หรงหว่านซีแอบฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนทว่าใบหน้ากลับฉายแววสบายใจยิ่งนักอากัปกิริยาที่แสดงออกเป็ที่น่านับถือของผู้คน...
เพียงแต่เ้าหน้าที่ของสำนักสื่อราชสำนักกลับมีท่าทีลำบากใจ“คือว่า... ถูกที่ไม่มีกฎระเบียบข้อนี้...เพียงแต่อย่างไรคุณหนูก็เป็สตรียังไม่ได้ออกเรือนเกรงว่าหากเป็ที่กล่าวขานออกไปจะไม่น่าฟังนัก...”
“ในเมื่อคุณหนูหรงมาแล้วก็รีบเชิญเข้ามาเถิด...”สตรีอายุราวสามสิบปีออกมาต้อนรับและเอ่ยตำหนิเ้าหน้าที่ผู้นั้นเสียงเบา“เหตุใดจึงไม่เบิกตาดู? ยังจะให้คุณหนูรออยู่ด้านนอกงั้นรึ?ถือว่าโชคดีที่คุณหนูไม่เอาเื่เ้า!”
ผู้ที่ออกมาต้อนรับคือขุนนางสื่อราชสำนักแซ่จ้าวผู้ควบคุมดูแลสถานที่แห่งนี้ภายใต้คำแนะนำของขุนนางสื่อราชสำนักแซ่จ้าวหรงหว่านซีจึงสามารถเลือกขุนนางสื่อราชสำนักที่ถูกตาผู้หนึ่งนัดหมายกันว่าจะให้ขุนนางสื่อราชสำนักแซ่หงไปที่จวนในบ่ายวันพรุ่งนี้เพื่อหารือกับบิดาหลังพูดจาปราศรัยกับครู่หนึ่งและรู้สึกว่ากินเวลามานานมากแล้วนางจึงพาชูเซี่ยออกมาจากสำนักสื่อราชสำนัก
ขุนนางสื่อราชสำนักแซ่จ้าวและขุนนางสื่อราชสำนักแซ่หงพากันออกมาส่งนางที่หน้าประตูแน่นอนว่าไม่อาจขาดคำกล่าวอำลาขุนนางสื่อราชสำนักแซ่จ้าวยังบอกว่าจะให้คนแบกเกี้ยวไปส่งพวกนาง
หรงหว่านซีเอ่ยทั้งรอยยิ้ม“ไม่เป็อะไร ข้ากับหญิงรับใช้จะเดินเล่นกันสักหน่อย ไม่รีบร้อนกลับจวนท่านทั้งสองส่งแต่เพียงเท่านี้เถิด”
เมื่อมัวเสียเวลาไม่น้อยอยู่หน้าประตูสำนักขุนนางสื่อราชสำนักแน่นอนว่าสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้อีกไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อมีคนของสำนักขุนนางสื่อราชสำนักเป็พยานต่อให้องค์รัชทายาทอยากจะปล่อยข่าวลือเช่นไรก็คงไม่มีผู้ใดเชื่อ
“ไอหยาคุณหนู ท่านดูทางนั้นเ้าค่ะ... คุณหนูตระกูลใดกัน เหตุใดจึงหน้าไม่อายถึงเพียงนี้?นึกไม่ถึงว่าจะมาสำนักสื่อราชสำนักและไปมาหาสู่กับแม่สื่อแม่ชัก”ไม่ไกลนักมีหญิงรับใช้สวมอาภรณ์สีเขียวมรกตกำลังเอ่ยกับคุณหนูของตน
ฉินอิ่งเซวียนมองตามนิ้วของหญิงรับใช้ที่ชี้ไปยังหน้าประตูสำนักขุนนางสื่อราชสำนักพอดีกับที่คุณหนูผู้นั้นหันมาทางนี้ จึงได้เห็นใบหน้าของนางอย่างชัดเจน...ฉินอิ่งเซวียนรู้สึกคุ้นหน้าเล็กน้อย
บุตรสาวของแม่ทัพหรงที่เคยพบกันในงานเลี้ยงต้อนรับแม่ทัพหรงกลับราชสำนักเมื่อสามปีก่อนมิใช่หรือ?
หึๆ... หรงหว่านซี...
ผู้หญิงคนนี้ก็คือหรงหว่านซีผู้ที่พระพันปีพึ่งจะมีพระราชเสาวนีย์ให้เข้าพิธีสมรสกับเฉินอ๋อง
เหตุใดนางถึงโชคดีถึงเพียงนี้? ได้ออกเรือนกับเฉินอ๋อง...หน้าตาก็ไม่เท่าใด เฉินอ๋องกำลังคิดอะไรกันแน่?
ขณะคิดหรงหว่านซีกำลังพาหญิงรับใช้เดินมาทางนี้
ฉินอิ่งเซวียนมองตรงไปยังหรงหว่านซีที่กำลังเดินผ่านมานางยืนอยู่ที่เดิมเช่นนั้นและมองพิจารณาหรงหว่านซี
หรงหว่านซีอยากจะซื้อเครื่องประดับให้ชูเซี่ยจำนวนหนึ่งจึงไม่ได้สังเกตเห็นผู้ที่กำลังมองพิจารณาตน นอกจากนั้นยังมีเื่การมาเยือนสำนักขุนนางสื่อราชสำนักหากจะถูกชาวบ้านจ้องมองย่อมเป็เื่ปกติหรงหว่านซีทำตัวไม่ต่างจากคุณหนูทั่วไปที่ออกมาซื้อของและเลือกสิ่งของอย่างสบายใจ
นางเลือกปิ่นปักผมรูปเต่าเมื่อลองเทียบลงบนศีรษะของชูเซี่ยก็รู้สึกว่าพอใช้ได้
“คุณหนู”ชูเซี่ยดึงคุณหนูของตนอย่างเบามือและเอ่ยเสียงกระซิบ “คนสองคนทางด้านดูแปลกๆนะเ้าคะ เอาแต่จ้องมาทางคุณหนู”
“ไม่เป็อะไรปล่อยให้พวกเขามองไป” หรงหว่านซีเอ่ย
แผนการในครั้งนี้ของนางก็เพื่อให้ผู้คนรู้เห็นมิใช่รึหากต้องทนรับกับสายตาผู้คนสักหน่อยย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ไม่ใช่เ้าค่ะคุณหนู”ชูเซี่ยเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าแปลกจริงๆ นะเ้าคะ คุณหนูลองดูสิเ้าคะ”
หรงหว่านซีก้มหน้าจ่ายเงินเพื่อซื้อปิ่นปักผมให้ชูเซี่ยครั้นกำลังจะส่งให้ชูเซี่ย ทันใดนั้นมีเสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้น“นี่มิใช่คุณหนูหรงหรอกหรือ?”
คือน้ำเสียงอ่อนโยนของคนผู้หนึ่งทว่าหรงหว่านซีกลับฟังไม่ออกว่าภายใต้น้ำเสียงอ่อนโยนแฝงไว้ด้วยความเย่อหยิ่ง
หรงหว่านซีไม่รู้ว่าคือผู้ใดนางจึงเงยหน้าขึ้นมองคุณหนูสวมชุดกระโปรงสีแดงสดที่กำลังเดินมาทางตนรูปร่างหน้าตาอรชรอ้อนแอ้น ถือได้ว่าเป็คนงามผู้หนึ่ง
นางรู้สึกคุ้นตาเล็กน้อย...หลังมองดูอย่างละเอียด คล้ายกับจะเคยพบหน้ากันในงานเลี้ยงเมื่อสามปีก่อนนี่คือ...บุตรสาวของท่านอัครเสนาบดีฉินนามว่าฉินอิ่งเซวียน
“พี่ฉิน”หรงหว่านซีเอ่ยทั้งรอยยิ้ม
“น้องช่างความจำดีนัก”ฉินอิ่งเซวียนยกยิ้ม “เมื่อครู่ตอนเห็นน้องที่สำนักขุนนางสื่อราชสำนักข้ายังจำไม่ได้หลังจากจ้องมองดูอยู่ครู่หนึ่งถึงกล้ามั่นใจไม่ทราบว่าเหตุใดน้องถึงมาที่สำนักขุนนางสื่อราชสำนักด้วยตนเองเล่า? มีเหตุอะไรทำให้น้องลำบากใจหรือไม่?”
ฉินอิ่งเซวียนแสดงท่าทีเป็ห่วงแม้หรงหว่านซีจะไม่สนิทกับนางและไม่อยากจะสนทนากับนางมากนักแต่ก็ต้องจำใจเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ไม่มีเหตุอะไรทำให้ต้องลำบากเ้าค่ะเพียงแต่ท่านพ่อล้มป่วย จึงไม่อยากให้ท่านพ่อต้องลำบากมาเลือกด้วยตนเองตอนนี้นัดหมายกับขุนนางสื่อราชสำนักเรียบร้อยแล้วเ้าค่ะพรุ่งนี้ก็จะไปปรึกษาหารือกับท่านพ่อที่จวน ขอบน้ำใจพี่ฉินที่เป็ห่วงเ้าค่ะ”
“แท้จริงแล้วเป็เช่นนี้หรอกรึ”ฉินอิ่งเซวียนยังคงแสดงท่าทีสนิทสนม “ในเมื่อเป็เช่นนี้พี่ก็วางใจ เพียงแต่...”
ความหมายทั้งหมดล้วนแต่คิดแทนหรงหว่านซี“หากเป็เพราะเหตุนี้ น้องก็ไม่จำเป็ต้องมาเองสักนิด แม่ทัพหรงเป็ถึงนายทหารกระดูกแข็งยิ่งกว่าสิ่งใด อาการเจ็บไข้ได้ป่วยเพียงน้อยนิดคาดว่าไม่กี่วันก็คงจะหายดี น้องจะรีบร้อนไปทำไมกัน... แต่ก็ใช่ได้ออกเรือนกับบุรุษรูปงามเช่นเฉินอ๋อง หากน้องจะใส่ใจสักหน่อยย่อมเป็เื่สมควรไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่นิด”
“เ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรคล้ายกับจะบอกว่าคุณหนูของพวกเรารีบร้อนอยากออกเรือน...”
ชูเซี่ยกล่าวยังไม่ทันจบหรงหว่านซีกลับให้นางหยุดกล่าวกะทันหันและเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกับฉินอิ่งเซวียนว่า“ท่านพี่กล่าวเตือนได้ถูกต้องเ้าค่ะ น้องกล่าวไว้ว่าจะสั่งทำเครื่องและอาภรณ์ตัวใหม่ให้ชูเซี่ยยังมีเื่ยุ่งวุ่นวายอีกมากจะดีกว่าหรือไม่หากวันหน้าค่อยอยู่สนทนาเป็เพื่อนท่านพี่?”
ฉินอิ่งเซวียนยกยิ้ม“เด็กรับใช้ผู้นี้ ปกติน้อง...”
ยังกล่าวไม่ทันจบกลับเห็นรถม้าหรูหราคันหนึ่งมุ่งหน้ามาทางนี้นางจำรถม้าคันนี้ได้ คือ...รถม้าของเฉินอ๋อง
ในแต่ละวันนางไม่เคยสนใจข้อควรปฏิบัติของบุตรสาวตระกูลใหญ่มักออกมาเดินเที่ยวเล่นตามถนนหนทางเพราะหวังจะได้พบกับเขาสักครั้ง
สุดทางของถนนสายนี้คือเรือนซูหนวี่ฟางเขาคงจะไปที่นั่นกระมัง?
เมื่อเห็นฉินอิ่งเซวียนกลืนคำพูดและมองไปด้านหลังของนางหรงหว่านซีจึงหันกลับไปมองเช่นกัน
พอดีกับที่เขาเปิดม่านออกมาแล้วทักทายนาง“เปิ่นหวางจะไปเรือนซูหนวี่ฟาง เ้าจะไปด้วยกันหรือไม่?”
ขณะกล่าวรถม้าได้หยุดเคลื่อนตัวอยู่ตรงหน้านาง
เฉินอ๋องเปิดม่านของรถม้าชะโงกออกมาและยื่นมือมาหานาง ระหว่างที่ยังไม่ได้คำตอบใดจากนางก็เอ่ยขึ้นว่า“ขึ้นมาสิ”
ราวกับมั่นใจว่านางจะตามไปอย่างไรอย่างนั้น
หรงหว่านซีนึกขบขันเล็กน้อยแค่ตามเขาไปเพียงหนเดียว หรือเขาเห็นนางเป็สหายร่วมดื่มสุราชมนารีเสียแล้ว?
รอยยิ้มของเขาเปล่งประกายยิ่งนักราวกับเป็แสงสว่างภายใต้ท้องฟ้าอันมืดครึ้มนี้
หรงหว่านซีมองท้องฟ้าทำความเคารพ “วันนี้คงไม่อาจไปกับเตี้ยนเซี่ยเพคะเฉินหนวี่จะต้องซื้อเครื่องประดับและอาภรณ์ให้ชูเซี่ยคงต้องรีบสักหน่อยเพราะเกรงว่าฝนจะตกเอาได้เพคะ”
เฉินอ๋องหัวเราะและไม่บังคับ“ก็ได้ พวกเราค่อยนัดหมายกันวันหลังเปิ่นหวางได้ยินว่าเมื่อวานเรือนซูหนวี่ฟางคิดค้นสูตรอาหารใหม่เดิมนึกอยากจะพาเ้าไปลองชิมสักหน่อย”
“ขอบพระทัยที่เตี้ยนเซี่ยทรงนึกถึงเฉินหนวี่เพคะ”หรงหว่านซีย่อกายถอนสายบัวและเผยยิ้มบาง
มีผู้คนมากมายอยู่บนถนนจะไม่ให้แสดงท่าทีรักใคร่กันสักหน่อยได้อย่างไร? นางดูออกว่าเฉินอ๋องหมายความว่าเช่นนี้เมื่อคิดว่าภายหน้ายังต้องอยู่ร่วมกันก็ต้องสมานฉันท์กันเอาไว้เื่เล็กน้อยเช่นนี้นางย่อมต้องยอมคล้อยตามเขา
เฉินอ๋องมองนางและไม่บอกให้นางลุกขึ้นครู่หนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คือเฉินเชี่ย* ไม่ใช่เฉินหนวี่อีกแล้ว”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อคล้ายไม่ได้สนใจผู้คนสัญจรไม่มาในตลาดสักนิด“เ้าใกล้จะได้กลายเป็พระชายาของเปิ่นหวางแล้ว”
*เฉินเชี่ย เป็คำแทนตัวของภรรยาอย่างนอบน้อม