คำพูดของหลินเฟิงทำให้พวกจิ้งหยุนตกตะลึง ทั้งสามคนหันหน้ามามองหลินเฟิงด้วยสายตาประหลาดใจ
พวกเขาเห็นหลินเฟิงก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าวด้วยท่าทางเยือกเย็น
“หลินเฟิง นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาอวดเก่งนะ” จิ้งหยุนกล่าวอย่างกังวล ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเห็นหลินเฟิงต่อสู้มาก่อน แต่ชื่อเสียงของหลินเฟิงก็เป็ที่เลื่องลือกันดีในเื่ของความห่วย ถึงแม้ว่าวันนี้หลินเฟิงจะฝึกฝนอย่างหนัก และอาจจะฝึกหนักกว่าพวกเขาทั้งหมด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถรับมือกับวานรคลั่ง สัตว์อสูรปีศาจระดับ 8 เพียงตัวคนเดียวได้ นี่มันเป็ไปไม่ได้
แต่ดูเหมือนว่าจะช้าเกินไป เมื่อวานรคลั่งเห็นหลิงเฟิงกล้าท้าทายมัน ขาหนาๆ ก็ถีบไปที่พื้นอย่างรุนแรงจนแผ่นดินสั่นไหว ร่างกายอันใหญ่โตของมันพุ่งเข้าไปหาหลินเฟิงอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อใหญ่ั์ราวกับูเาสั่นไหวไม่หยุด
ดูเหมือนว่าหลินเฟิงจะไม่รู้ถึงความร้ายกาจของสัตว์อสูรปีศาจระดับ 8 ถึงได้กล้าเผชิญหน้าแบบนั้น หัวใจของจิ้งหยุนแทบจะะโออกมาจากคอ เมื่อเห็นสัตว์อสูรปีศาจกำลังพุ่งเข้ามาหาหลินเฟิงและเตรียมที่จะทุบเขา
ราวกับว่าได้เห็นภาพของหลินเฟิงถูกทุบจนกลายเป็เพียงซากเนื้อเละๆ จิ้งหยุนหลับตาลงด้วยความหวาดกลัว
“ตูม” คลื่นลมรุนแรงแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ ขณะที่จิ้งหยุนหลับตาก็ยังรู้สึกได้ถึงการสั่นะเืในอากาศอย่างชัดเจน จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมๆ ของวานรคลั่ง
เมื่อลืมตาขึ้น นางก็เห็นวานรคลั่งกระเด็นไปด้านหลังถึง 3 เมตร ส่วนหลินเฟิงถอยกลับมายืนอยู่ข้างๆ นางอย่างเงียบงัน ดวงตาคู่นั้นดูราบเรียบราวกับว่าเื่นี้ไม่นับว่าเป็อะไรได้
“เป็ไปได้ยังไง?” จิ้งหยุนแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง หลังจากที่หลินเฟิงปะทะกับวานรคลั่งอย่างรุนแรง แต่กลับไม่ได้รับาเ็อะไรเลย เมื่อมองไปที่ชิงอีและหานหมานก็พบว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง พวกเขาเห็นกับตาเลยว่าหลินเฟิงต่อยเพียงหมัดเดียว ก็ทำให้วานรคลั่งกระเด็นไปด้านหลัง ฉากที่น่ากลัวเมื่อครู่ได้โจมตีสมองของพวกเขาจนว่างเปล่า
นี่มันสัตว์อสูรปีศาจระดับ 8 เชียวนะ ถ้าหากไม่มีพลังอย่างน้อย 8,000 จิน ก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะวานรคลั่งได้
จิ่งเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ชะงักค้าง ไอ้ขยะนั่นมันสามารถเอาชนะวานรคลั่งได้?
“สัตว์อสูรปีศาจระดับ 8 นั้น นอกจากหนังของมันจะหยาบแล้ว กล้ามเนื้อยังหนาอีกด้วย” จิ่งเฟิงพูดพึมพำกับตัวเอง
ตอนนี้เขาได้บรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 7 แล้ว พลังหมัดของคลื่น์เก้ากระแทกก็เพิ่มขึ้นเป็ 8,500 จิน นอกจากนี้แก่นสำคัญของคลื่น์เก้ากระแทกก็อยู่ที่ระลอกคลื่นที่ซ้อนๆ กัน คลื่นลูกใหม่จะทรงพลังกว่าคลื่นลูกเก่า ดังนั้นคลื่น์เก้ากระแทกที่ปะทะกับวานรคลั่งเมื่อครู่นี้ น่าจะมีพลังเกือบ 9,000 จิน ตอนนี้เองวานรคลั่งก็ลุกขึ้นมาแล้วส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง
หลินเฟิงพุ่งไปด้านหน้าของวานรคลั่ง และใช้คลื่น์เก้ากระแทกอีกครั้ง วานรคลั่งมีร่างกายที่ใหญ่โตและกำลังอยู่ในสภาวะคลั่ง ทำให้ไม่สามารถหลบการโจมตีนี้ได้ ดังนั้นมันจึงทำได้แค่ใช้ร่างกายอันแข็งแกร่งของมันต้านรับการโจมตีของหลินเฟิง
“ใช้เ้าเป็ตัวทดสอบฝีมือข้าก็แล้วกัน” หลินเฟิงเคลื่อนไหวไม่หยุด เขาปล่อยหมัดซ้ายออกไป ทำให้เกิดระลอกคลื่นในอากาศขึ้นมา
จิ้งหยุนและสามคนที่เหลือต่างยืนตาค้างอยู่ตรงนั้น วานรคลั่ง? ตอนนี้หลินเฟิงดูแข็งแกร่งและบ้าคลั่งยิ่งกว่าวานรคลั่งเสียอีก หมัดคู่ถูกปล่อยออกไปอย่างต่อเนื่อง คลื่น์เก้ากระแทกดูเหมือนเงาดำที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว อากาศภายในรัศมี 100 – 200 เมตรรอบๆ เต็มไปด้วยริ้วกระเพื่อมอย่างรุนแรง
“เขาสามารถใช้คลื่น์เก้ากระแทกได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ ข้าคิดว่าต่อให้เป็ศิษย์สายในของนิกาย ก็ยังไม่สามารถทำได้เท่าเขา” ความคิดบางอย่างของชิงอีก็ผุดขึ้นมา หลิงเฟิงเนี่ยนะคือขยะ?
“หมัดลมไม่ดับสูญ ระลอกคลื่นไม่หยุดยั้ง ข้าเคยได้ยินมาว่าคลื่น์เก้ากระแทกขั้นสูงสุดจะแข็งแกร่งมาก แต่ไม่นึกว่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้ พร์ของหลินเฟิงช่างน่าทึ่งนัก” จิ้งหยุนกล่าวสิ่งที่คิด
“ปีศาจ” หานหมานกล่าวอย่างหดหู่ ขณะที่ยกมือปาดเหงื่อเม็ดเป้งบนใบหน้า
“ฟิ้ว ฟิ้ว…” ในที่สุดการสั่นะเืของอากาศก็กลับสู่ปกติ หลินเฟิงหันกลับไปมองทั้ง 3 คนแล้วพูดว่า “เก็บแกนอสูรเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว”
“อือ” เมื่อหานหมานพบว่าวานรคลั่งตัวนั้นไม่ขยับตัวแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างจนปากแทบจะฉีกถึงหู เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงจะสามารถนำแกนอสูรที่มีค่าในร่างของวานรคลั่งออกมาได้ เนื่องจากหนังของมันหนามาก ถึงแม้ว่ามันจะตายไปแล้วแต่ก็เป็เื่ยากที่พวกเขาจะชำแหละเนื้อหนังของมันได้ ไม่รู้ว่าหลินเฟิงทำอย่างไรถึงสามารถสังหารมันได้ง่ายๆ แบบนี้
“ฮ่าฮ่า หลินเฟิง มีปีศาจอย่างเ้าอยู่ด้วย ขอแค่ไม่ไปเจอสัตว์อสูรปีศาจระดับ9 พวกเราก็ไปกันต่อได้” หานหมานกล่าวขณะที่ยกถุงขึ้นมาแบกไว้ด้านหลัง เขาหัวเราะอย่างพอใจ
หลินเฟิงยิ้มน้อยๆ และกล่าว “พวกเราไปกันต่อเถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะเจอสัตว์อสูรปีศาจระดับ 8 อีกก็ได้”
“ก็แค่โชคดีเท่านั้นที่เจอสัตว์อสูรปีศาจที่รู้จักแต่การใช้กำลัง” คำพูดเสียดสีดังมาจากด้านหลังของพวกเขา จากนั้นจิ่งเฟิงก็เดินผ่านหน้าของพวกเขาไป เพื่อเดินนำหน้า
“จิ่งเฟิง นี่เ้า…” ใบหน้าของจิ้งหยุนและอีกสองคนที่เหลือเต็มไปด้วยความโกรธ ผู้ชายคนนี้เก่งแต่พูดเสียดสีจริงๆ
กลุ่มของพวกเขายังคงเดินทางต่อ โดยที่จิ่งเฟิงเดินนำหน้า เขาหวังว่าจะได้โชว์ความสามารถของตัวเองให้พวกนั้นชม แต่ทว่ากลับไม่พบสัตว์อสูรปีศาจแม้แต่ตัวเดียว ทำให้จิ่งเฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่
“ดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกตินะ” หลิงเฟิงกล่าว เมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ของป่าแล้ว ป่าแห่งนี้กลับดูเงียบสงบเกินไป
“ใช่ มีบางอย่างผิดปกติ” ชิงอีและอีกสองคนที่เหลือก็เดินช้าลง ไม่นานนักพวกเขาสังเกตเห็นจิ่งเฟิงที่เดินนำหน้าพวกเขาเริ่มถอยหลังกลับมา
ทุกคนมองไปที่ด้านหน้าของจิ่งเฟิง ก็พบหมาป่าตัวหนึ่งยืนจังก้าอยู่ตรงนั้น หมาป่าตัวนั้นมีใบหน้าที่ดุร้ายและกระหายเื
จิ้งหยุนยกมือขึ้นมาปิดปาก ราวกับว่าได้พบเจอเหตุการณ์บางอย่างที่น่ากลัว ร่างบอบบางสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น
“หมาป่านรก เป็สัตว์อสูรปีศาจระดับ 9 ในบรรดาสัตว์อสูรปีศาจระดับกลาง มันนับได้ว่าเป็ตัวที่โเี้ที่สุดแล้ว มันชอบกินเหยื่อที่ยังเป็ๆ ทีละคำๆ และไม่ยอมกินเหยื่อที่ตายแล้ว” ชิงอีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าพวกเขาได้เข้ามาเจอกับศิษย์สายนอกชั้นยอดของหุบเขาเฮยเฟิงเสียแล้ว สัตว์อสูรปีศาจที่ไม่อยากเจอมากที่สุดก็คือหมาป่านรกตัวนี้นี่แหละ หมาป่านรกไม่เพียงแค่โเี้ แต่ความเร็วของมันยังว่องไวมาก ต่อให้อยากหนีก็คงหนีไม่ได้
“ไอ้ขยะ พวกเราต้องร่วมมือกัน เ้าใช้คลื่น์เก้ากระแทกโจมตี ส่วนข้าจะหาโอกาสฆ่ามัน” จิ่งเฟิงถอยกลับมา ในดวงตาของเขาฉายแววแข็งกร้าวขึ้น คำพูดนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังพูดกับหลินเฟิง
ไอ้ขยะนี่้าให้ข้าเปิดฉากโจมตีเพื่อดึงดูดความสนใจจากหมาป่านรก ส่วนตัวเองก็ฉวยโอกาสหนีไป?
หลินเฟิงหัวเราะอย่างเ็า ก่อนจะกล่าวว่า “เ้าสามารถยืนมองสหายในกลุ่มของตัวเองไปเจออันตรายได้อย่างหน้าตาเฉย แล้วแบบนี้ยังคิดว่าข้าจะเชื่อใจเ้าอีกงั้นเหรอ?”
“เ้าไม่มีทางเลือก ไม่อย่างนั้นทุกคนจะตายกันหมด” จิ่งเฟิงที่เดินถอยหลังมาเรื่อยๆ ก็กล่าวออกมาด้วยความโมโห
“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้นนะ ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนว่าเ้าจะยังไม่เคยลงมือเลยนี่? จะมากินแรงคนอื่นฟรีๆ แบบนี้ไม่ได้ อีกอย่างข้าจะไม่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อขยะคนหนึ่งหรอกนะ” หลินเฟิงลอกประโยคเสียดสีที่อีกฝ่ายเคยพูดกลับคืนไป
ขณะที่พูดหลินเฟิงก็ส่งสายตาให้คนอื่น ส่วนคนรอบข้างต่างก็เริ่มถอยหลัง
จิ้งหยุน ชิงอีและหานหมานพากันเดินถอยหลังไปเงียบๆ สู้กับหมาป่านรก ก็เท่ากับพาตัวเองไปตายน่ะสิ ยิ่งไปกว่านั้นพฤติกรรมของจิ่งเฟิงก่อนหน้านี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวัง ดังนั้นจึงเป็เื่ธรรมดาที่พวกเขาไม่อยากจะช่วย
“เยี่ยมมาก!!!” ดวงตาของจิ่งเฟิงพลันมืดมน ทันใดนั้นกลิ่นอายอันเฉียบคมก็ถูกปล่อยออกมา ด้านหลังของเขาปรากฏดาบอันแหลมคมสะท้อนแสงแวววาวขึ้นมา ก่อนที่ดาบเล่มนั้นจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
“จิติญญาแห่งดาบ”
หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจและไม่แปลกใจเลยที่เ้าหมอนี่จะหยิ่งได้ขนาดนี้ จิติญญาแห่งดาบเป็จิติญญาที่แข็งแกร่งและทรงพลังมากในบรรดาจิติญญาแห่งนักรบ ผู้ที่จิติญญาแห่งดาบจะกลายเป็นักดาบที่ทรงพลัง พลังโจมตีของพวกเขาย่อมแข็งแกร่งมาก เพียงหนึ่งดาบก็สามารถปลดปล่อยกระบวนท่าออกมาได้นับหมื่น
เพราะความแข็งแกร่งของนักดาบ ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่มีจิติญญาแห่งดาบ จึงสนใจฝึกฝนเคล็ดวิชาดาบ พวกเขาเองก็อยากจะกลายเป็นักดาบผู้แข็งแกร่งเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ชิงอี เขาเป็ผู้จิติญญาแห่งสายลม เขามีความเร็วที่โดดเด่น ดังนั้นจึงเลือกฝึกเคล็ดวิชาดาบแห่งสายลม
ดาบยาวที่ถูกดึงออกมาส่องแสงเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ ทำให้พวกเขาแสบตา
หมาป่านรกคำรามออกมาเสียงดัง ก่อนที่ร่างของมันจะพุ่งเข้าใส่ ด้วยกรงเล็บอันคมกริบทำให้มันสามารถฟันแสงสว่างที่กำลังเจิดจ้านั่นทิ้งได้
ดาบที่ดูคล้ายกับสายรุ้งปะทะกับกรงเล็บคมกริบของหมาป่านรก จนเกินเสียงสะท้อนของโลหะกระทบกัน
“กรงเล็บของมันคมยิ่งนัก” หลินเฟิงคิดในใจ สัตว์อสูรปีศาจขั้นที่ 9 ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ กรงเล็บอันคมกริบสามารถปะทะกับดาบได้อย่างสูสี และด้วยพละกำลังของหมาป่านรก ทำให้จิ่งเฟิงต้องก้าวถอยหลังถึง 10 เมตร กระทั่งพื้นใต้ฝ่าเท้ายังปรากฏหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าจิ่งเฟิ่งต้องทนรับแรงโจมตีมหาศาลแค่ไหน
ทันทีที่กรงเล็บััถูกพื้น ร่างของหมาป่านรกก็ดีดตัวพุ่งเข้าหาจิ่งเฟยอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า โดยไม่ให้จิ่งเฟิงได้หยุดพัก
จิ่งเฟิงกวัดแกว่งดาบของเขาประหนึ่งพายุฝนที่ตกกระหน่ำลงมา มันดูคล้ายกับว่ามีใยแมงมุมปรากฏขึ้นด้านหน้าของเขา แต่วินาทีต่อมาเขาก็พบว่าหมาป่านรกได้หายไปจากสายตาแล้ว
ข้างบน!
จิ่งเฟิงรู้สึกขนหัวลุก เขาไม่ลังเลที่จะโยนดาบขึ้นไปในอากาศและถอยหลังกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ไอ้สารเลว!” จิ้งหยุนสถบด่า เดิมทีจิ่งเฟิงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะเอาชนะหมาป่านรกได้อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงโยนดาบทิ้งและวิ่งมาทางพวกเขา
“ถ้าข้าต้องตาย พวกเ้าก็อย่าหวังว่าจะรอด!” สีหน้าของจิ่งเฟิงดูชั่วร้าย เขาพุ่งมาหาทั้งสี่คน
“ไสหัวไป!!!” คลื่น์เก้ากระแทกพุ่งไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“เ้า…” ร่างของจิ่งเฟิงถูกคลื่น์เก้ากระแทกดันให้ถอยกลับไป ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้น เมื่อกรงเล็บของหมาป่านรกแทงเข้ามาที่ด้านหลังของเขา จนเืสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวน จากนั้นจิ่งเฟิงก็ล้มลงกับพื้น
“หาที่ตาย” สีหน้าของหลินเฟิงเ็าขึ้น คนอื่นไม่ยุ่งกับเ้า เ้าไม่ยุ่งกับคนอื่น แต่ถ้าคนอื่นมายุ่งกับเ้า ก็ให้เ้าจัดการกับมันเอง
“โบร๋ว!!!” หมาป่านรกหอนออกมา เสียงหอนของมันราวกับเสียงร่ำไห้ของภูตผี กรงเล็บของมันฝังอยู่บนหลังของจิ่งเฟิงที่นอนกองอยู่ที่พื้น มันไม่รีบร้อนที่จะฆ่าจิ่งเฟิง สายตาที่เ็าของหมาป่านรกจ้องมองมายังหลินเฟิงและสหายอีกสามคน มิหนำซ้ำสายตาของมันยังทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุก
“ทำยังไงดี? หมาป่านรกจงใจทำให้จิ่งเฟิงาเ็ แต่ไม่คิดที่จะฆ่าและดูท่าว่ามันคงอยากเล่นงานพวกเราต่อแน่ๆ” ชิงอีกล่าวอย่างกังวล ขนาดจิ่งเฟิงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหมาป่านรก แล้วพวกเขาล่ะ? ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว
“จุดอ่อนของหมาป่านรกคืออะไร?” จู่ๆ หลินเฟิงก็ถามออกมา
ชิงอีมองไปที่หลินเฟิงอย่างแปลกใจ
“ถึงแม้ว่าหมาป่านรกจะเร็วมาก พลังโจมตีก็แข็งแกร่ง แต่การป้องกันของมันกลับด้อยโดยเฉพาะที่คอของมัน คอของมันเป็ส่วนที่เปราะบางที่สุด แต่ว่ามันสามารถใช้กรงเล็บของมันปกป้องจุดอ่อนของมันได้ ถ้าอยากโจมตีมัน เ้าต้องจัดการกรงเล็บของมันก่อน ถึงจะสามารถโจมตีไปที่คอของมันได้” หน้าผากของชิงอีเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ถึงแม้ว่าคลื่น์เก้ากระแทกของหลินเฟิงจะทรงพลังมาก แต่ด้วยความเร็วแค่นั้นคงไม่สามารถหลบกรงเล็บของหมาป่านรกเพื่อโจมตีไปยังจุดอ่อนของมันได้ ไม่มีทาง!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้