เมื่อวานเขาเห็นแค่เหนียนยวี่อยู่บนหลังม้า ส่วนเงาร่างสีดำบนหลังม้าที่อยู่ตรงหน้า เขามิเห็นจริงๆ ว่าคนผู้นั้นเป็ผู้ใดกันแน่
และเื่ที่เหนียนยวี่มิได้กลับมาทั้งคืน เป็เพราะนางอยู่กับคนผู้นั้นหรือ?
หนานกงฉี่ขมวดคิ้ว เขามิรู้แน่ชัดนัก เพราะไม่กี่วันมานี้ เหนียนยวี่ได้แต่อาศัยอยู่ในตำหนักองค์หญิงใหญ่ เมื่อคืนนี้ไม่แน่ว่าเหนียนยวี่คงกลับตำหนักองค์หญิงใหญ่เป็แน่
ถึงเวลาเช้าตรู่ ยามที่เหนียนยวี่ตื่นขึ้นมา นางได้ยินเสียงอึกทึกจอแจดังเข้ามาจากข้างนอก เหนียนยวี่จึงเอ่ยเรียกเสียงเบากับข้างนอกว่า “ชิวตี๋หรือ?”
คนที่รออยู่ด้านนอก ครั้นได้ยินเสียงของเหนียนยวี่ในห้อง จึงเร่งรีบยกน้ำล้างหน้าที่เตรียมไว้ั้แ่เช้าเข้ามา มือข้างหนึ่งผลักประตูให้เปิดออก พร้อมเอ่ยทักทายอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส “คุณหนูยวี่ ท่านตื่นแล้ว บ่าวมาคอยปรนนิบัติให้ท่านล้างหน้าบ้วนปากเ้าค่ะ”
ชิวตี๋เป็สาวใช้ในตำหนักองค์หญิงใหญ่ หลายวันก่อนหน้านี้ที่เหนียนยวี่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในตำหนักองค์หญิงใหญ่ สาวรับใช้ผู้นี้คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด ทั้งยังเป็แม่นางที่มีจิตใจดีและคล่องแคล่วว่องไว
“อืม” เหนียนยวี่ส่งเสียงตอบรับ นางลงจากเตียง ในหูยังคงได้ยินเสียงดังจอแจจากด้านนอก จึงเอ่ยถามออกมาว่า “เกิดเื่อะไรขึ้นข้างนอกหรือ?”
องค์หญิงใหญ่ชิงเหอโปรดปรานการทำความสะอาด ยามนี้เพราะองค์หญิงกำลังตั้งพระครรภ์ จึงมิมีเสียงดังรบกวนให้ได้ยินเลย ณ ตำหนักองค์หญิงใหญ่มีกฎห้ามส่งเสียงดังมานานแล้ว ทว่าเหตุใดวันนี้กลับ...
“เรียนคุณหนูยวี่เ้าค่ะ วันนี้เป็วันพิเศษของตำหนักองค์หญิงใหญ่ที่มีขึ้นทุกเดือนเ้าค่ะ ั้แ่ใต้เท้าอัครเสนาบดีสร้างจวนหลังใหม่ ห้องด้านข้างทั้งหมดจึงอยู่ในส่วนของจวนอัครเสนาบดีเ้าค่ะ ถึงแม้ว่าจวนและตำหนักจะอยู่ติดกันก็ตาม ทว่าองค์หญิงใหญ่ทรงมิโปรดให้ไปรบกวนห้องด้านข้างพวกนั้นเ้าค่ะ จึงตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาว่าในวันธรรมดา คนจากฝั่งนั้นห้ามเข้ามา แม้แต่ธรรมเนียมที่ต้องเข้ามาทักทายยังยกเลิกทั้งหมดเ้าค่ะ ยกเว้นวันสำคัญบางวันและวันนี้ของทุกเดือนเ้าค่ะ บรรดาอนุเ่าั้จะต้องพาบุตรธิดาเข้ามาคารวะทักทายตามธรรมเนียมเ้าค่ะ”
ชิวตี๋เอ่ยเล่าความพลางนำผ้ามาชุบน้ำพลาง แล้วจึงยกสองมือยื่นส่งผ้าชุบน้ำนั้นให้เหนียนยวี่ ต่อมาจึงปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหนียนยวี่และคอยจัดแต่งหวีทรงผมให้นางอย่างประณีตที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“ที่แท้เป็เช่นนี้นี่เอง” เหนียนยวี่ที่ได้ฟัง นางหวนนึกถึงพิธียกน้ำชาที่ตัวนางต้องคำนับองค์หญิงใหญ่ชิงเหอในฐานะมารดาบุญธรรม บรรดาอนุภรรยาสองสามคนที่นางเคยเจอเ่าั้ล้วนดูอ่อนน้อมถ่อมตน มิกล้าเอ่ยวาจามากความ คิดดูแล้วที่แท้คงเกรงกลัวฐานะขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ ทว่าถ้วยชานั่น...
เหนียนยวี่ขมวดคิ้ว ผู้ใดที่ไม่อยากเห็นเด็กในครรภ์ขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอเกิดมามากที่สุด?
เกรงว่าจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้จะต่างจากจวนอื่นไม่น้อย ผู้ใดจะพูดเื่คลื่นใต้น้ำในจวนได้อย่างชัดเจน?
“คุณหนูยวี่เ้าคะ เมื่อวานนี้องค์หญิงใหญ่ทรงรับสั่งว่า เช้าวันนี้ให้คุณหนูยวี่ออกไปร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกันเ้าค่ะ” ชิวตี๋เอ่ยปากบอกนางจากด้านหลัง
หลายวันมานี้ คุณหนูยวี่มาพักอยู่ในตำหนัก คนภายนอกจึงพากันคิดว่านางคงถูกปฏิบัติด้วยอย่างเ็า ทว่าจากที่นางเห็น กลับกลายเป็ว่าองค์หญิงใหญ่ดูจะรักใคร่เอ็นดูคุณหนูยวี่ผู้นี้อย่างมาก
“ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกันหรือ?” เหนียนยวี่เลิกคิ้วขึ้น ให้ไปร่วมโต๊ะกับบรรดาอนุจากจวนอัครเสนาบดีที่มาคารวะทักทายเ่าั้หรือ?
“ใช่เ้าค่ะ ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกัน ใต้เท้าอัครเสนาบดียามนี้ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่าราชกิจที่ท้องพระโรงเ้าค่ะ ครั้นเข้าเฝ้าเสร็จก็กลับมาแล้วเ้าค่ะ”
อัครเสนาบดีเซี่ยจะมาร่วมโต๊ะด้วยงั้นหรือ?
เหนียนยวี่นึกคิดบางสิ่ง นางปรายตามองเงาร่างชิวตี๋ที่สะท้อนในกระจกทองแดง จากนั้นจึงทำเป็เปรยถาม “ข้าได้ยินมาว่า เหล่าอนุของใต้เท้าอัครเสนาบดีต่างล้วนมีทายาทกันหมดแล้ว?”
ครั้นเอ่ยถามออกไป มือของชิวตี๋พลันชะงักค้างไปเล็กน้อย ทั้งใบหน้ายังดูห่อเหี่ยวไปชั่วครู่หนึ่ง
“มิใช่หรือไร? ปีนี้คุณชายใหญ่ บุตรชายอนุตู้ก็อายุเข้าสิบสี่ปีแล้ว สมควรแก่การเข้าพิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ในวันพรุ่ง แล้วยังมีคุณชายรอง บุตรอนุฟาง ปีนี้ยังมีอายุแค่แปดขวบ ส่วนอนุกุ้ยนั้นให้กำเนิดคุณหนู ได้ยินเหล่าผู้เฒ่าในจวนพูดกันว่า ยามนั้นองค์หญิงใหญ่เองก็ตั้งพระครรภ์ ทว่ากลับแท้งโดยไร้สาเหตุ หากเด็กคนนั้นได้เกิดมา คงจะโตกว่าคุณชายใหญ่สองสามปี องค์หญิงใหญ่คงมิต้องยอมให้ตนเองลำบาก มิต้องให้อนุของใต้เท้าอัครเสนาบดีเข้ามาอยู่ในห้องด้านข้างพวกนั้น แม้จะไม่ได้อยู่ในจวนเดียวกัน ทว่าองค์หญิงก็ต้องคอยปกป้องใจตัวเองอยู่ทุกวัน”
น้ำเสียงของชิวตี๋ฟังดูไม่พอใจ นางรู้สึกไม่ดีแทนเ้านายของตน
เหนียนยวี่นึกถึงองค์หญิงใหญ่ชิงเหอ รวมถึงข่าวลือเกี่ยวกับเื่ความรักเ่าั้ขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ
นางคงเคยปักใจรักมั่นคงกับบัณฑิตยากจนอย่างมาก สตรีน่ารักสูงส่งั้แ่กำเนิดเช่นนั้น เพราะความรัก นางจึงต่อต้านพี่ชาย ขัดคำสั่งอำนาจของฮ่องเต้ เพียงเพื่อจะได้อยู่ครองคู่กับผู้ที่นางรัก กระทั่งยอมให้ตนลำบากรับอนุเข้ามาแทนเขา เพียงให้มีทายาทสืบต่อสกุลเซี่ย
บัณฑิตยากจนในวันนั้น ยามนี้ได้โบยบินผันตัวขึ้นเป็ถึงอัครเสนาบดีของแคว้น เช่นนั้นความรักระหว่างพวกเขายังคงอยู่เช่นในวันวานหรือไม่?
คำพูดขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอในงานเลี้ยงฉีเฉี่ยวที่สวนบุปผายวี่ฮวาวันนั้นยังคงดังสะท้อนก้องอยู่ข้างหูของเหนียนยวี่
‘เมื่อเทียบกับขุนนางแล้ว ข้าชอบความรักและการแต่งงานของคนธรรมดามากกว่า น่าเสียดายที่ตอนนั้นมีโอกาส...’
คำพูดนี้ขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ มิใช่หมายความว่า ความรักที่นางเคยเสาะหาได้เปลี่ยนไปแล้วงั้นหรือ?
“คุณหนูยวี่เ้าคะ พวกเราไปที่ห้องรับรองกันตอนนี้เลยดีหรือไม่เ้าคะ?”
ระหว่างที่เหนียนยวี่กำลังครุ่นคิดใคร่ครวญ ชิวตี๋นำลูกปัดที่ร้อยเรียงเป็รูปบุปผาเสียงลงบนเส้นผมของเหนียนยวี่ นางจ้องมองภาพสะท้อนของเหนียนยวี่บนกระจกทองแดง ดวงตามิอาจปิดบังอาการตื่นตะลึงกับความงดงามนั้น
ในแวบแรกที่นางได้พบคุณหนูยวี่ นางไม่อาจเบือนสายตาจากคุณหนูยวี่ไปได้ เฉกเช่นเดียวกับหลายวันนี้ คุณหนูยวี่ยิ่งมองยิ่งงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น มิหวาดหวั่นสงบนิ่งราวธารน้ำพุใสสะอาด ทว่ามิอาจหยั่งมองเบื้องลึกของธารน้ำ
เหนียนยวี่ตอบรับ นางลุกยืนขึ้น จากนั้นไม่นานคนทั้งสองจึงก้าวเดินออกจ้างห้องไป
ระยะทางระหว่างเรือนของเหนียนยวี่กับเรือนรับรองแขกนั้นค่อนข้างไกล หลังจากเดินผ่านสวนและผ่านทะเลสาบแล้วจึงค่อยๆ เข้าใกล้ห้องโถง ยิ่งใกล้โถงหน้ามากเท่าใด ก็ยิ่งมีเสียงดังจอแจมากขึ้นเท่านั้น
รอจนเหนียนยวี่เข้าไปใกล้ จึงได้เห็นที่มาของเสียงจอแจนั้นอย่างชัดเจน
บริเวณพื้นที่โล่งแจ้งด้านหน้าห้องโถงรับรอง เด็กชายสองคนกำลังเล่นวิ่งไล่จับกันเสียงดัง ด้านข้างมีบ่าวรับใช้สองสามคนคอยเฝ้ามองอย่างยิ้มแย้ม ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง มีสตรีแต่งตัวหรูหราสามคนยืนอยู่ข้างๆ เหนียนยวี่จำพวกนางได้ นางเคยเห็นสตรีทั้งสามคนนั้นที่ตำหนักองค์หญิงใหญ่ครั้งหนึ่งในวันนั้น
อนุทั้งสามของจวนอัครเสนาบดี
ยามที่เหนียนยวี่มองไปที่พวกนาง สตรีทั้งสามคนตรงนั้นเองก็มองมาที่นางพอดี ครั้นพวกนางเห็นเหนียนยวี่ ในดวงตาของพวกนางทุกคนเสี้ยววินาทีหนึ่งฉายแววเหยียดหยามพาดผ่าน ทว่าจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ทุกสิ่งอย่างอยู่ในสายตาของเหนียนยวี่ ทว่านางกลับมิได้รู้สึกขุ่นเคืองแต่อย่างใด ใบหน้ายังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มราบเรียบ
“เ้า...ใช่แล้ว เป็เ้านี่เอง เ้าคือคุณหนูรองผู้ที่ไม่มีใคร้าคนนั้น เอาแต่เกียจคร้านอยู่ในจวนอัครเสนาบดีใช่หรือไม่?”
ทันทีทันใดนั้นกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น หินก้อนหนึ่งกระแทกเข้าที่หลังมือของเหนียนยวี่ หินก้อนนั้นลูกไม่ใหญ่นัก ทว่าจากการขว้างปาเข้ามา ทำให้ทิ้งรอยแดงไว้
เหนียนยวี่ขมวดคิ้วมุ่น ชิวตี๋เข้ามายืนบังหน้าปกป้องเหนียนยวี่ไว้ พลางเอ่ยว่า “คุณชายใหญ่เ้าคะ คุณหนูยวี่เป็แขกผู้สูงศักดิ์ของตำหนักองค์หญิงของพวกเราเ้าค่ะ”
“คนเยี่ยงนี้ยิ่งกว่าต่ำช้า หากคุณชายเช่นข้าจะสั่งสอนเ้าแทนมารดาเ้า แล้วมันอย่างไรเล่า?”
สั่งสอนนางแทนมารดานางหรือ?
หึ คุณชายใหญ่ผู้นี้ ช่างหาญกล้ายิ่งนัก!
แววตาเหนียนยวี่ฉายแววคมปลาบเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มลุ่มลึก นางก้าวเดินตรงไปข้างหน้าคุณชายใหญ่คนนั้น “คุณชายท่านนี้นิสัยสง่างาม ใบหน้าสูงส่ง มารดาต้องงดงามเฉลียวฉลาดมากเป็แน่”