หลิวฉินเห็นหลินฟู่อินจ้องเขาไม่วางตาก็รู้สึกว่าจังหวะนี้เขาจะผิดพลาดไม่ได้ จึงปรับอารมณ์ให้จริงจังขึ้น
เขากล่าวขึ้นมาช้าๆ “พวกที่ยังทำมาค้าขายอยู่ใน่นั้นส่วนมากจะเป็ชาวเป่ยหรง เพราะฝั่งนั้นไม่มีฉลองปีใหม่ แต่เพราะชอบบรรยากาศความคึกคักของงานปีใหม่และการลอยโคมของต้าเว่ย พวกคนรวยจากทางนั้นจึงชอบพาครอบครัวมาพักผ่อนที่ฝั่งเราใน่สองงานนั้น”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หลินฟู่อินไม่รอให้กล่าวจบ เอ่ยขัดเขาขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนกล่าวว่า “จะบอกว่าเราควรเร่งเปิดให้ทันสิ้นปีเพื่อรอจับลูกค้ามีเงินเ่าั้ใช่หรือไม่?”
หลิวฉินเห็นหลินฟู่อินตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เขาจึงยิ้มหยีตาแล้วพยักหน้ารับอย่างมั่นคง “ถูกต้อง!”
“ดี เช่นนั้นข้าจะไปพบพ่อบ้านของเจียงฮูหยินตามที่คิดไว้กับนายหน้าเมิ่งพร้อมตั๋วแลกเงินในมือ” หลินฟู่อินหัวเราะ
หลิวฉินพยักหน้า
ทั้งสองสนทนากันเื่กิจการต่อไปอีกเล็กน้อย ก่อนแยกทางกัน
เมื่อหลิวเสี่ยวเถาและหลินเสี่ยวเหอตามพนักงานหญิงนามอิงจื่อมาจนถึงภัตตาคารหลิวจี้แล้ว ทั้งสองก็ถูกนำทางไปห้องรับประทานอาหารอันหรูหราโดยเสี่ยวเอ้อร์รูปงาม
ที่ปฏิบัติต่อขนาดนี้ก็เป็เพราะผู้ดูแลเห็นว่าทั้งสองเป็ญาติของหลินฟู่อิน
หลินเสี่ยวเหอนั่งแก้มป่องมองหน้าหลินเสี่ยวเถา ดูไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย “เหตุใดคุณชายจึงไม่ยอมมาทานอาหารร่วมกับเรา แล้วเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้พี่ฟู่อินกัน?”
หลินเสี่ยวเถาจิบชาไปเล็กน้อย นางเพิ่งเคยเข้าภัตตาคารอันโอ่อ่าเช่นนี้เป็ครั้งแรก นางจึงค่อนข้างเกร็ง และไม่ได้สนใจอารมณ์ของหลินเสี่ยวเหอเลย
“ข้าคุยกับเ้าอยู่นะ ตอบอะไรเสียหน่อยจะเป็อะไรหรืออย่างไร? พี่ฟู่อินดูสนิทสนมกับคุณชายมาก เ้าคิดว่าทั้งสองจะ… หรือไม่”
“เ้าไม่พอใจอะไรกัน? แล้วทั้งสองทำไมหรือ? นอกจากคู่ค้าทำธุรกิจแล้วจะให้เป็อะไรได้อีก? หรือเ้าอยากให้ทั้งสองทำหน้าบูดบึ้งคุยกันเช่นนั้นหรือ?” หลินเสี่ยวเถามองหลินเสี่ยวเหออย่างไม่สบอารมณ์ “เ้าควรจะพูดให้น้อยลง ทานอาหารดีๆ มื้อนี้ เสร็จแล้วก็กลับไปอวดที่หมู่บ้านเสีย อย่าได้สร้างปัญหา”
หลินเสี่ยวเหอที่ถูกหลินเสี่ยวเถาดุใส่สติก็หลุดไปในบัดดล นางลุกขึ้นชี้หน้าหลินเสี่ยวเถา ปากพร้ะเบ็งเสียงด่า แต่หลินเสี่ยวเถาหยุดนางไว้ “ระวังมารยาทหน่อย หากคนของบ้านคุณชายหลิวมาเห็นเข้า จะไม่ถูกนินทาเอาหรือว่าสตรีของบ้านใหญ่สกุลหลินนั้นไร้การศึกษา!”
คำพูดของหลินเสี่ยวเถาแทงใจดำหลินหลินเสี่ยวเหอเข้าอย่างจังจนนางต้องหยุดแล้วนั่งลง แต่ปากก็ยังบ่น “พูดเหมือนคำพูดคำจาของเ้าดูมีการศึกษามากนักอย่างนั้นแหละ!”
หลินเสี่ยวเถามองหลินเสี่ยวเหอ จากนั้นจึงส่ายศีรษะ แล้วแค่นจมูก “สตรีในสกุลหลิน นอกจากพวกบ้านใหญ่เช่นเราต่างก็ดูจะมีแต่คนชื่นชมกันทั้งนั้น ทั้งพี่เฟิน พี่ฟาง พี่ฟู่อิน หรือแม้แต่คนรุ่นก่อนเช่นป้ารองเองก็ดูจะเป็ที่ชื่นชมของหมู่บ้านในสมัยที่นางยังเยาว์วัยมิใช่หรือ?”
ได้ยินหลินเสี่ยวเถากล่าวเช่นนี้แล้ว หลินเสี่ยวเหอจึงกล่าวอะไรไม่ออก
เมื่อถึงเวลาที่อาหารมาถึง เพราะทั้งสองต่างก็เป็เด็กที่เติบโตมาในถิ่นบ้านนา จึงไม่เคยได้เห็นมื้ออาหารอันหรูหราเช่นนี้มาก่อน เป็ผลให้ทั้งสองลืมทุกสิ่งไปจนสิ้น
หลินฟู่อินกลับไปยังบ้านของนาง จากนั้นจึงนำเงินที่ได้มาไปรวมกับเงินที่ซ่อนไว้เพื่อเป็ค่าซื้อร้าน แล้วนำทั้งหมดออกมาเพื่อเตรียมไปซื้อ และในตอนที่นางก้าวออกมาจากห้องนั้นเองที่นางได้ยินเสียงเปิดประตู
นางสะดุ้งเพราะเสียงนั้นดังมาจากห้องของหวงฝู่จิน แต่ก่อนหน้านี้หวงฝู่จินได้กล่าวกับนางว่าเขาคงกลับมาที่เมืองนี้ไม่ได้อีกพักใหญ่
มีโจรหรือ?
ตอนนี้นางมีเงินนับหมื่นอยู่กับตัวเสียด้วย! หากเป็โจรกระจอกทั่วไปนางคงพอรับมือได้ แต่หากเป็โจรโฉดที่มีวรยุทธนางก็คงหมดหนทาง
หลินฟู่อินเหงื่อกาฬหลั่งริน แต่ไม่มีทางเลือกแล้ว นางกัดฟันไว้ เกร็งร่างตึง แล้วจึงค่อยๆ หันหลังกลับไป
บุรุษผู้ยืนอยู่ตรงประตูนั้นมีร่างสูงโปร่ง ห่มร่างด้วยชุดคลุมสีดำ ปกเสื้อคลุมทำจากหนังจิ้งจอก เท้าสวมปิดไว้ได้รองเท้าหนัง เสื้อสีนิลกาฬดูงดงามยิ่งนัก
เขาเพียงยืนมองนางเงียบๆ ด้วยมุมปากที่โค้งมนขึ้นให้เห็นถึงความพอใจเล็กๆ
คิ้วอันได้รูปนั้นดูปลอดโปร่งทว่าดุดัน และเมื่อริมฝีปากของเขาโค้งเป็รอยยิ้มอันสูงศักดิ์แล้ว มันก็ดูราวกับเป็ดอกบัวที่บานเบ่งคล้อยไปกับกระแสลมก็มิปาน…
หลินฟู่อินตกตะลึง เพราะคาดไม่ถึงว่าโจรในชุดดำจะดูหล่อเหลาถึงเพียงนี้
“น้ำลายเ้าหกแล้วนะ” หวงฝู่จินเลิกคิ้วขึ้น
น้ำเสียงนั้นอบอุ่นและชุ่มฉ่ำ ราวกับกำลังกลัวว่าจะทำให้นางต้องหวาดระแวง
ทั้งนี้ เขารู้ั้แ่ตอนเปิดประตูแล้วว่าจะทำให้นางกลัว
หลินฟู่อินรู้สึกอับอายยิ่งนัก แต่ก็ยังยกมือขึ้นปาดน้ำลาย และแน่นอนว่ากว่าจะรู้ตัวว่าหวงฝู่จินเพียงแกล้งนางเล่นเท่านั้นก็สายไปเสียแล้ว
นางจึงไม่คิดรักษาท่าทีอีก แล้วแกล้งคืน “ความหล่อเหลาของคุณชายนั้นนับได้ว่าเหนือธรรมดา แต่กลับเล่นอะไรแผลงๆ เสียจนิญญาข้าแทบหลุดออกจากร่าง”
หวงฝู่จินมองนาง ริมฝีปากคลี่ออกมาเป็รอยยิ้มอีกครั้ง…
“เ้าไปร่ำเรียนฝีปากเช่นนี้มาจากที่ใดกัน วาจาเชือดเฉือนเช่นนี้ มิกลัวต้องครองโสดไปตลอดชีวิตหรือ?”
“คุณชายไม่ต้องกังวลเื่ปัญหาชีวิตของข้า เพราะอายุอานามท่านเองก็ไม่ได้น้อยแล้วมิใช่หรือ?” หลินฟู่อินตอบ
หวงฝู่จินพูดไม่ออก
เล่นเื่ที่เขาอายุมากกว่าหรือ?
ก็จริง… ที่เขาอายุมากกว่านางพอสมควร
แต่เล่นไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ จะยังสนทนากันตามปกติได้อยู่อีกหรือ?
“อะแฮ่ม…” หวงฝู่จินยกมือขึ้นมาป้องปาก ก่อนกระแอมหลายครั้งอย่างไร้ประโยชน์
หลินฟู่อินเห็นว่าได้เวลาพอเหมาะที่จะหยุดแล้ว จึงเอียงคอแล้วถามเขา “แล้วท่านมีธุระอันใดหรือ?”
“ข้ากลับมาพบเ้า” หวงฝู่จินกล่าว จากนั้นจึงก้มหน้าลงมองนาง เมื่อเห็นว่านางมีสีหน้าเด๋อด๋าแล้วเขาจึงยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ได้ยินว่ากิจการของเ้ากำลังไปได้สวย ข้าจึงอยากให้เ้าแบ่งปันข้อมูลให้ข้าด้วย”
หลินฟู่อินลืมประโยคแรกไปทันที สนเพียงประโยคที่สอง “อยากให้สอนที่ว่านี้ หมายถึงว่าข้าขายขนมอะไรบ้างเช่นนั้นหรือ?”
หวงฝู่จินพยักหน้า แม้สารจริงๆ จะเป็ประโยคแรกก็ตาม แต่เด็กสาวผู้นี้ยังคงเยาว์วัยและความสนใจคับแคบ คงช่วยไม่ได้
“เช่นนั้นก็ไม่ยาก เอาไว้ข้ามีเวลาแล้วข้าจะเขียนสูตรให้ท่าน” หลินฟู่อินนึกว่าจะเป็เื่ใหญ่ แต่กลับเป็เพียงอะไรง่ายๆ เช่นนี้เสียอย่างนั้น
จากนั้นนางจึงคิดต่อแล้วถามขึ้นมา “ท่านส่งคนมาบอกข้าก็ได้ จะกลับมาเองทำไมหรือ?”
หวงฝู่จินเงียบไป แล้วถามด้วยเสียงอันเบา “เ้าไม่อยากพบหน้าข้าหรือ?”
หลินฟู่อินหน่ายใจ จะอ่อนไหวอะไรขนาดนั้น?
“ข้าเข้าใจว่าท่านคงกำลังยุ่งกับหลายๆ เื่ การเดินทางไปกลับย่อมเป็การเสียเวลา” หลินฟู่อินกล่าว
“ข้าไม่กลัวเื่การเสียเวลา” หวงฝู่จินมองนาง
หลินฟู่อินเห็นว่าเขาเริ่มมีท่าทีอารมณ์เสียขึ้นมา ก็คิดขึ้นมาได้ว่าตัวนางเองก็ไม่ชอบใจเวลาที่มีคนมาจุ้นจ้านมากไปเช่นกันไม่ใช่หรือ?
“หากคุณชายพอใจ ข้าก็พอใจ ข้าจะไม่กล่าวสิ่งใดอีก” หลินฟู่อินผสานมือขอโทษแก่หวงฝู่จิน จากนั้นก็กล่าวต่อ “คุณชายคงเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว เชิญท่านพักผ่อนเถิด”
“เ้าจะไปไหน?” หวงฝู่จินเห็นหลินฟู่อินแต่งตัวดูดีและกำลังตั้งท่าจะออกไปข้างนอก เขาจึงถามออกมา
“ข้าจะไปซื้อร้านสำหรับทำกิจการในเมืองชิงเหลียน” หลินฟู่อินตอบเขาตามตรงอย่างไม่ปิดบัง “ข้าคิดจะย้ายไปอยู่ที่นั่น”
หวงฝู่จินได้ยินแล้วจึงตะลึงไป แต่ครู่ต่อมาก็ได้สติ
เขาเองก็กำลังคิดจะย้ายฐานธุรกิจบางส่วนไปที่นั่นเช่นกัน แต่เด็กคนนี้เตรียมการจะไปแล้วเช่นนั้นหรือ? ไม่รวดเร็วไปหน่อยหรือ?...
“เ้าคิดจะไปอยู่ที่ชิงเหลียนเลยหรือ?” หวงฝู่จินเดินไปอยู่ข้างหลินฟู่อินพลางกล่าวถาม
ร่างสูงโปร่งนั้นเอนเข้าหานาง แต่ใจของหลินฟู่อินนั้นไร้ซึ่งความอึดอัด
“ข้าซื้อเรือนที่เมืองชิงเหลียนไว้แล้ว ดังนั้นแม้จะไปอยู่เลยก็มิใช่ปัญหา”
จากนั้นจึงกล่าวต่อ “ข้าเพิ่งรวบรวมเงินได้ครบในวันนี้ และข้ากำลังจะนำมันไปมอบให้ผู้ขาย”
ซื้อบ้าน ซื้อไร่ และซื้อร้านสำหรับภัตตาคารได้ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้เลยหรือ?
หวงฝู่จินนึกทึ่ง เขารู้อยู่แล้วว่านางเก่งกาจในการรวบรวมเงิน แต่ความเร็วในระดับนี้ก็ยังทำให้เขาประหลาดใ
ดูท่าคงต้องมองนางใหม่เสียแล้ว
ที่ผ่านมาแม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่านางมีพร์ในการหาเงิน แต่เขาก็ไม่เคยใส่ใจมากนัก แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่เพียงเดือนเดียว แต่กลับหาเงินได้ถึงสี่ถึงห้าหมื่นตำลึงเงิน
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็เด็กสาววัยเพียงสิบสามสิบสี่ด้วยแล้ว
ดวงตาของหวงฝู่จินเป็ประกายขึ้นมา ใจรู้สึกว่าเขายิ่งรู้จักเด็กสาวตรงหน้านี้น้อยลงเรื่อยๆ
เขารู้สึกราวกับนางเป็สมบัติอันลี้ลับที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ ทุกครั้งที่เขารู้สึกว่าเขาเข้าใจนาง นางก็จะเผยด้านใหม่ออกมาสร้างเพื่อความตะลึงให้เขาได้เสมอ
“ข้าจะไปกับเ้าด้วย” หวงฝู่จินกล่าว เขากังวลเื่ที่เด็กสาวเช่นนางต้องหอบเงินก้อนใหญ่ไปซื้อร้านคนเดียว
หลินฟู่อินอยากปฏิเสธ แต่เมื่อคิดว่าตนกำลังถือเงินกว่าสี่หมื่นห้าพันตำลึงอยู่ก็เริ่มกังวลขึ้นมา
เมื่อคิดถึงวรยุทธของหวงฝู่จินแล้ว นางจึงตัดสินใจที่จะรับข้อเสนอของเขา
“เช่นนั้นข้าจะไปขอยืมรถม้าจากหลี่อี้ก่อน” หลินฟู่อินกล่าว
หวงฝู่จินคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินชื่อหลี่อี้ กล่าวออกมาทันทีว่า “ไม่ต้อง ข้ามีรถม้าอยู่แล้ว”
จากนั้นเขาจึงยื่นมือออกไปดึงแขนหลินฟู่อิน “ไปกัน”
หลินฟู่อินมองมืออันใหญ่โตของเขาอย่างเหม่อลอย
เขาและนาง…
จากนั้นจึงส่ายหน้าเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป แล้วกล่าวกับหวงฝู่จินว่า “ข้ายังต้องไปหานายหน้าเมิ่งอยู่”
“ไม่จำเป็ เ้าเพียงจ่ายเงินให้ผู้ขายด้วยมือหนึ่งและรับโฉนดแดงด้วยมือหนึ่งก็พอ” หวงฝู่จินกล่าวกับนางอย่างอ่อนโยน
“จากนั้นข้าก็ต้องไปยังจวนของเ้าเมืองเพื่อเปลี่ยนโฉนดแดงอีก ไม่ยุ่งยากไปหน่อยหรือ?” หลินฟู่อินกล่าว
“ไม่ต้องกังวล เ้าได้โฉนดมาแล้วก็นำไปให้เ้าคนที่ชื่อเมิ่งนั่นเพื่อให้ทางนั้นนำไปจัดการต่อเสีย” หวงฝู่จินอธิบายอย่างใจเย็น
เขาไม่อยากให้นายหน้าเมิ่งมาขึ้นรถม้าของเขา
หลินฟู่อินลองพิจารณาดูแล้วก็นับว่ามีเหตุผล บางทีเมื่อครู่นางอาจจะโง่ลงเพราะมีหวงฝู่จินอยู่ใกล้ๆ จนเผลอลืมคิดถึงเื่นี้ไป
พ่อบ้านของเจียงฮูหยินอึ้งอยู่นานก่อนจะเริ่มส่งเสียงออกมา เขาคาดไม่ถึงว่าหลินฟู่อินจะสามารถหาเงินนับหมื่นมาซื้อร้านของนายเขาได้จริงๆ
ทั้งยังใช้เวลาเพียงไม่นานด้วย
พ่อบ้านร่างสั่นสะท้าน ก่อนรีบวิ่งกลับเข้าห้องเพื่อไปนำกล่องไม้สีเหลืองอันหรูหราออกมาเพื่อยื่นให้หลินฟู่อิน “แม่นางหลิน ในนี้มีโฉนดของตัวร้านอยู่ โปรดตรวจทานแล้วเก็บรักษาไว้ให้ดี”
หลินฟู่อินรับกล่องมาแล้วยื่นให้หวงฝู่จิน
เพราะไม่มีนายหน้าเมิ่งอยู่ด้วย นางจึงทำได้เพียงให้หวงฝู่จินช่วยตรวจทานให้ เพราะตัวนางแยกโฉนดจริงและโฉนดปลอมไม่ออก
เมื่อหวงฝู่จินเห็นว่านางไม่ได้มองกล่อง แต่มองตรงมายังเขา ดวงตาได้รูปของเขาจึงทอประกายขึ้นมา
จากนั้นเขาจึงเปิดกล่องแล้วตรวจทานโฉนดอย่างถี่ถ้วน
ส่วนหลินฟู่อินก็สนทนากับพ่อบ้านชราด้วยรอยยิ้ม
ในระหว่างนั้น สายตาของพ่อบ้านชราก็ถูกดึงไปหาหวงฝู่จินไม่หยุด ในใจคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้คงมิใช่คนธรรมดาเป็แน่
เพราะแม้จะพยายามปกปิดแล้ว แต่บรรยากาศอันสูงศักดิ์นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถปิดบังกันได้โดยง่าย
พ่อบ้านของเจียงฮูหยินเองก็ผ่านโลกมาไม่น้อย จึงพอจะมองออกได้ว่าหวงฝู่จินไม่ใช่คนทั่วไป
แต่เขาไม่ถามอะไรออกไป เพราะเขาจะไม่เข้าไปยุ่งกับเื่ไม่เป็เื่
ทว่าเขาก็ปรับท่าทีที่มีต่อหลินฟู่อินให้นอบน้อมมากขึ้น
“แม่นางหลิน ตาแก่คนนี้ได้ลองใช้ถุงและใบอ้ายเฉ่าสำหรับแช่เท้าที่แม่นางหลินให้ท่านเมิ่งนำมาให้จนหมดตามที่แม่นางแนะนำแล้ว ผลที่ได้ราวกับปาฏิหาริย์ เท้าข้าไม่เย็นเท่าเมื่อก่อนแล้ว” พ่อบ้านกล่าวเสียงใส แล้วกล่าวขอบคุณหลินฟูอินอย่างจริงใจ
“มันดีจนข้าอยากนำไปแจกจ่ายต่อเลยทีเดียว” ได้ยินเช่นนี้หลินฟู่อินก็พอใจ จากนั้นทั้งสองจึงสนทนากันต่อเล็กน้อย
แล้วหลินฟู่อินก็นึกเื่ของแม่นางฉินขึ้นมาได้ จึงกล่าวกับพ่อบ้านชราว่า “จะว่าไป ท่านพ่อบ้าน เมื่อคราวก่อนที่ข้าเคยบอกกับท่านไว้ว่าอาของข้าอยากซื้อร้านในเมืองชิงเหลียน ท่านจำได้หรือไม่?”
“จำได้สิ จำได้!” พ่อบ้านชราพยักหน้าไม่หยุดแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาของท่านผู้นั้นว่าอย่างไรบ้าง?”
พ่อบ้านเห็นแล้วว่าหลินฟู่อินสามารถหาเงินนับหมื่นมาจ่ายได้ในเวลาอันสั้น เขาจึงมั่นใจว่าอาของหลินฟู่อินที่กล่าวว่าจะซื้อร้านนี้เองก็น่าจะหาเงินมาจ่ายไหวเช่นกัน
หลินฟู่อินยิ้มตอบ “อาของข้าสนใจที่จะซื้อ แต่หากลดราคาได้อีกสักเล็กน้อยก็คงดี”
พ่อบ้านชรานิ่วหน้า จากนั้นจึงเหลือบมองหวงฝู่จินที่กำลังตรวจทานโฉนดอยู่ ก่อนจะยิ้มขึ้น “แต่เดิมแล้ว นายหญิงของข้าคิดว่าราคามันไม่ควรต่ำกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันห้าร้อยตำลึงเงินเสียด้วยซ้ำ แต่หากเพื่อแม่นางหลินแล้ว ข้าคิดว่านายหญิงน่าจะยอมลดให้ได้อีก” จากนั้นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อ “ให้ได้หนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงเงิน บอกอาของแม่นางได้เลยว่านี่ถูกที่สุดเท่าที่จะให้ได้แล้ว!”
หลินฟู่อินมองว่าการยอมลดลงนับพันตำลึงจากราคาเต็มหนึ่งหมื่นหกพันนี้นับว่าไม่น้อย
ซึ่งการลดได้อีกห้าร้อยก็เป็ไปตามที่แม่นางฉิน้า
เมื่อพิจารณาเสร็จแล้ว หลินฟู่อินจึงยิ้มแล้วกล่าวออกมา “ได้ ข้าจะนำเื่นี้ไปบอกอาของข้า”
“ต้องรบกวนแม่นางแล้ว” พ่อบ้านกล่าวอย่างสุภาพ
หลินฟู่อินยิ้มแล้วโบกมือให้ จากนั้นจึงมองหวงฝู่จิน
หวงฝู่จินยืนมองมาสักพักแล้ว แต่เพราะเห็นทั้งสองยังคงสนทนากันอยู่ เขาจึงรออยู่เงียบๆ
เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินหันมา เขาจึงพยักหน้าเบาๆ ให้นาง
หลินฟู่อินพยักหน้ารับทราบ แล้วจึงยิ้มขึ้นก่อนกล่าวลาพ่อบ้านชรา
แต่พ่อบ้านกลับหยุดนางไว้ด้วยรอยยิ้ม “แม่นางหลิน เพราะที่ของนายหญิงได้ถูกขายไปเกือบหมดแล้วจากการที่แม่นางซื้อไป ดังนั้นข้าจึงจะย้ายไปอยู่ที่โรงเตี๊ยมในเมืองสักหลายวันเพื่อรอให้อาของแม่นางมาพบ ส่วนพวกเครื่องประดับมีค่าของนายหญิงที่อยู่ในร้านและเรือนนั้น ข้าจะให้ไปพร้อมตัวเรือนเลย”
ดูเหมือนในตอนที่พ่อบ้านมาถึงเรือนตอนแรก มันจะยังมีเครื่องเรือนเครื่องใช้มากมายเหลือไว้ เช่นเครื่องประดับ ภาพแขวน เครื่องเคลือบ และเครื่องไม้ เครื่องทองแดงอันหรูหรามากมาย
เดิมทีแล้วเขามีแผนที่จะนำสิ่งเหล่านี้ไปขายทอดตลาดในราคาถูกในตอนที่เขาต้องไปจากที่นี่ แต่ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนใจแล้ว และจะมอบทั้งหมดให้หลินฟู่อินไปเลย
หลินฟู่อินกล่าวขอบคุณเขาไม่หยุด แต่โลกใบนี้ปราศจากสิ่งของที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียเงิน นางจึงกล่าวกับเขาว่า “หากในอนาคต ท่านพ่อบ้านหรือเจียงฮูหยินอยากจะกลับมาเยือนแดนเหนือแห่งนี้อีก ก็เชิญพวกท่านมาพบข้าได้เลยเ้าค่ะ”
นั่นเป็สิ่งที่พ่อบ้านอยากได้ยินจากปากของหลินฟู่อิน และเมื่อเขาเห็นนางตอบสนองได้รวดเร็วเช่นนี้ เขาจึงกล่าวชมนางในใจว่านางช่างเป็คนจริงใจ
“เพราะนายน้อยของข้าผู้ต้องเติบโตขึ้นในบ้านของท่านปู่และย่า อาจจะได้มีโอกาสตามรอยบิดามารดาของเขาในอนาคต” พ่อบ้านกล่าวออกมา “หากวันนั้นมาถึง ข้าก็คงต้องขอรบกวนแม่นางหลินด้วยขอรับ”
หลินฟู่อินกล่าวชมพ่อบ้านผู้นี้อยู่ในใจ การตามสถานการณ์ได้โดยไม่สร้างความรำคาญให้คู่สนทนานั้นนับว่ายอดเยี่ยม นางจึงยิ้มและกล่าว “เป็สิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว เพราะโชคชะตาที่เชื่อมโยงข้าและเจียงฮูหยินไว้ก็ไม่ได้ตื้นเขิน มิเช่นนั้นข้าคงไม่ได้รับที่ดินจากนางต่อเนื่องเช่นนี้เป็แน่”
พ่อบ้านลูบเคราแล้วกล่าว “ไม่ผิดเลย”
เป็ตอนนี้เองที่หวงฝู่จินผู้เงียบมาตลอดได้กล่าวขึ้นมา “ท่านพ่อบ้าน ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเจียงฮูหยินยังมีที่ในเมืองชิงเหลียนเหลืออยู่อีกหรือไม่?”
พ่อบ้านชราคาดไม่ถึงว่าคุณชายผู้นี้จะถามเขาขึ้นมา จึงอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็รีบตอบกลับอย่างสุภาพทันทีเมื่อได้สติ “นายหญิงของข้ายังมีไร่ใหญ่เหลืออยู่ในเมืองชิงเหลียนอีกหลายที่ แต่มันกว้างใหญ่ยิ่งนักจนเป็การยากที่จะขายให้หมดในคราเดียว”
หวงฝู่จินไม่แม้แต่จะเสียเวลาหยุดคิด กล่าวออกมาว่า “ข้าซื้อทั้งหมดนั่นเลย และเพราะข้าไม่ใช่คนต้าเว่ย ข้าจะซื้อทั้งหมดนั่นภายใต้ชื่อของคุณหนูหลิน”
พ่อบ้านชรารับคำ เช่นนั้นแล้วก็นับว่ายอดเยี่ยมสำหรับเขา
เพราะเมื่อขายทั้งหมดนี้ได้แล้ว เขาก็จะสามารถกลับไปยังบ้านเกิดได้เสียที!
แน่นอนว่าเขาไม่แคลงใจในคำประกาศซื้อของหวงฝู่จินเลยแม้แต่น้อย
“ในเมื่อท่านพ่อบ้านตกลงแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะให้คนนำตั๋วแลกเงินมาให้” หวงฝู่จินกล่าวด้วยน้ำเสียงกระจ่างใส ไม่แม้แต่จะถามว่ามีเนื้อที่ทั้งหมดเท่าไร หรือแม้แต่เื่ที่ว่ามันใช้เพาะปลูกได้หรือไม่ เมินเฉยแม้แต่เื่ราคาและประกาศซื้อไปเลย
หลินฟู่อินมองหวงฝู่จินอย่างตกตะลึงเพราะไม่เข้าใจความคิดของเขา นางจึงเอ่ยถามขึ้นมาด้วยเรียวคิ้วที่เริ่มขมวดด้วยความแคลงใจ “คุณชายจะซื้อที่ดินในต้าเว่ยไปเพื่อสิ่งใดกัน?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้