เมืองหยางโจว คฤหาสน์ตระกูลหลิน ภายในห้องที่เรียบง่ายและสะอาด หลินไห่กำลังมองภาพวาดภาพหนึ่งอย่างเหม่อลอย
ภาพวาดนั้นเป็ผู้หญิงคนหนึ่ง นางเป็สตรีที่สวยงามมาก ดวงตากระจ่างใสดุจสายธารในฤดูใบไม้ผลิ พาให้คนมองรู้สึกสั่นไหวไปทั่วจิติญญา และที่น่าประหลาดใจก็คือหญิงงามคนนี้กลับมีอสูรตัวหนึ่งที่ขดตัวอยู่บนไหล่ของนาง จะว่าเป็งูก็ไม่ใช่ ดูคล้ายัก็ไม่เชิง ช่างแปลกประหลาดมาก เพียงแค่มองครู่เดียวก็ยากจะลืมเลือนได้
“เมิ่งเหอ ในที่สุดเสี่ยวเฟิงก็โตเป็ผู้ใหญ่แล้ว เขาได้สืบทอดจิติญญาของเ้า ตอนนี้เขาอาจจะยังไม่รู้ว่าจิติญญาแห่งนักรบตนนั้นคืออะไร แต่รอจนวันที่จิติญญาของเขาตื่นขึ้น เขาก็จะเข้าใจเองว่าแม่ของเขาได้มอบมรดกและพร์ที่แข็งแกร่งให้กับเขา”
“เมื่อจิติญญาขยะได้กลายเป็จิติญญาแฝด เมื่อนั้นความแข็งแกร่งของเขาจะต้องสั่นะเืทั่วใต้หล้า”
หลินไห่ยืนอยู่ตรงหน้ารูปภาพ และพูดพึมพำกับตัวเองด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความรัก
“พวกเขาล้วนคิดว่าข้าลืมไปหมดแล้ว แต่ข้าไม่เคยลืมเลย เมื่อจิติญญาของหลินเฟิงตื่นขึ้น ข้าจะบอกเขาทุกสิ่งทุกอย่าง และสักวันข้าจะพาเขาไปที่เมืองหลวง”
แววตาของหลินไห่แสดงความรู้สึกอันแรงกล้าออกมา เขาเคยลังเลว่าถ้าหากหลินเฟิงยังคงทำตัวขี้ขลาดเหมือนเมื่อก่อน เขาจะทำให้หลินเฟิงกลายเป็คนธรรมดาและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่ตอนนี้เขาเริ่มเห็นความหวังในตัวของหลินเฟิงแล้ว เขาเชื่อว่าหลินเฟิงจะปลุกจิติญญาของตัวเองให้ตื่นขึ้นมาในไม่ช้านี้
…
หลินเฟิงไม่รู้เื่ของแม่เลย และไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับแม่ของตัวเองด้วย แต่ไหนแต่ไรมาหลินไห่ก็ไม่เคยเล่าเื่ราวของแม่ให้เขาฟัง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจิติญญางูตัวนั้นมันคืออะไรกันแน่
หลังจากทำลายการบ่มเพาะของหลินเหิง จู่ๆ หลินเฟิงก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา ราวกับว่าปมในใจได้คลี่คลายไปหมดแล้ว อาจเป็เพราะว่ารอยแผลเป็ที่หลงเหลืออยู่ในจิตใจของหลินเฟิงคนก่อนได้หายไปแล้ว
หลินเฟิงไม่ได้จากไปทันที เขาคิดจะหาประสบการณ์ที่หุบเขาเมฆพายุสักระยะ อย่างไรเสียทุกคนที่เข้ามาในหุบเขาเมฆพายุ ก็มีเป้าหมายเดียวกันนั่นก็คือ การต่อสู้ ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะไม่คิดไปยั่วยุคนอื่น แต่เขาเชื่อว่าจะต้องมีคนอื่นมาท้าประลองกับเขา
“เ้านี่เอง” ขณะที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตน ทันใดนั้นน้ำเสียงอันเ็าก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง เมื่อหลินเฟิงหันไปมองก็พบร่างบอบบางของสตรีนางหนึ่ง ถึงแม้จะไม่เห็นหน้า แต่แค่รูปร่างที่เย้ายวน ก็ทำให้คนอื่นๆ ล้วนเคลิบเคลิ้มหลงใหล
หลินเฟิงรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าตัวเองเคยรู้จักสตรีที่สวมหน้ากากคนนี้ด้วยเหรอ? เนื่องจากไม่ได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย ดังนั้นหลินเฟิงจึงนึกไม่ออกว่านางเป็ใคร อีกทั้งตัวหลินเฟิงเองก็ไม่ค่อยรู้จักผู้คนที่อยู่ในนิกายหยุนไห่มากนัก คนที่คุ้นเคยกันก็มีแค่หานหมาน ชิงอี และจิ้งหยุนเท่านั้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็ผู้หญิง ดังนั้นต้องไม่ใช่หานหมานกับชิงอี และรูปร่างกระชากใจแบบนี้ก็ไม่ใช่จิ้งหยุนอย่างแน่นอน
“ครั้งก่อนเ้าอาจหนีรอดไปได้ แต่ครั้งนี้ข้าจะไม่ให้เ้าหนีไปได้อีก” อีกฝ่ายแสยะยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบคันธนูจากด้านหลังออกมา ประโยคนี้ทำให้หลินเฟิงตาค้างไปชั่วขณะ ภาพของหลิ่วเฟยพลันปรากฏขึ้นมาในหัว หลินเฟิงจำชื่อนางได้ไม่มีวันลืม เพราะลูกศรของหลิ่วเฟยเกือบจะฆ่าเขาได้
อาจเป็เพราะรู้ว่า ความแข็งแกร่งของหลินเฟิงไม่ได้ด้อยเลย ครั้งนี้หลิ่วเฟยจึงปลดปล่อยจิติญญาแห่งนักรบทันที
ตอนนี้หลินเฟิงรู้สึกได้ว่า ตัวเองกำลังถูกจิติญญาแห่งลูกศรของอีกฝ่ายตรึงเอาไว้
“ธนูจะมีประสิทธิภาพมากหากเป้าหมายอยู่ไกล ดังนั้นข้าจะต้องประชิดตัวนางเข้าไว้” หลินเฟิงคิดและพุ่งเข้าไปหาหลิ่วเฟยอย่างไม่ลังเล
“คิดจะโจมตีระยะประชิด?” หลิ่วเฟยยิ้มเยาะเย้ย ก่อนที่นางจะปล่อยลูกศรออกจากคันธนูทันที เสียงแหวกว่ายผ่านอากาศดังกระหึ่มขึ้นมา
“แกร๊ง!” หลินเฟิงดึงดาบออกจากฝักที่อยู่ด้านหลังของเขา
“คลื่น์เก้ากระแทก! อัสนีกัมปนาท!” คลื่น์เก้ากระแทกถูกปล่อยออกมาจากมือซ้ายของหลินเฟิง อากาศไหวกระเพื่อมราวกับระลอกคลื่นมหาสมุทรที่ถาโถมไปด้านหน้า ทำให้พลังของลูกศรลดลง และด้วยเคล็ดวิชาอัสนีกัมปนาท ทำให้ลูกศรหักเป็ 2 ส่วน
“เคลื่อนไหวดั่งเงา”
ร่างของหลินเฟิงพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งการเคลื่อนไหวทั้งหมดรวดเร็ว ฉับไว และราบรื่นภายในหนึ่งลมหายใจ ประหนึ่งว่าเคยทำแบบนี้มาแล้วนับไม่ถ้วน
แต่อย่างไรก็ตามหลิ่วเฟยไม่ได้มีดีแค่สวย ความแข็งแกร่งของนางยังน่าอัศจรรย์ใจมาก นอกจากนี้นางยังอยู่ในลำดับที่ 8 ของศิษย์สายนอกอีกด้วย
นางรู้ว่าหลินเฟิง้าต่อสู้ในระยะประชิด ดังนั้นหลังจากที่ยิงลูกศรไปแล้ว นางจึงะโถอยหลังทันที หลิ่วเฟยไม่เพียงฝึกฝนทักษะการยิงธนู แต่ยังเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาตัวเบาอีกด้วย เมื่อหลินเฟิงหักลูกศรเป็ 2 ส่วน นางก็ง้างคันธนูอีกครั้ง และครั้งนี้นางจะยิงลูกศรออกมาพร้อมกันถึง 3 ดอก
“ลาก่อน” ทันใดนั้นร่างของหลินเฟิงก็หักเลี้ยวเข้าไปในป่าทางขวามือแทน วิชาตัวเบาของหลิ่วเฟยด้อยกว่าหลินเฟิงเพียงเล็กน้อย ต่อให้เขาสามารถเข้าประชิดอีกฝ่ายได้แต่มันก็ต้องใช้เวลา และใน่เวลาที่พุ่งเข้าไปหา มันก็เพียงพอให้หลิ่วเฟยยิงลูกศร 3 ดอกออกมา สำหรับหลินเฟิงตอนนี้พลังของเขายังไม่สามารถต้านทานลูกศร 3 ดอกที่ยิงออกมาพร้อมกันได้
ดังนั้นหลังจากที่หลินเฟิงเห็นหลิ่วเฟยเตรียมจะยิงลูกศร 3 ดอก ก็เปลี่ยนแผนทันที เขาตัดสินใจหลบหนีเข้าไปในป่า
ในป่านั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ขึ้นหนาแน่น ซึ่งส่งผลให้ความสามารถของหลิ่วเฟยถูกจำกัด แน่นอนว่าจิติญญาแห่งลูกศรของนางมีศักยภาพมากสำหรับการต่อสู้ในพื้นที่เปิด
“ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินพลังของผู้บ่มเพาะในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ต่ำไป มันไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะต่อสู้กับพวกเขา” หลินเฟิงแอบคิดในใจ แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ ระดับการบ่มเพาะของหลิ่วเฟยถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในระดับสูงของขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ยิ่งรวมกับพลังของจิติญญาแห่งลูกศร ก็ยิ่งทำให้การโจมตีระยะไกลของนางน่ากลัวมาก
แต่หลินเฟิงก็ไม่ท้อแท้ เขาเชื่อว่าถ้าหลิ่วเฟยตามเขาเข้ามาในป่า ชัยชนะอาจจะตกเป็ของเขาก็ได้
“หึ” หลิ่วเฟยที่ยืนอยู่ด้านหลังพลันแสยะยิ้มออกมา ก่อนจะดึงสายคันธนูออกกว้าง จากนั้นเสียงหวีดหวิวอันทรงพลังก็ดังขึ้น
ด้วยสัญชาตญาณอันตรายที่แพร่กระจายไปทั่วร่าง ทำให้หลินเฟิงรู้ว่าหลิ่วเฟยกำลังยิงลูกศรใส่เขา หลินเฟิงกำดาบในมือแน่น เขา้าเวลาเพียง 2 ลมหายใจเพื่อไปถึงป่า
“ให้ข้าจัดการเอง!!!” ทันใดนั้นเสียงะโอย่างวางอำนาจก็ดังขึ้น พร้อมกับคลื่นดาบที่พุ่งเข้ามา สัญชาตญาณของหลินเฟิงพลันกรีดร้องอยู่ในหัว ทำให้เท้าที่กำลังจะก้าวไปด้านหน้าต้องหยุดชะงัก แล้วะโถอยหลังอย่างรวดเร็ว
“ตูม” เศษฝุ่นพลันลอยตลบอบอวลไปในอากาศ เนื่องจากพื้นที่ที่อยู่ด้านหน้าของหลินเฟิงได้ะเิขึ้นมา บนพื้นมีรอยดาบฟันลึกเป็ทางยาว ถ้าหากหลินเฟิงวิ่งไปด้านหน้าต่ออีกสักสองสามก้าว ดาบเล่มนั้นคงตัดร่างของหลินเฟิงไปแล้ว
เมื่อเงยหน้าขึ้น หลินเฟิงก็พบร่างของคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนต้นไม้ คนคนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาว ส่วนในมือก็ถือดาบอยู่ และคลื่นดาบเมื่อครู่ก็ออกมาจากดาบเล่มนั้น
“ศิษย์น้องหลิ่วเฟย คนผู้นี้ทำให้เ้าไม่พอใจหรือ? ถ้าอย่างนั้น้าให้ข้าช่วยจัดการหรือไม่” ศิษย์ที่ยืนอยู่บนต้นไม้ก้มมองหลินเฟิงอย่างเหยียดหยาม ในสายตาของเขา หลินเฟิงก็เปรียบเสมือนมดที่เขาจะบดขยี้เมื่อไรก็ได้ หากหลิ่วเฟยพยักหน้าตอบตกลง เขาก็จะฆ่าหลินเฟิงทันที ถึงแม้ว่าทางนิกายจะมีกฎห้ามฆ่าศิษย์กันเอง แต่มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อเขา เนื่องจากสถานะของเขากับหลินเฟิงค่อนข้างแตกต่างกันมาก
“ศิษย์สายใน” เมื่อหลินเฟิงเห็นสัญลักษณ์ศิษย์สายในบนเสื้อผ้าของเขาก็รู้สึกหนาวใจขึ้นมา ศิษย์สายในคนนี้นึกอยากจะฆ่าก็ฆ่า ถ้าหากเขาตอบสนองช้ากว่านี้ เกรงว่าคงถูกฆ่าตายไปแล้ว
“ยู่ฮ่าว เื่ของข้าไม่จำเป็ต้องให้เ้าเข้ามายุ่ง” หลิ่วเฟยกล่าว
ที่นางยังไม่ปล่อยสายคันธนูออกไป แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะนางเกิดมีจิตคิดเมตตาต่อหลินเฟิง แต่เป็เพราะยู่ฮ่าวที่กำลังไล่จีบนางพยายามหาทางสร้างหนี้บุญคุณ ซึ่งหลิ่วเฟยไม่รู้สึกสนใจในตัวยู่ฮ่าวสักนิด ดังนั้นนางจึงไม่ลงมือ เพราะนางไม่อยากจะติดหนี้อะไรกับยู่ฮ่าว
นางเรียกจิติญญาแห่งลูกศรกลับเข้าร่างและกล่าวกับหลินเฟิงว่า “เ้าโชคดีไป ครั้งหน้าไม่เจอกันอีกจะดีที่สุด ไม่เช่นนั้นเ้าจะไม่โชคดีเหมือนอย่างวันนี้แน่”
พูดจบหลิ่วเฟยก็หันหลังเดินจากไป
“หลิ่วเฟย เ้าก็เป็เช่นนี้ตลอด” ยู่ฮ่าวส่ายหน้าแล้วเดินจากไปทันที โดยไม่หันมาเหลือบมองหลินเฟิง
“ตูม!” เสียงะเิดังกึกก้องอีกครั้ง บนพื้นข้างตัวของหลินเฟิงปรากฏรอยดาบขึ้นมาอีกเส้น
“นับว่าเ้าโชคดี ครั้งหน้าถ้าข้าเห็นเ้าทำให้หลิ่วเฟยโกรธ ข้าจะฆ่าเ้าซะ” เสียงของยู่ฮ่าวลอยมาจากที่ไกลๆ
หลินเฟิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับตัวไปไหน ถึงแม้ว่าเมื่อครู่จะมีคลื่นดาบที่ทรงพลังพุ่งมาเฉียดกายของเขา แต่ทว่ามันไม่ได้สร้างความกลัวใดๆ ให้แก่หลินเฟิงเลย
หลิ่วเฟยคิดว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้เมื่อเขาก้าวล้ำเข้าไปในเขตน้ำพุร้อนของนางโดยบังเอิญ มันทำให้นางอยากจะสังหารเขา ส่วนยู่ฮ่าวก็เป็ศิษย์สายในที่ทรงพลังมาก ถึงจะไม่มีเหตุผลขัดแย้งกัน แต่เขาก็เกือบจะสังหารหลินเฟิง เพียงระยะสั้นๆ ที่หลินเฟิงทะลุมิติมายังโลกนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ผู้ที่แข็งแกร่งจะได้รับความเคารพ
“ยู่ฮ่าว เมื่อข้าบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาได้เมื่อไร ข้าจะเอาดาบแทงเ้าซะ” หลินเฟิงก้มมองรอยดาบทั้งสองเส้นที่อยู่บนพื้น ในดวงตาของเขาเป็ประกายแหลมคมขึ้นมาก่อนจะหันหลังเดินจากไป เขาเชื่อว่าสักวันพร์ของเขาจะก้าวหน้ายิ่งกว่านี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้