“ตรงนี้ไม่มีใครนั่งใช่ไหม” กัวไฮว่ยิ้มๆ แต่ไม่ทันให้เด็กสาวที่ก้มหน้าคนนั้นตอบกลับเขาก็ไปนั่งข้างเธอแล้ว
“กัวไฮว่เธอเปลี่ยนที่เถอะ ตรงนั้นมีคนนั่งแล้ว” หลินซวงมองเด็กสาวที่นั่งก้มหน้าแวบหนึ่งแล้วพูดกับกัวไฮว่ด้วยเสียงเบา
“ไม่มีคนหรอกมั้งโต๊ะก็ใหม่ใต้โต๊ะไม่มีหนังสือด้วยครูหลินไม่ต้องวุ่นวายแล้วตรงนี้แหละ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆจากนั้นก็ใช้วิชาอ่านจิตกับเด็กสาวที่อยู่ข้างตน
“ข่งเสวียนถ้านายยังมีชีวิตอยู่จะดีแค่ไหนกันนะ ทำไมนายถึงทิ้งฉันได้ลงคอแถมยังสาบานอะไรแบบนั้นอีกนายจะให้ฉันมีชีวิตต่อไปได้ยังไง” ความคิดของเด็กสาวพลันปรากฏขึ้นในสมองของกัวไฮว่
“ช่งเสวียน นักเวทในอดีตกาลจะมารู้จักกับเด็กนี่ได้ยังไงไม่มีทาง” แต่กัวไฮว่ก็คิดได้โดยสัญชาตญาณ “ไม่ใช่สิที่นี่มันแดนมนุษย์มารดามันเถอะ ทำเอาใแทบแย่”
“เด็กหนุ่มคนหนึ่งผลักเด็กสาวออกไป ตัวเองเลยถูกรถบรรทุกชนเข้าเพราะไม่อาจช่วยไว้ได้เลยเสียชีวิตไปก่อนที่จะตายได้บอกให้เด็กสาวคนนั้นลืมตัวเองซะ ให้เธอไปใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ดีต่อไป” เศร้าอะไรขนาดนี้ นี่เป็สิ่งที่อยู่ในความคิดของเด็กหญิงที่อยู่ข้างๆ กัวไฮว่
“อะแฮ่ม สวัสดีฉันชื่อกัวไฮว่ เป็นักเรียนใหม่ห้องหนึ่ง ถ้าตรงนี้มีคนนั่งเดี๋ยวฉันไปนั่งที่อื่นก็ได้” กัวไฮว่เรียกวิชาอ่านจิตกลับคืนแล้วพูดกับเด็กสาวที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้านหลังยังมีเด็กสาวที่หน้าตาไม่เลวคนหนึ่งไปนั่งข้างๆ เธอก็ไม่แย่เท่าไหร่
“นั่งนี่เถอะ ตรงนี้ไม่มีคน” เด็กสาวค่อยๆ เงยศีรษะขึ้นมากัวไฮว่จึงได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงเด็กสาวคนนี้
“คุณพระ! ขอบคุณท่านเง็กเซียนฮ่องเต้ จะให้ข้าขอบคุณท่านเช่นไรดีแดนมนุษยช่างงดงามโดยแท้” เด็กสาวคนนี้ทำให้กัวไฮว่ถึงกับสั่นสะท้านงดงามดั่งเทพเ้าผู้สร้างสรรพสิ่งใช้เวลาปั้นเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้นานเท่าใดนางถึงได้สวยกว่าเทพเซียนบนสรวง์เสียอีก อวี้เอ๋อร์?อวี้เอ๋อร์ยังไม่งามเท่านางเลย
“งั้นฉันนั่งนะ” กัวไฮว่มองเด็กสาวแวบหนึ่งแล้วมองหลินซวงแวบหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเบา
วิชาเรียนในวันแรกทำให้กัวไฮว่ได้เข้าใจถึงการเป็นักเรียนคาบแรกคือวิชาภาษาของหลินซวง ดีที่ครูเป็สาวสวยมองอย่างไรก็ไม่เบื่อตัวเขาเองเลยได้เรียนบ้างคาบที่สองคือคาบภาษาอังกฤษก่อนหน้านี้ภาษาอังกฤษของกัวไฮว่ไม่เลวนักเพราะจะได้ดูหนังโป๊ทุกๆประเภทเข้าใจเลยขยันเรียนไปหน่อยหนึ่ง สิ่งที่ครูสอนเขาก็พอเข้าใจทว่าเขากลับไม่ได้ฟังสักนิดเหตุผลง่ายๆเลยคือคุณครูเป็ตาแก่หัวล้านอายุสามสิบกว่าน่าสะอิดสะเอียนจริงๆคาบสุดท้ายของตอนบ่ายก็คือคาบประวัติศาสตร์ชายแก่พ่นน้ำลายเล่าประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถังเสียมั่วซั่วซึ่งแทงใจกัวไฮว่ผู้เกิดในสมัยราชวงศ์ถังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ไซอิ๋วทุกคนเคยอ่านกันแล้วใช่ไหมในหนังสือมีหลายจุดเลยที่พรรณนาความรุ่งเรืองของราชวงศ์ถังเอาไว้ความจริงแล้วในประวัติศาสตร์ไม่มีพระรูปนั้น แล้วก็ไม่มีซุนหงอคงตือโป๊ยก่ายอะไรพวกนั้นอีกสมัยราชวงศ์ถังมีเพียงพระรูปหนึ่งที่ชื่อว่าเจี้ยนเจินเขานำพุทธศาสนาที่รุ่งเรืองในสมัยราชวงศ์ถังเผยแพร่ไปที่ญี่ปุ่น” ตาแก่พูดเสียงดัง
“ผมทนครูมานานแล้ว ใครบอกครูว่าไม่มีซุนหงอคง ตือโป๊ยก่ายพวกนั้นล่ะครูรู้ได้ยังไง” จู่ๆ กัวไฮว่ก็ลุกขึ้นมาพูดขึ้นเสียงดัง “นี่มันเื่ใหญ่เลยนะ”
“พี่ไฮว่เจ๋งมากเลย” เฉียนตัวตัวที่ไร้สติเดิมทีอยากจะหลับก็พลันตื่นขึ้นมา เขามองกัวไฮว่พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้
“นี่นักเรียนหน้าคุ้นๆ นะ เธอคัดค้านเนื้อหาที่ครูพูดตรงไหนเหรอ” ตาแก่พูดพลางหรี่ตามองกัวไฮว่
“คุณครูฉื่อผมว่าผู้คนกับเื่ราวที่มีเขียนบรรยายไว้ในไซอิ๋วน่าจะมีทฤษฎีอ้างอิงนะไม่งั้นเสี่ยวอู๋[1]คงไม่เขียนมั่วซั่วหรอกแถมผ่านมาตั้งหลายปีแล้วยังสืบทอดกันอยู่อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่มีหลักฐานว่าพวกซุนหงอคงไม่มีอยู่จริงก่อนหน้านี้ที่ประเทศจีนของเราเคยมีคนพบถ้ำน้ำตกที่ซุนหงอคงเคยพักไม่ใช่เหรอ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ อย่างหัวแข็ง
“โอ๊ะ! เด็กนี่ความเห็นของเธอเจ๋งดี ไว้ว่างๆ เรามาคุยกันนะแต่ครูว่าครูรู้ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถังมากกว่าเธอซะอีก” ตาแก่ฉื่อพูดด้วยความไม่สบอารมณ์นักตัวเขาเองสอนหนังสือมาตั้งสิบหลายสิบปี ยังไม่เคยเห็นใครกล้าขัดเขามาก่อน
“ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถัง?ช่างมันเถอะเื่นี้ผมรู้เยอะกว่าครูเยอะเลย” กัวไฮว่พูดตามสัญชาตญาณตลกหรือเปล่าก่อนจะบินขึ้นฟ้าไปข้าเนี่ยเห็นราชวงศ์ถังรุ่งเรืองมากับตาตัวเองตอนนั้นข้าฝักใฝ่ทางเซียนไม่งั้นข้าอาจจะได้เป็ฮ่องเต้ก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้
“แคกๆๆ น่องแรกเกิดไม่กลัวเสือ[2]จริงๆ ดี ดีมากเลิกคาบแล้วเธอมาที่ห้องพักครูนะครูอยากจะถกเถียงประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถังกับเธอสักหน่อยอยากรู้นักว่าเธอจะรู้มากกว่าครูเท่าไหร่เชียว งั้นก็พอเท่านี้ก่อนเลิกคาบได้” ฉื่ออวี้ไฉตะคอกเสียงดังแล้วเดินออกจากห้องไป
“โห นับถือเลยพี่ไฮว่ พี่เจ๋งสุดยอดไปเลยทำเอาตาแก่หัวแข็งนั่นโกรธเดินออกไปเลย สุดยอดคนแห่งมอสี่ ฮ่าๆ เก่งมากเลย เก่งมาก” เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างเฉียนตัวตัวพูดพลางหัวเราะ
“ในเมื่อยังเหลือเวลาอีก งั้นฉันเล่าประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถังให้พวกเธอฟังดีกว่า” กัวไฮว่พูดพลางเดินขึ้นไปบนปะรำพิธีขณะนั้นเองเฉียนตัวตัวที่รู้อยู่แก่ใจว่ากัวไฮว่เป็สี่ตัวอันตรายก็ถึงกับตกตะลึง
“เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถังแล้วเนี่ยมีคนหนึ่งที่ต้องพูดถึงนั่นก็คือถังเสวียนจ่วง” กัวไฮว่พูดพลางเขียนคำว่าถังเสวียนจ่วงสามคำไว้บนกระดาน
“เท่จังเลย ไม่คิดเลยว่าหล่อขนาดนี้ยังลายมือสวยอีก” ในขณะที่กัวไฮว่เขียนนั่นเองนักเรียนหญิงที่อยู่ด้านล่างก็เริ่มตื่นเต้นกันขึ้นมา
“เมื่อพูดถึงถังเสวียนจ่วงแล้ว งั้นก็ต้องพูดถึงเส้นทางสู่แดนตะวันตก” กัวไฮว่มองลงไปยังนักเรียนที่อยู่ด้านล่างมีทั้งคนที่ฟังและคนที่ไม่ได้สนใจ
“จริงๆ แล้วเส้นทางสู่แดนตะวันออกไม่ใช่เส้นทางจากจีนไปอินเดียอย่างทุกคนเข้าใจแต่เป็เส้นทางที่นักเวทผู้ยิ่งใหญ่บุกเบิกขึ้นในสมัยเบิกฟ้าเบิกดินต่างหากหรือจะเรียกอีกอย่างก็คือเส้นทางแห่งบุญยังไงล่ะ” กัวไฮว่ไม่ได้สนท่าทางของนักเรียนที่อยู่ด้านล่างปะรําพิธีเขาพูดต่อไป
“ถังเสวียนจ่วงเป็ใครก็คือจินฉานจื่อกลับชาติมาเกิดนั่นเองเดิมทีเนี่ยจินฉานจื่อเป็สาวกพุทธศาสนาเขากลับมาเกิดใหม่เพราะบุญกุศลไม่เพียงพอเส้นทางสู่แดนตะวันตกจึงมีขึ้นเพื่อให้จินจื่อฉานสะสมบุญกุศลเท่านั้นเอง” กัวไฮว่พูดอย่างฉะฉาน
“ซุนหงอคงก็มีอยู่จริง ราชวงศ์รุ่งเรืองได้หลายปีก็ต้องขอบคุณถังเซวียนจ่วงแล้วที่เสี่ยวอู๋ได้เขียนเื่ไซอิ๋วเนี่ยก็เป็โชคดีของเขาแล้ว” กัวไฮว่พูดอยู่ประมาณสิบกว่านาทีคนด้านล่างปะรำพิธีสี่สิบกว่าคนก็ฟังจนเพลินไม่ว่าประวัติศาสตร์ที่กัวไฮว่พูดจะจริงหรือเท็จแต่ก็น่าฟังกว่าตาแก่นั่นเยอะ
“ผอ.หลี่นักเรียนใหม่มอสี่ห้องหนึ่งผมไม่รู้ว่าเขาเป็เส้นใครแต่เขาต้องมาขอโทษผมภายในหนึ่งสัปดาห์ผมสอนประวัติศาสตร์มาตั้งหลายปีเพิ่งจะเคยเห็นนักเรียนแบบนี้เป็ครั้งแรกไม่เห็นหัวอาจารย์คุณรู้รึเปล่าว่าเขาพูดอะไรในคาบน่ะเขาบอกว่าไซอิ๋วเป็เื่จริง” เหล่าฉื่อะโเสียงดังลั่นอยู่ในห้องทำงานของผอ.หลี่
“น้องฉื่อฟังฉันสักคำก่อนได้ไหม” หลี่สวินอวี้ดื่มน้ำจากนั้นก็พูดยิ้มๆพลางมองฉื่ออวี้ไฉ “หลายปีมานี้ฉันลงโทษคนอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ง่ายๆ เลยก็เพื่อให้นักเรียนของฟู่จงไม่ทำผิดพลาด แต่เด็กคนนี้ทำให้ฉันคิดใหม่มีเหตุผลสองอย่างก็คือข้อแรกฟู่จงเงียบเกินไปนักเรียนพวกนี้ต้องได้รับการกระตุ้นสักหน่อยข้อสองเด็กนี่แซ่กัวเป็หลานชายของนายหญิงใหญ่กัวถ้านายอยากจะลงโทษเขาฉันว่านายไว้หน้าตระกูลกัวหน่อยก็ดีนะ”
“หลานชายตระกูลกัว? เ้าสี่สี่ตัวอันตราย?”ฉื่ออวี้ไฉถึงกับชะงักทั้งศีรษะเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
“นายไม่ต้องกังวลไปหรอกนะหลังจากเด็กนี่รถชนก็เหมือนว่าจะเปลี่ยนไปไม่น้อยเลยก่อนหน้านี้หลี่เวยหลานชายฉันที่อยู่ฝ่ายรปภ.มีปัญหากับเขานิดหน่อยแต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกันเลย” หลี่สวินอวี้อ่านใจของเหล่าฉื่อออกจึงพูดขึ้นยิ้มๆ
“ถ้าไม่มีเื่อะไรแล้วเหล่าหลี่นายต้องช่วยฉันนะ” ฉื่ออวี้ไฉพูดจบก็เดินกลับห้องทำงานตัวเองไป
“นี่นาย ตามที่นายพูดงั้นที่ซุนหงอคงบุก์ตือโป๊ยก่ายลวนลามฉางเอ๋อก็จริงหมดน่ะสิ” เด็กหนุ่มที่อยู่ล่างปะรำพิธีคนหนึ่งพูดขึ้นเสียงดัง
“บุก์น่ะเื่จริงแต่ที่ตือโป๊ยก่ายลวนลามฉางเอ๋อน่ะเป็ความลับ์ความลับไม่อาจแพร่งพรายได้” เมื่อกัวไฮว่พูดจบเสียงออดเลิกคาบก็ดังขึ้นทั้งยังมีเสียงปรบมือจากนั้นเรียนทั้งห้องก็ดังขึ้นไปพร้อมกับเสียงออดเลิกคาบ
[1] หมายถึงอู๋เสี่ยวเอินผู้เขียนเื่ไซอิ๋ว
[2] อุปมาว่าคนรุ่นใหม่ไม่กลัวสิ่งใดกล้าพูดกล้าทำ