เหอตังกุยส่งเสี่ยวโหยวไปแจ้งเหล่าไท่ไท่ว่าจู่ ๆ เนี่ยชุนก็โผล่มาที่สวนดอกไม้พลันเอาชนะชายสวมหน้ากากและช่วยนางกลับมาได้ จากนั้นก็จากไปอีกครั้ง เมื่อเหล่าไท่ไท่ได้ยินก็เอ่ย “อมิตตาพุทธ” ทุกคนในห้องโถงต่างโล่งใจโดยเฉพาะต้วนเสี่ยวโหลว เมื่อกวนอวินเห็นต้วนเสี่ยวโหลวมีสีหน้าดีใจก็หงุดหงิดและสับสน เหตุใดพี่เสี่ยวโหลวถึงกังวลเื่คุณหนูเหอ?
เมื่อเผิงเจี้ยนได้ยินว่าน้องสามใกลัวและกลับไปพักผ่อนแล้ว พลันนึกได้ว่าก่อนหน้านี้นางยังกินไม่อิ่ม เขาจึงตัก “อาหารอร่อย” และของหวานสองสามอย่างลงในกล่องเพื่อนำไปเยี่ยมน้องสาม เผิงสือห้ามปรามน้องชายไม่ได้จึงทำได้เพียงติดตามเผิงเจี้ยนไป เขาไม่เพียงสอดส่องดูแลและป้องกันไม่ให้น้องชายทำอะไรหุนหันพลันแล่นเท่านั้น แต่เขายังอยากรู้ว่าเด็กสาวที่ถูกจับตัวไปเป็เวลานานนั้นจะไม่ได้รับาเ็จริง ๆ หรือ? นางได้รับการช่วยเหลือจากเนี่ยชุนผู้ที่ “จู่ ๆ ก็มา” และ “จู่ ๆ ก็ไป” จริง ๆ หรือ?
หลังพี่น้องตระกูลเผิงและเสี่ยวโหยวมาถึงเรือนเถาเหยาก็พบว่าเหอตังกุยยังไม่กลับ เผิงเจี้ยนถามเสี่ยวโหยวอีกครั้งว่าคุณหนูสามได้รับการช่วยเหลือและปลอดภัยจริง ๆ หรือไม่ คำตอบที่ได้รับก็ยังเป็ที่น่าพอใจเช่นเดิม จากนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจรออย่างสงบ อีกด้านหนึ่งฉานอีและไฮว่ฮวาก็เปิดดูกล่องอาหาร เมื่อเห็นซาลาเปาไข่ปูก็ส่งเสียงโห่ร้องพลันกินอย่างมูมมาม ไม่นานก็หมดไปถึงสองจาน เผิงเจี้ยนไม่เอ่ยห้ามเพราะเห็นว่าพวกนางเป็เพียงเด็กสาวเท่านั้น แต่กลับเอ่ยอย่างเกรงใจ “ข้านำอาหารพวกนี้มาให้น้องสาม พวกเ้ากินน้อย ๆ หน่อย”
เผิงสืองงงวยยิ่งนัก น้องสามสอนสาวใช้อย่างไรกัน ของที่ส่งให้เ้านายก็ยังไม่รู้หรือ กล้ากินของเ้านายไปเกือบครึ่งได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ขณะเสี่ยวโหยวผู้มีสำเนียงซานตงรายงานเื่คุณหนูสาม เขากลับเรียกคุณหนูสามว่า “น้อง” เหล่าไท่ไท่แปลกใจจึงเอ่ยถามทว่าเสี่ยวโหยวบอกเพียงนางขอให้เขาเรียกนางว่าน้องสาว หยางมามาจึงกล่าวกับเหล่าไท่ไท่ “อย่างไรก็ไม่มีใครได้รับาเ็ เื่เล็กน้อยเพียงนี้ค่อยถามคุณหนูสามวันหลังก็ได้” เหล่าไท่ไท่พยักหน้าพลางเอ่ยพึมพำ “อมิตตาพุทธ”
เมื่อน้องสามกลับถึงเรือนเถาเหยาก็เห็นว่ากล่องอาหารถูกสาวใช้สองคนกินจนหมด ทว่านางกลับไม่โกรธ เพียงหยิบผ้าเช็ดหน้าปิดบังใบหน้าพลางหัวเราะตาหยี ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง เผิงสือคิดไม่ออกว่าน้องสามผู้นี้เป็คนอย่างไรแน่ ในเรือนเถาเหยาไม่มีกฎระหว่างนายบ่าวเลยหรือ?
เหอตังกุยจัดที่พักให้เสี่ยวโหยวเป็อันดับแรกก่อนบอกให้เขาไปพักผ่อน จากนั้นก็หันไปถามฉานอี “ที่เปียก ๆ หน้าประตูใหญ่คืออะไร? ตอนข้ากลับมาก็ใแทบแย่”
ฉานอีเล่าให้นางฟังอย่างมีความสุข “มีดอกเบญจมาศพันธุ์ใหม่มากมายในบ้านของเรา ข้าจึงรดน้ำดอกไม้แล้วสาดน้ำจำนวนมากใส่หญ้านอกลาน กลิ่นเบญจมาศกับน้ำเย็นจะทำให้กลิ่นหอมกว่า”
เหอตังกุยกลอกตา เพียงเพื่อให้มี “กลิ่นหอม” กลับทำให้นางใกลัวจนิญญาแทบออกจากร่าง เหอตังกุยครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เ้าเคยเห็นหน้ากากในห้องข้าหรือไม่ ที่ข้าซื้อจากเมืองตู้เอ๋อร์?”
ฉานอีปิดปากพลางพูด “คุณหนูเก็บได้หรือ? หน้ากากหายไปก่อนเ้าจะกลับมา”
“หายไปได้อย่างไร?” คำถามของเหอตังกุยแทบทำให้คนฟังขาดอากาศหายใจชั่วข้ามคืน
ฉานอียกมือพลางกล่าวขอโทษ “ตอนข้าทำความสะอาดห้องของเ้าก็เจอยุงตัวหนึ่ง ข้าคิดจะไล่มันแต่บังเอิญไปโดนหน้ากากของเ้าจนมันสกปรก ข้าจึงเอาไปล้างก่อนนำไปผึ่งลมให้แห้งเพราะมันเปียกเกินไป แต่จู่ ๆ ลมก็พัดหน้ากากปลิว”
“หน้ากากถูกพัดหายไปหรือ?” เหอตังกุยเลิกคิ้วถาม
“ใช่” ฉานอีกล่าวต่อ “ข้าเห็นหน้ากากถูกพัดออกจากลานพลันได้ยินเสียงหน้ากากตกลงพื้น แต่เมื่อวิ่งไปดูกลับไม่พบอะไรเลย”
เหอตังกุยโล่งใจไม่น้อย โชคดีที่ “ไม่มีอะไร” ดูเหมือนนักฆ่าที่หยิบหน้ากากไปจะไม่ได้พบฉานอี หากฉานอีออกไปเร็วกว่านี้คงจะพบมือสังหารเป็แน่ เมื่อเหอตังกุยมองฉานอีที่กินของหวานอย่างมีความสุขก็ถอนหายใจ สตรีผู้นี้ช่างโชคดีจริง ๆ แม้ฉานอีจะพบผีดูดเืถึงสองครั้งแต่นางก็ยังปลอดภัย นางตกอยู่ในอันตรายทุกครั้งแต่ก็หลีกเลี่ยงได้โดยบังเอิญ ดูเหมือนทวยเทพจะมีตา พวกเขารู้ว่าใครที่สมควรตาย
หลังผ่านเื่ราวน่าใ เหอตังกุยก็รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอมาก ยามนี้เฟิงเหยียนและเฟิงอวี้ยังคงอยู่ในเรือนเถาเหยาไม่ยอมไปไหน เพราะคุณหนูเหอไม่ยอมสาบานและเฉยเมยต่อพวกเขา พวกเขาจึงตัดสินใจ “ขอความช่วยเหลือจากสาวใช้” เพราะเห็นว่าคุณหนูเหอรักสาวใช้ที่ชื่อฉานอีมากจึงพาฉานอีออกไปกระซิบกระซาบอีกด้านหนึ่ง ด้วยอยากให้นางเกลี้ยกล่อมไม่ให้คุณหนูเหอพูดความลับของพวกเขา
เผิงเจี้ยนมีท่าทีไม่อยากจากไป เขาพูดคุยเรื่อย ๆ ราวมีเื่ในใจที่อยากพูดแต่พูดไม่ออก ไม่ว่าเขาจะคิดอะไร เหอตังกุยก็ไม่มีเรี่ยวแรงคาดเดา นางจำเป็ต้องพักผ่อนจึงเอ่ยกับไฮว่ฮวา “เ้าทักทายแขกแทนข้าทีนะ” จากนั้นนางก็แอบเข้าห้องนอนก่อนปิดประตูแ่า
ในที่สุดก็เหลือเพียงนางคนเดียว ในที่สุดนางก็ได้พักผ่อน ในที่สุดนางก็ได้รักษาตัวเองเสียที
“นี่ เ้าช่วยล้างพิษให้ข้าที” ดวงตาดำขลับคู่หนึ่งชัดเจนขึ้นท่ามกลางห้องมืดสนิทราวไฟในตะเกียงสองดวงท่ามกลางคืนหิมะตก “ข้าได้รับพิษของเ้า”
“เ้า...ถูกพิษ?” เหอตังกุยมองเมิ่งเซวียนที่นั่งอยู่ในความมืดอย่างระมัดระวังพลางเอ่ยถาม “รุนแรงมากหรือไม่?”
เมิ่งเซวียนพยักหน้าเล็กน้อย “ยังพอไหว แม้ข้าแทบจะไร้แรงเดินก็เถอะ”
เหอตังกุยเอียงศีรษะ “เ้าเดินไม่ได้หรือ? แล้วมาที่เรือนเถาเหยาได้อย่างไร?”
“ข้าใช้เวลานานหน่อย” เมิ่งเซวียนตอบคลุมเครือ อันที่จริงเขาทุ่มเทไปไม่น้อย เขาพยายามเกลี้ยกล่อมพ่อให้ยอมปล่อยเขาอยู่ในจวนตระกูลหลัว จากนั้นเมื่อทุกคนในห้องโถงซินหรงออกไป เขาก็แอบตามหลังเผิงเจี้ยนและคนอื่น…โดยใช้มือทั้งสองข้าง “เดิน” เข้ามา
เหอตังกุยกล่าวขอโทษ “คุณชายเซวียน ข้าไม่รู้ว่าเ้ามีกำลังภายในจึงเท “น้ำชา” ให้เ้าดื่ม ข้าขอโทษ อันที่จริง “น้ำชา” ที่เ้าดื่มนั้นไม่ใช่ยาพิษแต่เป็ยาชาสำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์ ข้าก็ไม่มีวิธีจะช่วยเ้า ทำได้เพียงรอให้ฤทธิ์ยาจางลงเท่านั้น รบกวนเ้ารออีกสองสามวันเถอะ” จริง ๆ แล้วไม่ได้มีเพียงเขา ขณะนั้นทุกคนที่ได้กลิ่นหอมในห้องโถงล้วนถูกพิษยาชานี้ แต่คนทั้งสี่ที่ััน้ำชาโดยตรงจะมีปฏิกิริยารุนแรงกว่า
ขณะนั้นนางปิดผนึกจุดฝังเข็มจงฝูด้วยเข็มเงินจึงไม่ได้สูดดมกลิ่นหอมเข้าไป เหล่าไท่ไท่ที่ไม่มีกำลังภายในก็ไม่ได้รับผลกระทบจากฤทธิ์ยาชา แต่ฤทธิ์ของมันทำให้นักฆ่าสวมหน้ากากเ็ปจนต้องใช้พลังฉุกเฉินกำจัดฤทธิ์ยาชั่วคราว เหอตังกุยประเมินเมิ่งเซวียนต่ำไป นางไม่คิดว่ากำลังภายในของเมิ่งเซวียนจะมีมากถึงขั้นได้รับผลกระทบจากยาชานี้
เนื่องจากนางจำบันทึกในหนังสือที่กล่าวว่ามีเพียงผู้มีวรยุทธ์ที่มีกำลังภายในแข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะเกิดอาการชาไปทั้งตัวหลังสูดดมยาอันซีเฉ่า การแสดงอาการจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ร่างกายของบางคนอาจเป็อัมพาตทั้งตัว ขณะที่บางคนอาจเป็อัมพาตเพียงครึ่งซีก ในความเป็จริงเหอตังกุยคิดว่ากำลังภายในของนางไม่ได้แข็งแกร่งจนถึงขั้นได้รับผลกระทบจากยาอันซีเฉ่านี้ ทว่าการใช้เข็มเงินเพื่อปิดผนึกตัวเองนั้นถือเป็การป้องกันไว้ก่อน
“รอก่อนหรือ?” เมิ่งเซวียนเลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม “เ้าหมายความว่าข้าจะเดินไม่ได้ไปอีกสามวันกระนั้นหรือ?”
เหอตังกุยพยักหน้า ขณะนี้นางเวียนหัวมาก อีกทั้งจุดฝังเข็มไต้ม่ายรอบเอวก็อัดแน่นด้วยลมปราณเจินชี่จนทรมาน เฮ้อ คิดไม่ถึงว่าแม้กลับถึงห้องแล้วก็ยังไม่สามารถนอนพักผ่อนเงียบ ๆ ได้…หรือโลกนี้ไม่มีที่เงียบ ๆ ให้นางรักษาตัวคนเดียวหรืออย่างไร? นางมองเมิ่งเซวียนอย่างไม่สบอารมณ์ ถึงอย่างไรก็เป็เพียงเด็ก ช่างเขาเถอะ เหอตังกุยถอดเสื้อคลุมตัวนอกพลันโยนมันลงพื้นท่ามกลางสายตาประหลาดใจของเมิ่งเซวียน ก่อนปีนขึ้นเตียงอย่างยากลำบากเสมือนหญิงชราปวดเอว จากนั้นก็ดึงผ้านวมพันตัวประหนึ่งดักแด้
ดีจริง ๆ ตอนนี้นางมีที่หลบภัยแล้ว หากอยู่ในนี้ก็จะไม่มีใครทำร้ายนางได้อีก
เมิ่งเซวียนรู้ดีว่าสตรีเด็กคนนี้ไม่ร่าเริงเหมือนตอนอยู่ในงานเลี้ยง เป็นางจริง ๆ หรือ? หรือนางได้รับาเ็ขณะถูกนักฆ่าผู้นั้นจับไป? นางจึงไม่สามารถลุกขึ้นมารับมือกับตนได้? หลังเงียบไปครู่หนึ่ง เมิ่งเซวียนก็เอ่ยถาม “คนผู้นั้นทำร้ายเ้าหรือไม่? ข้าพอจะ...ใช้กำลังภายในรักษาอาการาเ็ได้นิดหน่อย ข้าสามารถรักษาอาการาเ็ภายในของเ้าได้”
เหอตังกุยนอนอยู่ใต้ผ้าห่มโดยไม่พูดสิ่งใด ไม่ว่าจะาแภายในหรือความเสียใจ...เมื่อเวลาผ่านไปก็จะหายดีเอง ตอนนี้นาง้าอยู่เงียบ ๆ คนเดียว เ้าของบ้านเช่นนางไล่เขาชัดเจนเช่นนี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?
เมิ่งเซวียนที่ถูกเพิกเฉยก็ตกอยู่ในความเงียบ เขาพยายามขับยาชาพลางคิดอะไรบางอย่าง
การเดินทางมาเมืองหยางโจวครั้งนี้ไม่เป็เช่นหวังไว้ ขั้นแรกเขาช่วยซูเซี่ยวเซี่ยวในเมืองตู้เอ๋อร์ ต่อมาก็ถูกจิ่นอีเว่ยไล่ล่าหลายครั้ง โชคดีที่เขาพบแม่ชีน้อยใจดีนามไหวอี้ขณะได้รับาเ็สาหัส ไหวอี้ไม่เพียงช่วยพันแผล ซ้ำยังมอบเสื้อผ้าที่พอดีให้เขาด้วย หากไม่มีนาง เขาคงตายไปแล้ว
หลังนางจากไปพร้อมเพื่อนของนาง เขาก็กินสมุนไพรห้ามเืและไข่นกที่นางทิ้งไว้ เมื่อรู้สึกว่าพลังแข็งแกร่งขึ้นแล้วจึงได้พบที่ปลอดภัยบนูเา เมื่อจิ่นอีเว่ยที่ค้นหาูเาอยู่หลายวันจากไป เขาก็ออกมาจากที่ปลอดภัยแห่งนั้น สิ่งแรกที่เจอคือวัดสุ่ยซัง เมื่อสอบถามชื่อแม่ชีน้อยที่มีคำว่า “อี้” ในที่สุดก็พบว่าสตรีผู้นั้นคือแม่ชีน้อยไหวอี้
น่าเศร้าที่นางจำเขาไม่ได้ จากนั้นเขาก็รู้ว่านางสูญเสียความทรงจำ ขณะนางและสหายเดินทางกลับวัดก็พบกับสัตว์ร้ายจึงทำให้พวกนางตกหน้าผา สหายของนางตายคาที่ แม้นางจะโชคดีรอดชีวิตกลับมาแต่ศีรษะก็ถูกกระแทกอย่างหนักจนสูญเสียความทรงจำ รวมถึงส่วนที่นางเคยช่วยเหลือเขาด้วย
แต่เมื่อเขาหยิบเสื้อผ้าออกมา นางก็จำได้ทันที นางทำงานในห้องยาของวัดสุ่ยซังจึงคุ้นเคยเื่ยาดี นางมักเก็บสมุนไพรบนูเาเป็ประจำ เงื่อนไขเหล่านี้สอดคล้องกับสตรีในชุดแม่ชีที่ช่วยเขาวันนั้น เขาจึงค่อนข้างมั่นใจว่าไหวอี้คือคนที่เขาตามหา
ไหวอี้ไม่เพียงช่วยชีวิตเขาเท่านั้น นางยังสูญเสียความทรงจำและสหายที่ดีที่สุด อีกทั้งเขายังสวมเสื้อผ้าใกล้เคียงกับนาง เขาจึงต้องรับผิดชอบและตอบแทนน้ำใจของนาง เขาถามนางว่าอยากกลับมาใช้ธรรมดาหรือไม่ ทีแรกนางลังเลแต่เมื่อเขาสัญญาจริงจังว่าจะดูแลนางตลอดชีวิต นางก็สัญญาว่าจะกลับไปใช้ชีวิตธรรมดาและกลับบ้านพร้อมเขา
เมื่อเขามาถึงเมืองหยางโจวก็ได้ยินว่า “เ้าหน้าที่ที่โหดร้ายที่สุดในใต้หล้า” เช่นเกิ่งปิ่งซิ่วกำลังจะมาถึงเมืองหยางโจวเพื่อจัดการคดีฉ้อโกง เขาจึงตัดสินใจจะจับคนชั่วแล้วขอให้คนรับใช้ส่งไหวอี้ที่เปลี่ยนชื่อเป็ “จื่อเซี่ยว” ไปยังตระกูลเมิ่งในเมืองหลวง
เขาถามประสบการณ์ชีวิตของจื่อเซี่ยวก่อนได้รู้ว่านางเป็ลูกสาวของตระกูลทรงอิทธิพล แต่นางไม่อยากใช้ชีวิตอัปยศใต้รั้วบ้านของญาติจึงตัดสินใจออกบวชที่วัดสุ่ยซัง
เขาคิดว่าการพาผู้มีพระคุณออกจากวัดจำเป็ต้องให้สถานะแก่นาง เพื่อให้นางใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายในตระกูลเมิ่ง หากนางอยู่ในตระกูลเมิ่งในฐานะกึ่งเ้านายกึ่งบ่าวรับใช้ เขาอาจสามารถบอกคนอื่นได้ชั่วคราวว่านางเป็ผู้มีพระคุณของเขาแต่ในอนาคตนางอาจจะลำบากใจเพราะไม่มีสถานะที่เหมาะสม แต่ด้วยภูมิหลังของนางต่ำเกินกว่าจะเป็ภรรยา เขาจึงขอให้นางเป็ “อนุ” เพื่อที่นางจะได้อยู่อย่างสงบ
พี่ชายทั้งหกมีสาวใช้อุ่นเตียงแล้ว แม่ของเขาก็พาสาวใช้สามคนไปที่ห้องของเขา ทว่าเขาไม่อยากเห็นสตรีทั้งสามทะเลาะกันเพราะความหึงหวงจึงส่งพวกนางออกไป ตอนนี้เขานำอนุนามจื่อเซี่ยวกลับมาจากวัดซึ่งเป็ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าช่วยชีวิตเขา เขาเชื่อว่าแม่จะต้องพอใจในตัวนางและปฏิบัติต่อนางอย่างดี
ซู่เซียวเซียวเป็ลูกสาวบุญธรรมของหูเว่ยโหยวซึ่งเป็ผู้กระทำความผิดอันดับหนึ่ง นางจึงไม่สามารถกลับบ้านกับเขาได้ แต่ด้วยนางเป็เพื่อนของเขาในชาติที่แล้ว เขาจึงทนเห็นนางทำมาหากินในฐานะนางรำไม่ได้ ไม่ว่าสตรีจะมีนิสัยแข็งแกร่งหรือมีวรยุทธ์ อย่างไรก็ยังคงอ่อนและเปราะบางตามธรรมชาติของสตรี ดังนั้นการปกป้องสตรีจึงเป็หน้าที่ของบุรุษ
แม้สายตาที่ซู่เซียวเซียวมองตนหลังได้รับการช่วยเหลือจะเต็มไปด้วยความประหลาดใจและชื่นชม แต่ตนก็ไม่เคยมีความรู้สึกแบบชายหญิงกับนางเลย... สิบเก้าปีในชาติที่แล้วและสิบเอ็ดปีในชาตินี้ เขาไม่เคยมีความรักแม้แต่ครั้งเดียว บางทีเขาอาจเกิดมาเพื่อเป็คนใจร้าย ซู่เซียวเซียวเพื่อนรักในชาติก่อนมองเขาอย่างแปลกประหลาด ทำให้เขาอึดอัดไม่น้อย ทว่าเขายังคงไว้วางใจให้สำนักคุ้มครองลู่เฟิงส่งนางไปยังเมืองหลวงโดยให้นางอยู่ในเรือนแยกของเขาชั่วคราว หวังเพียงนางจะดำเนินชีวิตเหมือนชาติที่แล้ว พบชายชื่อ “หลัวไป๋จี๋” แล้วตกหลุมรักกันโดยเร็วที่สุด เมื่อเป็เช่นนั้นเขาจะได้ละมือจากนางและอวยพรให้ทั้งสองมีความสุขเสียที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้