“ใช่แล้ว ซานกุ้ย ต่อไปเ้าอย่าเปลืองแรงไปทำเื่ที่ไม่เป็ศรีแก่ตัวเช่นนี้เถิด” จางกุ้ยฮัวก็โน้มน้าวเขาอีกแรง
หลิวซานกุ้ยพยักหน้าตอบ ทุกเื่ที่เกี่ยวข้องกับภรรยาและบุตรของตน เขาจะเก็บไว้ในใจและจำไว้ในสมอง
เมื่อเห็นใบหน้าลังเลของจางกุ้ยฮัว อีกทั้งท่าทางจะพูดแต่ก็ไม่พูด จึงเกิดความสงสัย เมื่อเขาถามย้ำหลายรอบ นางถึงตอบว่า “นับแต่น้องชายข้าจากไป ข้าไม่ค่อยได้กลับบ้านแม่ ตอนนี้ครอบครัวเราเริ่มดีขึ้น ข้าจึงอยากไปเยี่ยมแม่ข้า”
“แต่ก่อนข้าไม่ดีเอง เ้าอย่าได้โกรธเคืองข้าเลย” หลิวซานกุ้ยเริ่มเล่าเรียนมากขึ้นจึงยิ่งถ่องแท้ในหลายๆ เื่ เขาละอายใจต่อพฤติกรรมของตนเองในอดีต เดิมทีคิดว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดีและอยากหาโอกาสไปเยี่ยมแม่ภรรยาของตน แต่ไม่คิดว่า ภรรยาจะเอ่ยขึ้นมาเอง
“เราคงต้องวางแผนกันดีๆ ใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์พอดี เราหาโอกาสไปเยี่ยมท่านแม่กันทั้งครอบครัวดีหรือไม่”
จางกุ้ยฮัวมีความสุขมาก แต่เมื่อนึกถึงหลิวฉีซื่อซึ่งเป็แม่สามีจอมโหด จึงเกิดความกังวล “กลัวเพียงแต่ว่าท่านแม่จะไม่อนุญาต”
หลิวซานกุ้ยคิดเื่นี้อยู่ครู่หนึ่งแล้วมีแผนในใจ “เราก็แค่เอาฟักทองในแปลงผัก ถั่วแขกไปด้วย คิดว่าท่านแม่ข้าคงไม่ว่าแน่นอน”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็เห็นจางกุ้ยฮัวตกตะลึงไปชั่วขณะ คงเพราะแตกต่างจากที่นางคิดไว้
หลิวซานกุ้ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “ภรรยาของข้า นิสัยของเ้ามีหรือข้าจะไม่รู้ ท่านแม่ต้องใช้ชีวิตลำบากผู้เดียว ตอนนี้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น ย่อมต้องตอบแทนเยอะหน่อย ความหมายของข้าคือนั่นเป็เพียงเบื้องหน้า นอกเหนือจากนั้นเราค่อยเอาเงินให้ท่านแม่ครึ่งพวง”
เดิมทีจางกุ้ยฮัวรู้สึกหดหูเล็กน้อยก็โล่งอก
หลิวเต้าเซียงที่อยู่ด้านข้างไม่อยากเหงา กลัวว่าบิดามารดาตนเองจะมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น นางเขย่งขาเกาะอยู่บนคั่งแล้วเอ่ย “ยังมีข้า ยังมีข้า ท่านพ่อ ท่านแม่ ไก่ที่ข้าเลี้ยงไว้ที่บ้านท่านป้าหลี่ก็วางไข่แล้ว เรารออีกสักหน่อย รอข้าสะสมไข่ได้ห้าสิบใบ จะได้เอาไปให้ท่านยายกิน”
ไม่ใช่ว่าหลิวเต้าเซียงไม่อยากเอาไปมากกว่านี้ เพียงแต่นางนำไข่ไก่ก่อนหน้านี้ไปขายเพื่อทำบัญชีต่างหาก เงินก้อนนี้ต่อไปจะไว้ใช้สำหรับในบ้าน
อีกอย่างคือจางกุ้ยฮัวมีมารดาอยู่บ้านคนเดียว ลำพังคนเดียวคงกินไม่ได้มากมาย ต่อไปนางค่อยเอาไข่ไก่สดใหม่ไปให้อีกก็ได้
จางกุ้ยฮัวได้ยินดังนั้นจึงดีใจอย่างมาก ขานเรียกลูกรัก เสี่ยวเหมียนอ๋าว
หลิวชิวเซียงเห็นแล้วก็กังวล บิดามารดากับน้องรองต่างก็มีของขวัญแล้ว ตนเองควรเตรียมอะไรดี?
หลิวเต้าเซียงอยู่ในอ้อมกอดของจางกุ้ยฮัว มองเห็นพี่สาวหน้านิ่วคิ้วขมวดกันจนเป็ก้อน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเหอะๆ
หลิวชิวเซียงเห็นแล้วจิตใจก็งุ่นง่าน แต่ก็ไม่อยากถือสานาง จึงตำหนิไปว่า “รู้แล้วว่าเ้าหลักแหลม เห็นข้าไม่มีของขวัญ เ้าไม่ช่วยคิดหาวิธี ยังมาหัวเราะเยาะข้าอีก”
“ท่านแม่ ดูท่านพี่สิ นางดุข้า เฮอะ เดิมทีข้าเองก็มีวิธี ตอนนี้ข้าไม่พอใจแล้ว ข้าไม่บอกหรอก”
บางทีอาจเป็เพราะชีวิตครอบครัวดีขึ้น จางกุ้ยฮัวไม่ได้อยู่อย่างหดหู่อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ นางกับหลิวซานกุ้ยจึงรักใคร่เอาใจใส่บุตรสาวทั้งสามอย่างมาก
ตอนนี้พอเห็นว่าบุตรสาวคนโตเริ่มกังวล จึงเอื้อมมือออกไปตบก้นเล็กของหลิวเต้าเซียงสองที แล้วดุด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ตีก้นเ้าสักทีสิ แม่รู้แล้วว่าเ้าคิดอะไรอยู่ เฮอะ พี่สาวเ้านอกจากจะทำงานบ้านเป็ คิดว่าข้าไม่รู้หรือ หลายเดือนมานี้เ้าแอบยุให้นางไปฝึกเย็บปักถักร้อยกับชุ่ยฮัว เย็บปักก็ดี อยู่ด้วยกันอย่างน้อยก็มีเพื่อน ไม่รู้ว่าชุ่ยฮัวเกิดนึกอะไรขึ้น งอแงว่าอยากเลี้ยงไก่ยี่สิบกว่าตัว เลี้ยงก็เลี้ยงไป แต่กลิ่นมูลไก่นั้นแย่มากไม่พอ แล้วยังทะเลาะกับไก่ทุกวัน ทำเอาบนพื้นมีแต่ขนไก่”
หลิวซานกุ้ยฟังอย่างสนุกสนาน ยิ้มแย้มแล้วเอ่ย “ชิวเซียงในเมื่อเย็บปักถักร้อยเป็ ไม่อย่างนั้นก็ทำอะไรให้ยายของเ้าสิ”
“ข้าเองก็วางแผนที่จะทําเช่นนี้ ประจวบกับที่บ้านยังมีผ้าฝ้ายที่เหลือจากทำชุดฤดูร้อนคราวก่อนเล็กน้อย หากนำมาตัดเย็บสักหน่อยก็คงพอทำถุงเท้าผ้าฝ้ายได้สักสองสามคู่”
จางกุ้ยฮัวได้ยินดังนั้นก็ปลื้มปริ่ม แม้ว่าจะเป็เนื้อผ้าขอบๆ แต่ก็เป็ผ้าฝ้ายชั้นดี เวลาสวมใส่ก็สบายเท้า ยิ่งนำไปมอบได้อย่างหน้าชื่นตาบาน
ก่อนหน้านี้หลิวเสี่ยวหลันยังคิดจะขอผ้าขอบเหล่านี้กับนาง แต่เพียงได้ยินคำว่าของราคาถูกจากหลิวเต้าเซียงก็ไม่คิดเหลียวแลอีก บอกว่าตนเองขี้คร้านไปค้นหา แล้วยังบอกกับหลิวเสี่ยวหลันว่า นางไปช่วยงานของหญิงสาวผู้มั่งมีในตำบล บังเอิญได้ยินคนรับใช้กล่าวกันว่า ทุกคนต่างก็สวมถุงเท้าผ้าไหม
หลิวเต้าเซียงบีบคั้นแบบนี้ หลิวเสี่ยวหลันไม่มีหน้าจะขอผ้าฝ้ายอีก หลังจากนั้นไม่นานก็เห็นหลิวเสี่ยวหลันสวมถุงเท้าผ้าไหมหูโจวสีชมพูคู่หนึ่ง
ทั้งครอบครัวร่วมมือกันจึงจัดการเื่มารดาของจางกุ้ยฮัวเรียบร้อย รอเพียงหลิวซานกุ้ยหาจังหวะบอกกับหลิวฉีซื่อ
ว่ากันว่า เมื่อคนเราจิตใจเป็สุขก็มักจะมีเื่โชคดี
ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงเพิ่งตัดสินใจเื่นี้กัน วันต่อมาก็มีคนส่งจดหมายมาว่า ครอบครัวหลิวสี่กุ้ยที่อยู่เมืองฝู่เฉิงซึ่งไกลออกไปไม่สามารถกลับมาได้ทั้งหมด แต่หลิวสี่กุ้ยให้หลิวจื้อเซิ่งกับหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์กลับมาร่วมเทศกาลกับปู่ย่า
หลังจากที่หลิวฉีซื่อได้รับจดหมายฉบับนี้ นางก็มีความสุขทั้งวัน
เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ นางก็สั่งจางกุ้ยฮัวว่า “กุ้ยฮัว หลานชายคนโตของเ้าและหลานสาวคนโตของเ้ากําลังจะกลับมาบ้าน ช่วยเก็บข้าวของห้องปีกทิศตะวันออกออกมา ดูสิว่าตรงไหนที่ควรเพิ่มเติมก็เพิ่มเติมเข้าไป ส่วนที่ควรเก็บก็ จัดการปัดกวาดทำความสะอาด ครอบครัวลูกใหญ่ไปยังเมืองฝู่เฉิง นานทีปีหนกว่าจะได้กลับมา หนนี้เซิ่งเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์กลับมาพักหลายวัน รอผ่านพ้นเทศกาลเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ผลิ ข้ากับหลันเอ๋อร์ก็จะส่งทั้งสองกลับเมืองฝู่เฉิง”
หลิวเต้าเซียงคนข้าวต้มผักกวางตุ้ง ดวงตาเป็ประกายก็ไหวไปมา
หลิวชิวเซียงแอบซุบซิบกับนาง “น้องรอง คิดอะไรน่ะ ผักกวางตุ้งจะถูกเ้ายัดเข้าไปในรูจมูกแล้ว”
“พี่ใหญ่ พี่ว่าเหตุใดท่านย่าจู่ๆ ก็นึกจะไปเมืองฝู่เฉิง? หลายปีมานี้ไม่เคยได้ยินนางมีความคิดนี้” หลิวเต้าเซียงรู้สึกกังวลในใจ เกรงว่าท่านย่าผู้ไร้ความเมตตาจะขายนางไปเป็คนรับใช้จริงๆ
หลิวชิวเซียงรู้สึกถึงความประหม่าของน้องสาว จึงเอื้อมมือออกไปโอบไหล่นาง แล้วเอ่ย “อย่ากลัวไป คุณชายซูบอกแล้วไม่ใช่หรือ ่เทศกาลจะส่งคนมาถามไถ่ ข้าว่าเขาคงไม่ใช่ผู้ที่รับปากใครไปเรื่อย ต้องทำได้แน่นอน เช่นนั้นท่านย่าคงไม่มีทางขายเ้า อีกอย่างข้าแล้วก็ท่านพ่อท่านแม่ไม่มีทางยินยอม”
ณ จุดนี้หลิวชิวเซียงมีความมุ่งมั่นอย่างมาก เพราะความสามารถในการหาเงินของน้องสาวนั้นเก่งกาจมาก นางเคยได้ยินท่านพ่อกับท่านแม่กล่าวว่า น้องสาวของตนหาเงินตั้งตัวได้ไม่น้อย
เนื่องจากหลิวชิวเซียงรู้ว่าหลิวเต้าเซียงหาเงินซื้อบ้านได้หนึ่งหลัง สิ่งนี้จึงกลายเป็เป้าหมายที่ทำให้นางมีความพยายาม เมื่อมีเวลาว่างก็จะขึ้นไปบนูเาเพื่อเก็บเห็ด ขุดมันฝรั่งและอื่นๆ เพื่อหาเงิน
มันเทศเป็ยาบำรุง นางยังเคยได้ยินหลิวเต้าเซียงพูดถึงเื่นี้ และได้ยินว่าสามารถนำไปแลกเงินในร้านยาได้ ยิ่งทำให้นางมุ่งมั่นเป็อย่างมาก
ทุกวันนี้นางพยายามขุดสมุนไพร เก็บเห็ด แล้วปักกระเป๋าผ้าสองสามใบ จนเริ่มมีเงินเก็บส่วนตัวบ้างแล้ว แม้ว่าจะเทียบกับหลิวเต้าเซียงไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มีเงินหนึ่งพวงแล้ว
ในความเป็จริง สมุนไพรส่วนใหญ่ที่หลิวเต้าเซียงกล่าวถึงนั้นมีมูลค่า ส่วนเื่การเย็บปักเ่าั้เป็เพียงผลพลอยได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็หันไปมองหลิวเต้าเซียงอีก ไม่รู้ว่าเหตุใดน้องรองของตนถึงได้ฉลาดเฉลียวปานนี้
หลิวเต้าเซียงที่อยู่ด้านข้างกําลังคิดถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ย่อมไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของหลิวชิวเซียง
นางไตร่ตรองในใจอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจรอดูเทศกาลไหว้พระจันทร์ก่อนว่า ซูจื่อเยี่ยจะส่งคนมามอบของกำนัลหรือไม่ หากว่ามีคนมา นางย่อมไม่เป็กังวล หากไม่มีคนมา นางต้องอาศัยจังหวะที่หลิวฉีซื่อไปเมืองฝู่เฉิง รีบคิดหาหนทางดับความคิดที่้าขายนาง
ขณะที่ยังครุ่นคิดเื่นี้ ข้างๆ ก็มีเสียงแหลมปรี๊ดที่แฝงด้วยความไม่พอใจของหลิวฉีซื่อดังขึ้น
“อะไรนะ จะไปบ้านแม่ภรรยาของเ้า?”
“เอาเถิด โวยวายอะไรกัน เมื่อครู่ลูกก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า ไม่ได้กลับไปเยี่ยมเยียนนานหลายปี ระยะทางก็ไม่ได้ไกล ตอนนี้เป็่ที่ว่างพอดี ให้ซานกุ้ยพากุ้ยฮัวและลูกๆ ไปเยี่ยมบ้างก็ดี จะว่าไป แม่ของกุ้ยฮัวก็ลำบาก ใช้ชีวิตคนเดียวเกรงว่าคงไม่ง่ายดาย วันรุ่งขึ้นให้ซานกุ้ยพาพวกนางไปเยี่ยมเยียนก็ดี”
จริงๆ แล้วหลิวต้าฟู่ยังรู้สึกว่าจางกุ้ยฮัวคือลูกสะใภ้ที่ดีมาก นางเป็ลูกสะใภ้ที่เขาตกปากรับคำ และยังเป็เพียงคนเดียวอีกด้วย
เมื่อหลิวซานกุ้ยเสนอว่าเขา้าไปเยี่ยมมารดาของจางกุ้ยฮัว่ก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์ หลิวต้าฟู่ก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ในเมื่อหลิวต้าฟู่อนุญาตแล้ว หลิวฉีซื่อจะคัดค้านก็คงเปล่าประโยชน์ แม้ว่านางจะมีสินเ้าสาวมากมาย แต่ในราชวงศ์โจวที่สามีเป็ใหญ่ บางคราก็จำต้องเชื่อฟังเขา
“ในเมื่อพ่อของพวกเ้ายินยอมแล้ว ข้าพูดอะไร พวกเ้าก็คงไม่ฟัง ทว่า อย่าคิดจะเอาเงินที่ได้จากข้าไปซื้อของเชียว”
นางยังคงจําเงินที่หลิวซานกุ้ยพรากไปก่อนหน้านี้ได้ จนถึงตอนนี้ก็ยังจำได้ จึงมีความคิดที่ว่าประหยัดได้นิดหน่อยก็ยังดี และตั้งใจว่าจะไม่ควักออกมาอีกแม้แต่แดงเดียว
หลิวต้าฟู่นั่งอยู่ด้านข้างและไอสองสามครั้ง คิ้วของหลิวฉีซื่อยกชี้ขึ้น ดวงตาชราเหลียวมองเขา พร้อมกับเอ่ยอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ “เ้ายัง้าอะไรอีก?”
นางเห็นแก่หน้าตาเฒ่าถึงตอบตกลง นี่คือการถอยให้อย่างถึงที่สุด หากยังคิดจะให้นางควักเงิน ฮึ ไม่มีทาง
หลิวต้าฟู่มีสีหน้าลำบากใจ คิดดูแล้วจึงเอ่ย “เฮ้อ จะปล่อยให้ลูกทั้งสองไปมือเปล่าได้ที่ไหนเล่า? ครอบครัวเราเองก็ใช่ว่าจะลำบากตรากตรำเพียงใด อย่างไรก็สมควรมีของติดไม้ติดมือไปเยี่ยมถึงจะถูก”
ไม่ว่าใบหน้าของเขาจะหนาแค่ไหน ก็ไม่มากพอที่จะปล่อยลูกชายไปที่ประตูบ้านภรรยาแบบมือเปล่า
“ไม่มีก็คือไม่มี ก็แค่หญิงแม่หม้ายคนเดียวไม่ใช่หรือ ยังต้องเอาของติดไม้ติดมืออะไรอีก ไม่รู้ว่าไปเสียตัวให้ใครมาบ้าง!”
จางกุ้ยฮัวที่อยู่ด้านข้างได้ยินถึงกับหน้าซีด หลิวฉีซื่อเอ่ยถึงมารดาของตนเช่นนี้ ย่อมเสมือนทำให้นางแปดเปื้อน จึงลุกพรวดขึ้นมา เบิกตากว้างจ้องไปที่หลิวฉีซื่อ “ท่านแม่ ท่านเองก็เป็ผู้หญิง ถึงอย่างไรก็ไม่ควรเอ่ยถึงแม่ข้าเช่นนี้ อีกอย่าง แม้ว่าท่านแม่ข้าจะเป็แม่หม้าย แต่นางก็ทำตัวสะอาด ไม่เคยไปทำอะไรนอกลู่นอกทาง นางเลี้ยงดูข้ากับน้องชายมาอย่างดี ท่านแม่ ก่อนที่ท่านจะพูดอะไร ได้โปรดลองหาความเมตตาของตนเองก่อนว่ายังมีอยู่หรือไม่”
หลิวเต้าเซียงฟังแล้วรู้สึกได้ระบายไปด้วย นางอยากปรบมือให้มารดาตนเองเหลือเกิน นี่คือการต่อว่าหลิวฉีซื่อทางอ้อมว่าหัวใจถูกสุนัขคาบไปรับประทานแล้วหรือ
หลิวฉีซื่อที่เห็นลูกไม้เหล่านี้มาั้แ่เด็กจนเคยชิน ย่อมฟังออกว่าจางกุ้ยฮัวกำลังด่านางทางอ้อม จึงโมโหจนมือไม้สั่น คว้าตะเกียบแล้วฟาดไปทางจางกุ้ยฮัวเต็มแรง
-----
