ่นใกับภาพเบื้องหน้าจนต้องยกมือปิดปาก เดิมทีนึกว่านางคิดมากเกินไป นึกไม่ถึงว่ามีคนที่เรียกฟ้าสั่งฝนได้จริง
นี่มันอะไรกันเนี่ย ถ้าไม่เห็นกับตาไม่มีทางเชื่อเป็แน่!
เมืองชิงโจวที่เกิดอุทกภัยมาหลายเดือนนั้น ที่แท้ก็เป็ฝีมือของคนสร้างขึ้นนี่เอง นักพรตเบื้องหน้าผู้นี้มาจากไหนกันแน่ ถึงมีความสามารถสูงส่งเรียกฟ้าสั่งฝนได้?
มู่อวิ๋นจิ่นนึกขึ้นได้ว่าที่แห่งนี้อยู่นานไม่ได้ จึงขยับตัวเพื่อเตรียมตัวกลับไปลง
ระหว่างที่ถอยหลังก้าวหนึ่ง กลับชนหินล่วงหล่นจากหน้าผาตกลงไปด้านล่างจนเกิดเสียงดัง
“ใคร???” นักพรตััได้ว่ามีคนซ่อนตัวอยู่ จึงหันขวับมองไปทางที่ต้นเสียง
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นท่าไม่ดี จึงเตรียมใช้วิชาตัวเบาเหาะหนีเอาตัวรอด
ไม่ผิดคลาดที่ตรงนั้นมีคนซ่อนตัวอยู่ นักพรตคว้าแส้ขนหางจามรี สะบัดมือไปมาใส่พลังลมปราณเข้าไป จนแส้ขนหางจามรีธรรมดา พุ่งเข้าไปปะทะตรงเอวมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นถูกแส้ขนหางจามรีรัดตัว จึงเตรียมหยิบกริชออกมาเฉือนให้ขาด ยังไม่ทันจะได้ขยับมือ นักพรตมายืนเบื้องหน้านางแล้ว
เมื่อนักพรตเห็นหน้ามู่อวิ๋นจิ่นกลับหัวเราะเสียงดังลั่น “ทางเดินมีมากมาย ทำไมไม่รู้จักดูหน้าม้าเรือบ้าง!!!”
“วันนี้เ้าเห็นทุกอย่างแล้ว ย่อมมิอาจปล่อยไว้ได้”
สิ้นเสียง นักพรตดึงแส้หางขนจามรีกลับ พร้อมใช้วิชาฝ่ามือวายุ รวบรวมพลังลมปราณใส่ร่างมู่อวิ๋นจิ่น
แม้มู่อวิ๋นจิ่นจะหลบได้ แต่พลังฝ่ามือวายุที่กล้าแกร่งโดนร่างของนางเพียงนิดหน่อย ทำให้เืจากทรวงอกพวยพุ่งกระฉูดออกจากปาก
วรยุทธ์ไม่เลวนี่หน่า!!!
มู่อวิ๋นจิ่นรู้ว่ามิอาจเป็คู่ต่อสู้ของนักพรตผู้นี้ได้ จึงเตรียมหนีเอาตัวรอด ทว่าว่านักพรตมีแผนสำรองไว้แล้ว โดยใช้หินก้อนเล็กก้อนน้อยไว้สิบกว่าจุด เป็ค่ายกลล้อมตัวนางเอาไว้ทุกทิศทาง ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็มิอาจทะลุออกมาได้
นางะโลอยตัวขึ้น เศษหินก็ลอยขึ้นตามไปด้วย นางนั่งลงยอง เศษหินก็ลงต่ำลงมาด้วย ไม่ว่าอย่างไร พวกมันคอยขวางทางที่นางคิดใช้หลบหนี
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้ว หรี่ตาลง เตรียมเค้นรูปขนหงส์สีทองตรงข้อมือเรียกกำลังเสริมมาช่วย ทว่านักพรตััได้ถึงความผิดปกติ จึงสะบัดแส้ขนหางจามรีให้รัดข้อมือนางเข้าหากันจนขยับไม่ได้
“เ้าหนูนี่ไม่ธรรมดาจริงเชียว ข้าอยากพบกับเ้ามานานแล้ว” นักพรตหัวเราะเยาะ ชี้นิ้วสั่งแส้ขนหางจามรีสะบัดร่างมู่อวิ๋นจิ่น เกลือกกลิ้งบนพื้นอย่างแรงหลายตลบ
นี่เป็ครั้งแรกที่มู่อวิ๋นจิ่นมิอาจสวนกลับได้แม้แต่น้อย พอฟังนสิ่งที่นักพรตผู้นี้เอ่ย ราวกับว่ารู้จักนางอย่างไรอย่างนั้น
ในตอนนี้มีมู่อวิ๋นจิ่นััได้ถึงกระดูกในร่างกายเหมือนจะแตกเป็เสี่ยง ยามค่ำคืนที่เงียบสงัด จะปลุกรูปขนหงส์สีทองข้อมือให้เรืองแสงก็ทำไม่ได้ ช่างซวยอะไรได้ถึงเพียงนี้!!!
จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นพยายามตะเกียบตะกายลุกขึ้นมา จ้องนักพรตคนนี้ด้วยสายตากินเืกินเนื้อ “ฝนที่เมืองโจวเป็ฝีมือเ้าสิท่า?”
“คนที่ใกล้จะตายอย่างเ้า ไม่จำเป็ต้องรู้ให้มากความ”
ดูเหมือนนักพรตไม่อยากเปลืองน้ำลายกับมู่อวิ๋นจิ่นมากนัก เขาจึงใช้นิ้วสั่งการให้แส้ขนหางจามรีเลื่อนขึ้นไปรัดคอนางไว้
มู่อวิ๋นจิ่นยกมือออกแรงดึงแส้หางขนจามรีอย่างสุดกำลังที่มี จนกระทั่งลมหายใจในเฮือกปรากฏขึ้นในชีวิต
นักพรตเห็นสีหน้าสีขาวของนาง จึงชี้นิ้วบังคับแส้หางขนจามรีให้ออกแรงเพิ่มขึ้น
เรี่ยวแรงทั้งหมดในตัวมู่อวิ๋นจิ่นพลันมลายหายไป แววตาของนางหรี่ลงอย่างเชื่องช้า ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ กลายเป็สีดำ จู่ๆ ลำแสงสีแดงก็พวยพุ่งขึ้น
ด้านหลังของมู่อวิ๋นจิ่นปรากฏหงส์อัคคีขึ้นมา หงส์อัคคีกางปีกเพลิงแดงฉาน โบยบินขึ้นท้องนภา จงอยปากพ่นแสงเพลิงใส่แส้ขนหางจามรีจนสะบั่นลง จากนั้นใช้ปีกเพลิงมหึมา โอบอุ้มร่างนางเอาไว้
นักพรตผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองแส้ขนหางจามรีมอดไหม้ต่อหน้าต่อตา ภาพลำแสงสีแดงพวยพุ่งขึ้นนภากาศ กับปีกเพลิงที่โอบอุ้มนางไว้
“ธิดาหงส์!”
“ที่แท้นางก็คือธิดาหงส์!!!”
นักพรตแทบไม่อยากเชื่อ ทว่าหงส์อัคคีปรากฏขึ้นจากด้านหลังของมู่อวิ๋นจิ่น ลอยขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าเขา
บัดนี้ หงส์อัคคีส่งเสียงร้องคำรามไปทั่ว และลอยตัวอยู่เื้ัมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นที่งุนงงอยู่ ล้มหมดสติลงไปกับพื้น นักพรตเตรียมรวบรวมพลังลมปราณปลิดชีพมู่อวิ๋นจิ่นอีกครั้ง ทว่ากลับมีลูกดอกพุ่งมาสกัดไว้
นักพรตหมุนตัวหลบไปอีกทาง ชายชุดเทาเข้ามาโอบอุ้มมู่อวิ๋นจิ่นหายวับไปอย่างรวดเร็ว โดยที่นักพรตไม่ทันตั้งตัว