เสิ่นม่านหันกลับไป สิ่งที่เห็นคือชายวัยกลางคนสวมผ้ากันเปื้อนเดินออกมาจากหลังม่าน ในมือถือกระบวยทำอาหารไว้ “สตรีผู้นี้ เพราะเหตุใดจึงใช้คำพูดไม่น่าฟังมาทำลายชื่อเสียงร้านของข้า? ร้านของเราเปิดในตำบลมาห้าปี เ้าบอกว่าไม่อร่อยก็คือไม่อร่อยหรือ?!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสิ่นม่านเลิกคิ้วขึ้น “ข้าเพียงแค่พูดตามความจริง หาก้าให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ต้องไม่ใช่เพียงจัดการให้จบไปหนึ่งมื้อแบบลวกๆ แต่เ้าต้องทำให้ผู้อื่นชอบมากินที่ร้านของเ้า กิจการของเ้าจึงจะดำเนินต่อไปได้”
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยิน ฉับพลันนั้นก็ฉุกคิดได้ เพียงหนึ่งคำพูดของสตรีชนบท กลับทิ่มเข้ากลางก้นบึ้งหัวใจของเขา
ใน่หลายปีที่ผ่านมา เดิมทีมีเพียงร้านเขาที่เป็ร้านบะหมี่ กิจการของเขานับว่าดี แต่ด้วยฝีมือการทำบะหมี่ที่ถือว่าธรรมดา ดังนั้นแขกที่มาจึงมีไม่มาก
แต่ยามนี้ตรงหัวมุมทิศตะวันออกมีร้านบะหมี่มาเปิดใหม่เพิ่มอีกหนึ่งร้าน แขกของเขาส่วนใหญ่ต่างหลั่งไหลไปร้านนั้นกันหมด ตอนนี้ร้านของเขาจึงเงียบเป็เป่าสาก ใกล้จะต้องปิดตัวในไม่ช้าแล้ว
คิ้วของชายวัยกลางคนขมวดเป็ปม สีหน้าห่อเหี่ยว “เ้าพูดถูก เช่นนั้น… มีวิธีแก้ไขหรือไม่?”
เสิ่นม่านโอบต้าเป่า จู่ๆ ก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาในหัว ไม่แน่ว่าคืนนี้อาจจะหาเงินได้สักก้อนมาแก้ไขปัญหาเื่ความเป็อยู่ของนางกับต้าเป่าตอนนี้ก็ได้
นางเอ่ยด้วยความมั่นใจ “วิธีน่ะมีอยู่แล้ว ข้าขอพูดตามตรง ข้าสามารถทำให้ร้านของเ้ามีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดทุกวัน”
“อย่างเ้าน่ะหรือ?” เถ้าแก่ยังไม่ทันได้เอ่ย เสี่ยวเอ้อร์ก็ชิงกระแนะกระแหนก่อน
เขาดึงเถ้าแก่มาเอ่ยท่าทางรำคาญ “ลุงใหญ่ สตรีผู้นี้สมองต้องป่วยแน่ คงคิดอยากกินอยู่กับเราเพื่อความสบาย เรารีบไล่พวกนางออกไปเถิด จะได้ไม่ทำให้ร้านเราเปื้อนไออัปมงคล”
เสิ่นม่านปรายหางตามองพนักงาน “เพราะในร้านมีเ้ามีเสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้ต่างหากคือความล้มเหลวที่ใหญ่ที่สุด” พูดจบนางก็ตั้งท่าจะเดินออกไป แต่เถ้าแก่กลับเรียกให้เสิ่นม่านหยุดก่อน “แม่นางท่านนี้ ปากของเขาชอบพูดจาไม่น่าฟัง เ้าอย่าถือสาหาความกับเขาเลย เ้าบอกข้าทีว่าควรทำอย่างไรให้กิจการดีขึ้น?”
นี่คิดจะหลอกให้นางพูดสินะ? คิดว่านางโง่หรือ?
เพียงแต่… เพื่อเงินแล้ว ใช่ว่านางจะยอมอดทนไม่ได้
เสิ่นม่านชี้ไปที่เสี่ยวเอ้อร์ “หากข้ามีวิธี เ้าต้องให้เขาขอขมาข้า ได้หรือไม่?”
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นทำหน้าราวกับว่าได้ยินเื่ตลกขบขัน “ตกลง หากเ้ามีหนทางทำให้ร้านเรารุ่งเรือง ข้าจะคำนับแทบเท้าเ้าสองครั้งและเรียกเ้าว่าท่านย่า!”
“คำไหนคำนั้น!” เสิ่นม่านดีดนิ้วดังเป๊าะ จากนั้นวางต้าเป่าลงและจัดการกับผมเผ้าที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง “ห้องครัวอยู่ที่ไหน?”
เถ้าแก่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง บางทีรัศมีในตัวนางคงแข็งแกร่งเกินไป เถ้าแก่ร้านจึงนำทางเสิ่นม่านไปยังห้องครัวโดยไม่รู้ตัว
หลังจากไล่ทุกคนออกไป เสิ่นม่านก็เริ่มงานในครัวเพียงลำพัง โชคดีที่มีเครื่องปรุงรสทั้งหมดที่ต้องใช้ เพียงแต่เกลือดูแล้วไม่บริสุทธิ์นัก ในนั้นยังมีสิ่งปนแปดเปื้อนเล็กน้อย
นางใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อกรองเกลือให้สะอาด
ราวครึ่งชั่วโมงถัดมา ในโรงครัวส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบจนพุ่งทะลุหน้าต่างออกมา กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอนี้ยังพุ่งออกไปถึงถนน
คนบนถนนไม่น้อยต่างก็ดมตามกลิ่นนี้มาและถามไถ่เถ้าแก่ว่าทำของเลิศรสอะไรอยู่
เถ้าแก่พูดไม่ออก ผ่านไปชั่วครู่ เสิ่นม่านเดินออกมาจากห้องครัวในชุดกันเปื้อน ในมือถือชามบะหมี่ที่มีพร้อมทั้งสีสันและรสชาติครบครัน
น้ำมีสีแดงประกาย ผักใบเขียวสีสด น้ำแกงใส เส้นบะหมี่ดูยืดหยุ่นเป็เส้นสวยงาม เพื่อเพิ่มอรรถรส เสิ่นม่านยังใส่ไข่ดาวที่คล้ายดวงตะวันเข้าไปเพิ่มด้วยอีก
บะหมี่เช่นนี้ เมื่อวางอยู่ตรงหน้าผู้คน ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรเริ่มทานจากตรงไหนดี
เสิ่นม่านวางมือทาบอกและหยิบตะเกียบให้เถ้าแก่ “ลองชิมสิ”
เถ้าแก่ได้ชิมเพียงคำเดียวดวงตาของเขาก็เป็ประกายระยิบระยับทันใด จากนั้นก็ซดอีกหนึ่งคำใหญ่ ใบหน้าของเขาอาบย้อมไปด้วยความเหลือเชื่อ “เ้า... เ้าทำได้อย่างไร? บะหมี่ธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ แต่กลับถูกเ้ารังสรรค์ได้รสเลิศถึงเพียงนี้?”
เสิ่นม่านยิ้มหวาน ในที่สุดก็ติดกับ “อยากรู้สูตรลับหรือไม่?”
เถ้าแก่พยักหน้าอย่างแรง เสิ่นม่านยื่นมือ “เอาเงินมาซื้อสิ เงินสิบตำลึง ห้ามน้อยกว่านี้แม้แต่แดงเดียว”
สิบตำลึง! นี่มันปล้นกันชัดๆ!
“คือว่า...” เถ้าแก่ลังเล
ลูกค้าที่เพิ่งเลียชามบะหมี่เมื่อครู่จนสะอาดก็ะโขึ้นมา “เถ้าแก่! เอาบะหมี่หนึ่งชาม! ไม่สิ เอามาสองชาม!”
“ข้าด้วย! ข้าเอาสามชาม!”
เมื่อได้ยินเสียงคนเหล่านี้ ดวงตาของเถ้าแก่พลันเปล่งประกาย เขากัดฟันและทำใจแข็ง เตรียมควักเงินค่าโลงศพของตนออกมา
แต่เสิ่นม่านกลับห้ามไว้ก่อน “ยังมีสิ่งหนึ่งที่ต้องทําก่อนตกลงกัน”
“เื่อะไร?”
เสิ่นม่านชี้ไปที่เสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังแย่งชามบะหมี่กับลูกค้า “หลานชายของเ้า เ้ายังไม่ได้ให้เขาขอขมาข้า”
เถ้าแก่ขมวดคิ้ว วินาทีถัดมา เขาเอามือเท้าสะเอวะโเรียกหลานชาย “ซานฮัว! เ้ามานี่!”
ฮ่า… คิดไม่ถึงว่าชายร่างใหญ่กลับชื่อว่าซานฮัว? เสิ่นม่านเกือบกลั้นขำไว้ไม่อยู่
ซานฮัวเข้ามา เขาถูกลุงของตนบิดหูตำหนิทันที “ปกติบอกให้เ้าทำตัวดีๆ อย่าเอาแต่ล่วงเกินผู้อื่น เ้ากลับไม่ยอมฟัง ตอนนี้เป็อย่างไร รีบมาขอขมาพี่สาวคนนี้เดี๋ยวนี้!”
ซานฮัวลูบหูที่ถูกบิดจนปวด จากนั้นทำหน้าบูด พร้อมเอ่ยปาก “ก็ได้ๆ! ข้าขอขมาก็ได้”
เขาหน้าแดงและคุกเข่าลงพื้นเสียงดังปัง “ท่านย่า ข้าผิดไปแล้ว!”
เสิ่นม่านไม่ยอมง่ายๆ ทั้งยังถามกลับ “ผิดตรงไหน?”
ใบหน้าของซานฮัวแดงก่ำราวกับก้นลิง รอบบริเวณนั้นยังมีเพื่อนบ้านกำลังมุงดูความสนุกสนาน
ใบหน้าของเขาร้อนผ่านกระวนกระวาย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่กัดฟันและคำนับอีกครั้ง “ข้าไม่ควรใช้สายตาสุนัขมองคนต่ำ ไม่ควรมีท่าทีหยาบคายกับท่าน ข้าสำนึกผิดแล้ว ขอท่านย่าโปรดมีเมตตา ให้อภัยข้าในครั้งนี้ด้วยเถิด!”
เสิ่นม่านพยักหน้าอย่างพอใจ ความอดสูครั้งนี้นับว่าได้ระบายเสียที นางยื่นมืออวบอ้วนออกมาตบศีรษะของซานฮัวเบาๆ “หลานชายเด็กดี ครั้งหน้าอย่าได้ทำเื่โง่เขลาเช่นนี้อีกนะ~”
เื่ขัดแย้งครั้งนี้นับว่าได้รับการแก้ไขชั่วคราว แต่เื่ขัดแย้งทางฟากลูกค้ากลับเริ่มเลื่อนระดับ มีคนไม่น้อยที่กำลังสั่งให้รีบทำบะหมี่!
เถ้าแก่ทำเป็เสียที่ไหนล่ะ? แม้ว่าจะได้สูตรไป แต่วันนี้เขาก็ไม่มีทางทำออกมาให้มีรสชาติเหมือนกันได้แน่ เขาจึงได้แต่อ้อนวอนเสิ่นม่าน “แม่นางน้อย ถ้าอย่างไรเ้าช่วยข้ารับมือสถานการณ์ตอนนี้ก่อนได้หรือไม่ ไว้จบงานแล้วข้าจะจ่ายค่าจ้างให้เ้า”
เสิ่นม่านพินิจอยู่พักหนึ่งก็คิดบางอย่างขึ้นได้ นางจึงเอ่ยปาก “ข้าไม่้าค่าจ้าง แต่ข้ายังมีสหายอยู่บริเวณนี้หลายคนที่ยังไม่ได้กินข้าว เถ้าแก่พอจะอนุญาตให้พวกเขากับลูกชายข้ากินบะหมี่ในร้านได้หรือไม่?”
มีคนไม่รับค่าจ้างด้วยหรือ? เถ้าแก่กลัวว่านางจะเปลี่ยนใจ จึงรีบพยักหน้ารัว
เสิ่นม่านพาเถ้าแก่เข้าครัวไป คนหนึ่งยื่นเงิน คนหนึ่งยื่นสูตรลับ
เมื่อเถ้าแก่เห็นขวดเกลือละเอียดที่ใสเป็ประกายระยิบระยับ ก็นึกว่าตนเองเห็นภาพลวงตา
ทว่าเื่เหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะว่าเขาต้องเรียนรู้การทำบะหมี่กับเสิ่นม่านก่อน
เหล่านักกินด้านนอกเพิ่มจำนวนในฉับพลัน บางคนที่มาเร็วก็จับจองที่นั่งได้ ส่วนคนที่มาช้าก็ได้แต่นั่งกินกันข้างทาง
เมื่อเส้นบะหมี่ร้อนฉ่าของเสิ่นม่านออกจากหม้อ ก็ถูกแย่งชิงกันยกใหญ่เต็มทุกโต๊ะทุกที่นั่ง
ทั้งบ่ายวันนั้น บะหมี่ของเสิ่นม่านขายออกไปห้าหม้อ เถ้าแก่ขายราคาชามละสองอีแปะ จนขึ้นราคาไปถึงสิบอีแปะ แต่ยังมีคนมาแย่งกันต่อคิว กระทั่งแป้งที่ทำบะหมี่หมด เหล่านักกินถึงแยกย้ายกันกลับบ้านอย่างเสียดาย
จนถึงยามค่ำ พวกผู้ใหญ่บ้านหลี่เถี่ยโถวก็ยังหาคนไม่เจอ หลังกินบะหมี่เสร็จแล้วจึงกลับหมู่บ้านไป
หลังเสิ่นม่านจบงาน เถ้าแก่ถึงเพิ่งรู้ว่านางกำลังตามหาคน จึงรับปากว่าจะช่วยถามบรรดาลูกค้าที่มาร้านให้อีกทาง
จากนั้นก็เรียกเกวียนวัวให้เสิ่นม่านหนึ่งคันและส่งพวกเขากลับไป
เสิ่นม่านนอนอยู่บนเกวียนวัวโยกเยกด้วยความรู้สึกหดหู่ อยู่ดีๆ คนจะหายไปได้อย่างไรกัน? หรือว่าโจวชุ่ยหลานจะพาเด็กๆ ไปด้วย? ทว่าเป้าหมายของนางคืออันใดกันแน่ เหตุใดจึงพาเด็กไปด้วยเล่า?
ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยเกินไปหรืออย่างไร ไม่นานเสิ่นม่านก็ผล็อยหลับไป
“ท่านแม่ ตื่นเถิด...” เสียงของเด็กน้อยปลุกนางขึ้นมา
“เจอเด็กแล้วหรือ?” เสิ่นม่านลืมตาขึ้นและพบว่าตนเองยังนอนอยู่บนเกวียนวัวที่สั่นโยก เหนือศีรษะคือดวงจันทร์กลมโต ซึ่งกลมเหมือนกับดวงตาดำขลับของต้าเป่า
ต้าเป่าตอบอย่างผิดหวังว่า “ไม่ พวกเรากำลังอยู่ระหว่างทางกลับบ้านขอรับ"
นั่นสินะ…
ทันทีที่นางรู้สึกตัว เกวียนวัวก็หยุดลงกะทันหัน สารถีชี้ไปยังวัตถุสีดำที่อยู่กลางถนนด้วยมืออันสั่นเทา
“มี มีคนตาย...”
-----