การกลับเข้าจวนสกุลเดิมเป็เวลาสามวัน ถือเป็ประเพณีหนึ่งของการแต่งงาน แม้ว่าเว่ยซูหานจะเป็บุรุษ แต่ในเมื่อเป็ฝ่ายที่แต่งงานเข้าจวนสามี เขาจึงเลี่ยงไม่ได้ แต่นอกจากเขาแล้ว ตระกูลเว่ยก็ถูกปะาล้างโคตรไปจนหมดสิ้น จวนทั้งหลังก็ถูกปิดไปแล้ว ไม่มีบ้านให้กลับไป ได้แต่ไปสักการะเซ่นไหว้บนูเาซึ่งเป็ที่ที่ฝังกระดูกคนในตระกูล
และเนื่องจากสถานการณ์พิเศษเช่นนี้ วันที่ต้องออกเดินทางไปเซ่นไหว้จึงยืดเยื้อไปหลายวัน
เดิมทีเว่ยซูหานคิดว่าเหยียนชิงจะไม่ไปกับเขา คิดไม่ถึงว่าตอนเช้าหลังจากเขากลับมาจากการฝึกกระบี่ที่สนามหลังบ้าน คนที่รอเขากินข้าวเช้าด้วยกันกลับบอกว่าเก็บของเสร็จแล้วให้ออกเดินทางไปพร้อมกัน
รอจนพวกเขาเก็บข้าวของเรียบร้อยก็เดินออกจากประตูใหญ่ไป เขาพบว่าฮูหยินเหยียนรออยู่นอกประตูอยู่ก่อนแล้ว นางกำลังกำชับพวกบ่าวรับใช้ รถม้าทั้งสองคันเองก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน เฉินเซียงและอิ้งหลีที่ร่วมเดินทางไปด้วยได้นำของกำนัลที่จำเป็ขึ้นไปบนรถม้าคันเล็ก
“ของทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เฉินเซียง อิ้งหลี และหลินชวนทำหน้าที่ได้ดีก็ให้พวกเขาไปกับพวกเ้าแล้วกัน เดินทางระมัดระวังด้วย”
ฮูหยินเหยียนกำชับแล้วส่งถุงหอมให้พวกเขาสองสามีภรรยา
“นี่เป็สิ่งที่ข้าขอมาจากวัด พวกเ้าเอาไปด้วยจะได้คุ้มครองให้พวกเ้าปลอดภัย”
“ขอบคุณท่านแม่”
“ขอบคุณท่านแม่”
สองสามีภรรยากล่าวขอบคุณพร้อมกัน ก่อนจะเก็บไว้เป็อย่างดี
ฮูหยินเหยียนดึงมือของเว่ยซูหานแล้วตบหลังมือเขาเบาๆ
“ไปเถอะ การแต่งงานเป็เื่ใหญ่ในชีวิต ควรบอกพ่อแม่ของเ้าที่อยู่ในยมโลก หลังจากกลับมาก็จงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข อย่าคิดฟุ้งซ่าน อย่าคิดไปเรื่อยเปื่อย ทุกอย่างต้องคิดให้รอบคอบ เ้าอยู่ในตระกูลเหยียนหนึ่งวัน ก็นับว่าเป็คนของตระกูลเหยียน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วเ้าจะทำอะไร ข้าเชื่อว่าชิงเอ๋อร์จะช่วยเ้าได้อย่างแน่นอน”
ในเมื่อบุตรชายตั้งมั่นจะช่วยแล้ว ตระกูลเหยียนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก้าวไปพร้อมกับเว่ยซูหานด้วย
“ขอบคุณท่านแม่”
เว่ยซูหานรับคำอย่างนอบน้อม แล้วมองใบหน้าของเหยียนชิง
เหยียนชิงพยักหน้าให้เขาเช่นกัน “ย่อมเป็เช่นนั้น”
แม้พวกเขาจะไม่พูดออกมา แต่ตนย่อมช่วยเหลือเว่ยซูหาน ช่วยเว่ยซูหานก็เท่ากับช่วยตระกูลเหยียนเช่นกัน
เว่ยซูหานรู้สึกซาบซึ้งใจ ชาตินี้โชคชะตาหันมาสนใจเขาบ้างแล้ว
เมื่อออกเดินทาง เว่ยซูหานกับเหยียนชิงนั่งรถม้าคันเดียวกัน หลินชวนเป็สารถี เฉินเซียง และอิ้งหลีนั่งรถม้าอีกคัน เมื่อกล่าวคำอำลากับฮูหยินเหยียนแล้วก็ออกเดินทางไปยังูเาโดดเดี่ยวนอกเมืองฝูซัง เพราะระยะทางค่อนข้างไกล จึงเตรียมพักค้างคืน
เหยียนชิงมองผ่านหน้าต่างรถม้าไปบนถนนที่ผู้คนขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่งให้ความรู้สึกว่าตนผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ในใจอดทอดถอนใจไม่ได้
เมืองฝูซังเป็เมืองที่ใหญ่ที่สุด และเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแคว้นเทียนซู เป็เมืองที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงอย่างเมืองเทียนซู ตระกูลเหยียนเป็ตระกูลพ่อค้า ในฐานะที่ตระกูลเหยียนเป็ตระกูลที่จัดซื้อสินค้าให้ทางราชวัง ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นจึงสนับสนุนให้ตระกูลเหยียนเป็ตระกูลที่มีชื่อเสียงอย่างแท้จริงในแคว้นเทียนซู และเป็ที่รู้จักกว้างขวางในเมืองฝูซัง ด้วยธุรกิจการค้าของตระกูลหากจะบอกว่าร่ำรวยเทียบเคียงกับแคว้นก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินจริง
เมื่อรวมกับพระราชโองการละเว้นโทษของฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้น และยิ่งการสานสัมพันธ์กับตระกูลเว่ยซึ่งเป็ตระกูลแม่ทัพแห่งเมืองหลวง เหล่าผู้สูงศักดิ์ทั่วไปจะต้องให้ความเคารพอยู่สามส่วน
น่าเสียดายที่เมื่อสี่ปีก่อน เซียนตี้ทรงพระประชวร พระองค์ทรงเริ่มปูทางให้องค์รัชทายาท หนึ่งปีผ่านไปเซียนตี้ทรงประชวรหนัก ทั้งยังทรงพบว่าตระกูลเว่ยได้กระทำความผิดร้ายแรงในการฏต่อแคว้นจึงออกราชโองการประกาศลงไป ตระกูลเว่ยทั้งตระกูลจึงถูกประการเก้าชั่วโคตร
ั้แ่สมัยโบราณความจงรักภักดีเป็สิ่งที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่เพื่อรักษาสายเืของเพื่อนรัก ผู้นำตระกูลเหยียนจึงใช้ราชโองการละเว้นโทษตายปกป้องเว่ยซูหาน และเพื่อไม่ให้ฮ่องเต้เกิดความไม่พอพระทัยกับตระกูลเหยียน จึงเสนอให้เว่ยซูหานแต่งเข้าเป็ภรรยาชาย ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อช่วยเหลือเว่ยซูหาน ตระกูลเหยียนได้จ่ายไปด้วยราคามหาศาล แม้ว่าเบื้องหน้าจะเป็การกระทำด้วยความเมตตาและยุติธรรม
กฎหมายของแคว้นเทียนซูระบุว่า ผู้ที่เป็ภรรยาชายจะต้องไม่สอบเข้ารับตำแหน่งขุนนาง ห้ามเข้าราชสำนัก ห้ามสร้างคุณงามความดี และอยู่หลังเรือนตลอดไปจนแก่เฒ่า
การกระทำนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเซียนตี้ให้ทั้งสองแต่งงานกัน ผู้นำตระกูลเหยียนรุ่นต่อไปต้องแต่งกับเว่ยซูหานเป็ภรรยาชาย เพื่อที่เว่ยซูหานจะไม่ต้องรับโทษปะา
ใกล้สิ้นปี นอกจากเว่ยซูหานแล้ว ตระกูลเว่ยก็ถูกยึดทรัพย์ไปทั้งตระกูล ไม่นานหลังจากนั้นเซียนตี้ก็สิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ในปีเดียวกันผู้นำตระกูลเหยียนที่ป่วยเรื้อรังก็สิ้นใจตาย
อาจกล่าวได้ว่าเมื่อสามปีก่อนเป็ปีที่เกิดเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ของแคว้นเทียนซู
ผู้คนในเมืองเทียนซู และเมืองฝูซังต่างรับรู้ถึงการแต่งงานที่แปลกประหลาดระหว่างตระกูลเหยียนกับตระกูลเว่ย พวกเขาพูดคุยกันอย่างลับๆ บวกกับผู้นำตระกูลเหยียนที่เสียชีวิตจากโรคภัย คนรอบข้างไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเขาเสียใจหรือยินดีกับความโชคร้ายของพวกเขา แต่เมื่อเห็นว่าตระกูลเหยียนไม่ได้ถูกฮ่องเต้องค์ใหม่สร้างความลำบากใจให้ พวกเขายังคงควบคุมเส้นชีวิตทางการค้าของแคว้นเทียนซู แม้ว่าบางคนจะมีความเห็นต่างแต่ก็ไม่กล้าคัดค้าน
ตอนนี้สิ่งที่ทุกคนรออยู่คืออยากรู้ว่าตระกูลเหยียนจะปฏิบัติเช่นไรกับเว่ยซูหาน
ั้แ่สมัยโบราณฐานะของภรรยาชายนั้นต่ำต้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเสียสละเพื่อช่วยเหลือเว่ยซูหานของตระกูลเหยียน แม้ว่าคุณงามความดีจะสมบูรณ์ แต่ส่วนใหญ่แล้วตระกูลเหยียนก็กระทำการเพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้ปรึกษาตระกูลเว่ย ทว่าเพียงแค่คุณชายใหญ่เหยียนลั่วหนีการแต่งงานก็ดูออกว่าคนอื่นๆ ในตระกูลเหยียนไม่พอใจเื่การแต่งงานครั้งนี้แล้ว
ดังนั้นทุกคนจึงกำลังรอดูเื่ตลก
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากประตูเมือง ออกจากถนนที่คึกคักมุ่งหน้าไปยังูเาโดดเดี่ยวในเขตชานเมือง เสียงดังเซ็งแซ่ที่ข้างหูจึงค่อยๆ หายไป
มองคนที่เดินขึ้นรถม้ามาเพื่อพิงกับหน้าต่างแล้ว เดิมทีเว่ยซูหานคิดจะเป็ฝ่ายหาหัวข้อสนทนาพูดคุยก็หยุดไว้ เมื่อมองไปยังเหยียนชิงที่ตอนนี้ยังไม่ผ่านพิธีสวมกวาน แม้ใบหน้าจะยังเยาว์วัย แต่กลับััถึงความรู้สึกหนาวเหน็บราวกับว่าเขาผ่านประสบการณ์ชีวิตมานับไม่ถ้วน ทำให้เขานึกถึงภาพโคมไฟสีเขียวของวัดโบราณแห่งนี้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนในชาติที่แล้ว
เขาอดปวดใจไม่ได้ นี่ไม่ใช่ความคิด และอารมณ์ที่ควรจะมีในวัยนี้
ในเวลานี้เหยียนชิงควรจะไร้กังวล บัณฑิตที่เพียงต้องตั้งใจสอบเข้าเพื่อให้ได้ตำแหน่งขุนนาง จะต้องมีความคิดมากมายเช่นนี้มาจากไหนกัน?
หรือเป็เพราะพวกเขาแต่งงาน จึงเหมือนเป็การตรวนโซ่ที่มองไม่เห็น ฝากภาระหนักอึ้งไว้บนตัวเขา?
ทว่าจู่ๆ นิ้วก็ถูกจับไว้ เหยียนชิงได้สติกลับมา เห็นเว่ยซูหานกำลังขมวดคิ้วมองเขา สีหน้าก็ค่อยๆ อ่อนลง เอ่ยถาม “เป็อะไรไป?”
เว่ยซูหานถอนหายใจเบาๆ
“ข้าควรจะถามเ้าว่าเกิดอะไรขึ้น? ั้แ่ขึ้นมาจนถึงตอนนี้เ้าก็มองดูข้างนอกอย่างใจลอยตลอดเลย”
“ข้า…” เหยียนชิงดึงมือกลับ “ข้าไม่เป็ไร แค่รู้สึกง่วงนอน”
ความคิดอันซับซ้อนทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลียทั้งทางร่างกาย และจิตใจ เขาอยากจะทำอะไรมากกว่านี้ แต่ไม่มีเรี่ยวแรง
แน่นอนว่าเว่ยซูหานไม่เชื่อข้ออ้างนี้อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มิได้เปิดเผยออกมาต่อหน้า เขาย้ายไปนั่งใกล้ๆ ก่อนจะดึงมืออีกฝ่ายไว้พลางกล่าว
“ง่วงนอนก็เอนตัวงีบสักหน่อยเถิด หลายวันมานี้เ้าอ่านหนังสือดึกเกินไป”
หลายวันมานี้เหยียนชิงยุ่งวุ่นวายมาก เขาเอาแต่ก้มหน้าอยู่ในห้องหนังสือจนดึกดื่น เขาเลยไม่กล้าพูดความในใจเล็กๆ น้อยๆ กับอีกฝ่าย และเหยียนชิงก็ยังจำหนังสือที่หล่นลงมาเล่มนั้นไม่ได้ ดูท่าแล้วเขาคงไม่ได้ตั้งใจเตรียมการจริงๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าในเมื่อตนหาไม่เจอก็เลิกสนใจแล้ว…
เหยียนชิงฝืนยิ้ม หลายวันมานี้เขายุ่งอยู่กับการจัดเตรียมการอะไรบางอย่าง เพื่อส่งจดหมายถึงจิงโม่ แน่นอนว่าเป็เื่ยากที่จะบอกเขา ฐานะของจิงโม่ เขาอยากจะหาโอกาสบอกเว่ยซูหานในวันข้างหน้า เพราะสำหรับเขาแล้วจิงโม่เป็ผู้ช่วยผู้อยู่เื้ั ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี
การอยู่ตามลำพังทำให้มองเห็นเบาะแสได้ง่าย มีสมาธิในการขบคิดมากขึ้น เพื่อไม่ทำให้ตนดูผิดปกติเกินไป เหยียนชิงจึงเอนกายพิงเบาะนุ่มข้างๆ เขาแล้วหลับตาลง
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะพักผ่อนก่อนนะ ถึงแล้วเ้าช่วยเรียกข้าด้วย”
เขาเหนื่อยล้า หลับตานอนก็นอนไม่หลับเพราะคิดไตร่ตรองถึงปัญหาบางอย่าง