ที่แท้แขกท่านนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็โจวโม่เสวียน บุตรชายคนเล็กของเยี่ยนหวัง อ๋องผู้ปกครองเมืองเยี่ยน
ปีนี้โจวโม่เสวียนอายุสิบสองแล้ว เป็บุตรชายที่เกิดจากเยี่ยนหวังเฟย พระชายาเอกของเยี่ยนอ๋อง พี่น้องแท้ๆ กับเยี่ยนหวังซื่อจื่อ[1] เมื่อเกิดมาก็ถูกราชวงศ์แต่งตั้งให้เป็ท่านชายขั้นสอง
หลายวันก่อนหน้านี้ เขาและเยี่ยนหวังเฟยไปที่จวนเยี่ยนหวังด้วยกัน ซึ่งเป็เคหาสน์ที่สร้างอยู่บนเขาเฟิ่งหวง เพื่อไปเยี่ยมเยียนฉินไท่เฟย เสด็จแม่ของเยี่ยนหวังที่มาหลบร้อนอยู่ที่นั่น
เมื่อมีจดหมายมาจากจวนเยี่ยนหวังว่า หลานชายของฉินไท่เฟยใกล้จะถึงเมืองเยี่ยนแล้ว ฉินไท่เฟยร้อนใจอยากพบญาติจึงเปลี่ยนใจ และเสด็จจากเขาเฟิ่งหวงมาที่เมืองเยี่ยนแทน
จากเขาเฟิ่งหวงไปเมืองเยี่ยน จะต้องผ่านตำบลจินจี
ฉินไท่เฟย เยี่ยนหวังเฟย และพระโอรส มาถึงตำบลจินจีตอนกลางคืน จึงพักอยู่ที่ศาลาพักม้า เพื่อเตรียมออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น
ผู้ใดจะรู้ ฉินไท่เฟยตื่นเต้นตลอดคืนจนนอนไม่หลับ มาหลับอีกทีเกือบเช้า เมื่อตื่นขึ้นมาก็ใกล้เที่ยงแล้ว
ฝนตกหนัก แม้คนไม่อยากอยู่ แต่สภาพอากาศกลับรั้งไว้ ตำบลจินจีอยู่ห่างจากเมืองเยี่ยนไม่ถึงหกสิบลี้ แต่ขบวนเสด็จกลับเดินทางต่อไปไม่ได้ ฉินไท่เฟยคิดว่าที่พักที่ศาลาพักม้าจัดเตรียมไว้ให้สะอาดสะอ้าน ของกินก็นับว่าถูกปาก จึงพักต่ออีกหนึ่งคืน
แต่อาหารที่ศาลาพักม้ากลับไม่ถูกปากโจวโม่เสวียน ท่านชายท่านนี้ถูกชุบเลี้ยงมาเป็อย่างดีที่จวนอ๋อง จึงค่อนข้างพิถีพิถันกับอาหารการกิน มีนิสัยเลือกกินอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็รู้สึกขัดตาไปเสียหมด
ใต้เท้าห่าวได้ยินพ่อบ้านจวนอ๋องกล่าวว่า โจวโม่เสวียนชอบกินของแปลกใหม่ จึงส่งใต้เท้าหลิวผู้ช่วยไปซื้อแป้งย่างใส่ไข่
เดิมทีโจวโม่เสวียนไม่เชื่อว่าในตำบลเล็กๆ อย่างตำบลจินจี จะมีอาหารดีๆ มีหนึ่งไม่มีสอง เมื่อได้กินแป้งย่างใส่ไข่จึงค่อยเชื่อ
ไม่เพียงแป้งย่างใส่ไข่ แม้แต่แป้งย่างต้นหอมก็ยังมีรสชาติดี
โจวโม่เสวียนจึงชักชวนให้เยี่ยนหวังเฟยและฉินไท่เฟยลองชิมแป้งย่าง ผู้าุโทั้งสองไม่ว่าอาหารอะไรก็เคยกินมาหมดแล้ว เมื่อกินแป้งย่างทั้งสองชนิดเข้าไปก็กล่าวชมเชยกันใหญ่
ด้วยเหตุนี้โจวโม่เสวียนจึงให้ใต้เท้าห่าวไปซื้อแป้งย่างมาอีกแปดร้อยแผ่น เช้าวันต่อมาจึงให้คนรีบควบม้านำมาส่งที่จวนเยี่ยนหวัง ให้เยี่ยนหวัง ซื่อจื่อ และคนในจวนกินเป็อาหารเช้า
ส่วนค่าแป้งย่างนับว่าอยู่ในค่าพักผ่อนสองคืน พ่อบ้านจวนเยี่ยนหวังให้ตั๋วเงินกับใต้เท้าห่าวไปทั้งหมดสองร้อยตำลึง
ใต้เท้าห่าวรับมาเพียงหนึ่งร้อยตำลึง ตอนไปส่งโจวโม่เสวียนออกเดินทาง ยังทำใจกล้าขอร้องด้วยใบหน้าที่เคารพนบนอบว่า “กระหม่อมดูแลศาลาพักม้าที่ตำบลจินจีมาสิบเอ็ดปีแล้ว ขอท่านชายโปรดทูลเื่ดีๆ ของกระหม่อมต่อท่านอ๋องสักหลายประโยคด้วยเถิด”
โจวโม่เสวียนสวมชุดผ้าไหมสีม่วง มีใบหน้าหล่อเหลาดังเทพบุตร ผิวขาวละเอียด รูปหน้าเรียวยาว คิ้วเข้มดุจกระบี่ ดวงตาดอกท้อ ตาและคิ้วเฉียงขึ้น จมูกโด่ง ริมฝีปากแดง นับว่ามีใบหน้าหล่อเหลาเป็เอก เพียงแต่บุคลิกดูดุดันและเ้าเล่ห์คล้ายจิ้งจอกหนุ่ม เขาปรายตามองไปยังใต้เท้าห่าวที่มีผมสีดอกเลาเต็มหัว อายุมากกว่าเสด็จย่าของตนเสียอีก แล้วกล่าวเพียงคำเดียวว่า “ได้”
ทั้งสามยังไปไม่ถึงเมืองเยี่ยน แต่แป้งย่างแปดร้อยแผ่นก็ถูกส่งไปที่จวนเยี่ยนหวังแล้ว ได้นำถวายแก่เยี่ยนหวังและเสนาธิการทัพคนสนิท แต่ละคนต่างพากันกินแป้งย่างที่โจวโม่เสวียนส่งมาให้
“ในแป้งมีไข่ไก่ ในไข่ไก่ก็มีแป้ง นี่คือแป้งย่างใส่ไข่!”
“เมืองเยี่ยนมีโรงเตี๊ยมมากเพียงนั้น บนถนนหนทางมีร้านแป้งย่างก็หลายร้าน แต่กลับไม่มีร้านใดทำแป้งย่างใส่ไข่ได้เลย”
“แป้งย่างนี้นำไปย่างจนเป็สีเหลืองทองทั้งสองด้าน กลิ่นของไข่ไก่ก็หอมละมุน รสชาติก็อร่อย”
“ท่านชายอยู่ด้านนอกยังคิดถึงพวกเรา”
แต่ละคนนึกถึงความดีของโจวโม่เสวียน และได้รู้จักแป้งย่างใส่ไข่แล้ว แป้งย่างใส่ไข่จึงมีชื่อเสียงในจวนเยี่ยนหวังนับจากนั้นมา
ในจวนอ๋องมีพ่อครัวสิบคน ในหมู่พ่อครัวมีอยู่สองคนที่เป็พ่อครัวเลื่องชื่อด้านอาหารเหนือ
คนในจวนถามพ่อครัวสองคนนี้ว่า “พวกท่านทำแป้งย่างใส่ไข่ได้หรือไม่”
“พวกท่านกรอกไข่ไก่เข้าไปในแป้งย่างได้หรือไม่”
ครอบครัวทั้งสองเป็คนฉลาดตอบไปว่า “หากพวกเราทำได้ แป้งย่างเช่นนี้ก็คงไม่เข้าตาท่านชายหรอก”
“ท่านชายซื้อแป้งย่างใส่ไข่มีหนึ่งไม่มีสองมาจากทางเหนือให้ทุกคน หากพวกเราทำเป็ แป้งย่างนี้คงไม่เรียกว่ามีหนึ่งไม่มีสองหรอก”
แต่พวกเขาตัดสินใจแล้วว่า จะรีบศึกษาวิธีทำแป้งย่างใส่ไข่ออกมาให้ได้
แม้โจวโม่เสวียนอายุยังน้อยและมีบุคลิกนิสัยดุดัน แต่กลับไม่เคยผิดคำพูด เื่ที่ตอบรับใต้ท้าวห่าวไปแล้วก็ทำจริงๆ
แต่เขาไม่ได้พูดต่อหน้าเยี่ยนหวังผู้เป็เสด็จพ่อโดยตรง กลับไปพูดเื่นี้กับโจวจิ่งวั่งผู้เป็เยี่ยนหวังซื่อจื่อ คือพี่ชายคนโตของตน
โจวจิ่งวั่งพูดตรงๆ ว่า “ห่าวทงที่เ้าว่า หากให้ติดตามสนมของเสด็จพ่อคงไม่เป็ไร คุณธรรมก็นับว่าใช้ได้ ข้าจะจัดแจงให้เขาเอง”
นอกจากฉินไท่เฟยแล้ว ส่วนของเรือนหลัง เยี่ยนหวังโจวปิงยังมีสตรีอื่นอยู่ด้วย ตอนนี้สนมที่คลอดบุตรธิดาให้เยี่ยนหวังก็มีเช่อเฟย (ชายารอง) สองคน และอนุภรรยาอีกสองคน
ฉินหวังเฟยให้กำเนิดบุตรชายสองคนและบุตรีสองคน ล้วนถูกราชสำนักแต่งตั้งเป็ซื่อจื่อ ท่านชายและท่านหญิง
ส่วนบุตรธิดาที่เกิดจากเช่อเฟยและอนุภรรยาทั้งสี่ไม่มีแม้กระทั่งตำแหน่งทางราชการ ในใจของพวกนางรู้สึกไม่ยุติธรรมยิ่งนัก มักพูดจาเป่าหูโจวปิงที่ข้างหมอน ให้เขาช่วยผลักดันญาติพี่น้องไปรับราชการที่เมืองทางเหนือแต่ละแห่ง
โจวปิงจัดตำแหน่งให้ญาติสิบกว่าคนของเช่อเฟยและอนุภรรยาแล้ว บางคนเป็เ้าหน้าที่อยู่ในเมืองระดับหนึ่ง แต่พวกนางก็ยังไม่รู้จักพอ
หลายวันมานี้ เช่อเฟยและอนุภรรยาทั้งสี่ถือโอกาสที่ฉินหวังเฟยไม่อยู่ วิ่งเต้นเื่ตำแหน่งราชการให้ญาติพี่น้องของตนเอง
ตำแหน่งทางราชการก็เหมือนหัวไชเท้าที่ปลูกได้หลุมละต้น ขุนนางผู้มีความสามารถไม่ได้รับตำแหน่ง ส่วนขุนนางไร้ความสามารถกลับได้รับตำแหน่ง ทำให้ โจวจิ่งวั่งผู้ที่จะเป็เยี่ยนหวังในอนาคตรู้สึกไม่สบายใจในเื่นี้มาก
โจวโม่เสวียนพูดขึ้นด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง “ท่านพี่ ท่านวางใจเถิด ข้าส่งคนไปตรวจสอบมาแล้ว ห่าวทงผู้นี้ใช้การได้”
ผ่านไปหลายวัน โจวจิ่งวั่งจึงหาโอกาสพูดเื่ห่าวทงกับโจวปิง เสนอให้เขาที่มีตำแหน่งขุดนางขั้นเจ็ดบนเข้ารับตำแหน่งนายอำเภอของอำเภอฉางผิง
โจวปิงถามว่า “ห่าวทงเป็เพียงซิ่วไฉ กระทั่งจวี่เหริน[2]ก็ยังเป็ไม่ได้ เหตุใดบุตรชายข้าจึงผลักดันเขาเล่า”
อำเภอฉางผิง เป็อำเภอเล็กๆ แต่อยู่ใกล้เมืองเยี่ยน ตำแหน่งจึงสำคัญ
นายอำเภอของที่นี่อายุเจ็ดสิบสองแล้ว เคยเขียนหนังสือมาถวายแก่เยี่ยนหวัง กล่าวว่า้าลาออกจากราชการไปใช้ชีวิตยามแก่เฒ่าที่บ้านเกิด ญาติๆ ของเช่อเฟยทั้งสองของโจวปิงล้วนจับจ้องตำแหน่งนายอำเภอฉางผิงตาเป็มัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโจวปิงยังไม่ได้พูดเื่นี้ และคิดว่าจะยกตำแหน่งให้กับคนที่น่าเชื่อถือจะเป็การดีเสียกว่า
โจวจิ่งวั่งที่เตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว จึงตอบไปอย่างสบายๆ ว่า “ห่าวทง อายุห้าสิบสามแล้ว เป็ผู้ดูแลประจำศาลาพักม้าที่ตำบลจินจีมาหลายปี ไม่เคยทำความผิดอะไร เ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ศาลาพักม้าต่างชื่นชมว่า เขาจัดการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการจัดการน้ำท่วมเมื่อปีก่อน ประชาชนต่างแย่งกันจะเข้าไปที่ศาลาพักม้า คนผู้นี้ก็คิดหาวิธีเกลี้ยกล่อมให้ประชาชนถอยไปจนได้ นับว่ามีความสามารถอยู่มาก ลูกจึงคิดว่าเขามีความสามารถพอที่จะเป็นายอำเภอฉางผิง”
“อ้อ... ข้าคิดออกแล้ว หลายวันก่อนท่านย่าของเ้าพักอยู่ที่ศาลาพักม้าในตำบลจินจีสองคืน” โจวปิงยิ้มเล็กน้อย “ต้องเป็เพราะห่าวทงปรนนิบัติได้ดีกระมัง ท่านย่าของเ้าเป็คนใจดีที่สุด เห็นว่าห่าวทงอายุห้าสิบแล้ว แต่ชะตากลับบันดาลให้เป็เพียงขุนนางตัวเล็กๆ จึงให้เ้ามาพูดคุยเื่เลื่อนตำแหน่งเป็ขุนนางขั้นเจ็ดให้เขา”
โจวจิ่งวั่งทำเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้อธิบายอะไร
“เช่นนั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน” โจวปิงพูดเื่งานราชการกับโจวจิ่งวั่งอีกหลายเื่ สุดท้ายหัวข้อก็วกกลับมา พูดไปย้ำไปว่า “หลายวันนี้ท่านย่าเ้าทุกข์ใจเื่ตระกูลเจียงมาก นางรักเ้ามาก เ้าไปดูนางหน่อยเถิด”
ฉินไท่เฟยคลอดบุตรชายให้เยี่ยนหวังเฒ่าที่จากโลกนี้ไปแล้วเพียงคนเดียวก็คือ โจวปิง
ตอนที่เยี่ยนหวังเฒ่ายังมีชีวิตอยู่ เรือนส่วนหลังสมบูรณ์พร้อมด้วยสาวงาม จึงเกิดเื่มากมายที่อนุภรรยากลั่นแกล้งภรรยาเอก กว่าฉินไท่เฟยจะคลอด โจวปิงออกมาได้ ทั้งยังเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ได้รับแต่งตั้งเป็ซื่อจื่อและสืบทอดตำแหน่งอ๋องมาได้ เรียกได้ว่าต้องทนทุกข์ทรมานมามากมายทีเดียว
คนอื่นไม่รู้ แต่โจวปิงที่เป็บุตรชายของฉินไท่เฟยจะไม่รู้เชียวหรือ ั้แ่เล็กจนโตโจวปิงจึงกตัญญูต่อฉินไท่เฟยมาก
.......................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ซื่อจื่อ คือ ผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง
[2] จวี่เหริน คือ ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางในระดับมณฑล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้